Skip to content

สู่วิถีอสุรา 280

ตอนที่ 280 โง่เขลา

จื่อเชอตัวสั่นเล็กน้อย หลับตาครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้น นัยน์ตาเขาเป็นประกาย อิสระที่มิได้รับมานานนี้ ทำให้จื่อเชอสูดลมหายใจเข้าลึก

ช่วงที่มองซูหมิง เขาเห็นซูหมิงมองมาด้วยแววตาสงบนิ่ง ด้วยสายตานั้น จื่อเชอรีบเก็บอารมณ์แล้วประสานมือคารวะ

“นายท่าน…..”

“เจ้าเรียกข้าอาจารย์อาก็พอ ผนึกของเจ้าจะคลายออกสิบวัน ในสิบวันนี้เจ้าต้องกลับมา” ซูหมิงขัดคำพูดจื่อเชอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่จื่อเชอเริ่มเรียกซูหมิงว่านายท่าน ยามนี้ได้ยินคำพูดของซูหมิง จื่อเชอจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วขานรับ

“อาจารย์อา ใช้เวลาไม่เกินสิบวัน สามถึงห้าวันก็เสร็จแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน”

จื่อเชอถอยหลังไปหลายก้าว แล้วกลายเป็นสายรุ้งลากยาว บินวนบนท้องฟ้าหนึ่งรอบก่อนตรงสู่เส้นขอบฟ้า

พอจื่อเชอไปแล้ว ซูหมิงจึงมองไป๋ซู่ที่ห้อยศีรษะอยู่ด้านข้าง สะบัดมือขวา

ไป๋ซู่พลันหมุนตัวกลับแล้วตกลงพื้น ขณะเดียวกัน กระดานภาพและก้อนถ่านบินไปทางไป๋ซู่ ลอยอยู่ข้างตัวนาง

“ซูหมิง เจ้า….” แม้ไป๋ซู่ถูกห้อยศีรษะอยู่นาน เพลิงโทสะกลับไม่น้อยลง ท่าทางเหมือนสิงโตน้อยกำลังโมโห แม้ไม่มีเขี้ยวหรือกรงเล็บ ทว่าดูจากสีหน้าก็ใกล้เคียงหลายส่วน

“หากเจ้ายังโวยวายอีก วันนี้ข้าจะส่งเจ้าลงเขา! และจะไม่บอกเจ้าอีกเลยว่าข้าวาดภาพอะไร” ซูหมิงยิ้มมุมปาก น้ำเสียงไม่สูงนัก แต่กลับทำให้ไป๋ซู่ที่ถลึงตามองอยู่นานด้วยความโมโหต้องหันหน้าหนีแล้วแค่นเสียงหึ

สามเดือนมานี้ ซูหมิงหาจุดอ่อนของเด็กสาวไป๋ซู่พบ นางมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าคนธรรมดา นางอยากรู้ว่าซูหมิงวาดภาพอะไรกันแน่ตั้งหลายเดือน ในจุดนี้ทำให้ตอนที่ซูหมิงใกล้ชิดกับไป๋ซู่ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะเป็นฝ่ายควบคุม

เห็นไป๋ซู่ไม่รบกวนอีก ซูหมิงจึงหยุดลองปรับเกราะแม่ทัพเทพ แต่หยิบกระดานภาพขึ้นมาเพ่งสมาธิลอกแบบนกใหญ่ทองคำแทน

เวลาผ่านไปไม่นาน ตะวันก็ลาลับทางตะวันตก ท้องฟ้าเหลือแสงสว่างเล็กน้อย ดูสวยงามตระการตาอย่างยิ่ง ไป๋ซู่เริ่มทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวอีก ขมวดคิ้วเดินมาอยู่ข้างซูหมิง มองซูหมิงกำลังวาดบนกระดานภาพว่างเปล่า แต่มองอยู่นาน นางก็ยังมองไม่ออกเหมือนเดิม

‘หึ แสร้งทำเป็นลึกลับ!’ ไป๋ซู่บ่นในใจ กวาดสายตามองซูหมิงแวบหนึ่ง

สีหน้าซูหมิงมุ่งมั่นตั้งใจยิ่งนัก ท่าทางตั้งใจนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในสายตาไป๋ซู่ถึงยิ่งรู้สึกว่าซูหมิงน่ารังเกียจ ทว่าก็แค่น่ารังเกียจเท่านั้น ไม่ถึงขั้นเหยียดหยามและดูถูกเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน

การแปรเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัวนี้ ไป๋ซู่เองก็ไม่รู้สึก

ยามโพล้เพล้ผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว ไป๋ซู่กลอกตา ทำเสียงกระแอมอยู่ข้างๆ หลายที

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังวาดอะไร”

“ที่แท้เจ้าก็วาดมัน…..”

“ไม่เลว ถือว่าวาดพอใช้ได้กระมัง แต่ภาพนี้มันมีบางอย่างแปลกไป” ไป๋ซู่กล่าว ยกมือขวาชี้ความว่างเปล่าตรงมุมกระดานภาพของซูหมิง

“น่าเสียดายภาพแบบนี้ ตรงนี้มีข้อบกพร่อง ทั้งยังไม่มีความรู้สึกของภาพรวม…ทว่าหากเจ้าเปลี่ยนลายพู่กันตรงนี้อีกสักหน่อย จะดีกว่านี้ได้”

“และยังมีตรงนี้อีก ตรงนี้ก็วาดได้ไม่เท่าไร” ไป๋ซู่เหมือนมองเห็นสิ่งที่ซูหมิงวาด ชี้แนะด้านข้างอยู่นานราวกับผู้อาวุโสอวดวุฒิ

แต่ซูหมิงยังคงเหมือนท่อนไม้ ประหนึ่งไม่ได้ยิน ยังคงวาดต่อไปทีละลายเส้น

แม้บอกว่าเคยชินกับนิสัยเมินเฉยของซูหมิงแล้ว ไป๋ซู่ก็ยังเกิดเพลิงโทสะอีกครั้ง นางรู้สึกว่าสามเดือนมานี้ ตัวเองแทบจะปล่อยความโกรธตลอดทั้งชีวิตออกมา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตของนางน้อยยิ่งนัก

‘คิดว่าตัวเองเก่ง เย่อหยิ่งถือดี ทำตัวให้ดูลึกลับ แสร้งทำเป็นใบ้หูหนวก สารเลว ไอ้สารเลว!’ ไป๋ซู่กระทืบเท้า หมุนตัวเตรียมจากไป ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ไม่ยอมแพ้ หันกลับไปมองซูหมิงที่กำลังนั่งวาดภาพอย่างตั้งใจ ไป๋ซู่ถลึงตามองด้วยความโมโหอยู่นาน แล้วหยิบกระดานภาพนั่งลง ใช้ถ่านดำวาดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าจากโกรธกลายเป็นรอยยิ้ม แต่กลับมองซูหมิงด้วยความรังเกียจตลอดเวลา

ในที่สุดเมื่อท้องฟ้ามืดลง ไป๋ซู่วางกระดานภาพตรงหน้าซูหมิง แค่นเสียงหึอีกครั้งแล้วหมุนตัวลงเขา

ตอนไปนางมีสีหน้าลำพองใจอีกครั้ง อีกทั้งระหว่างทางกลับยอดเขาลำดับเจ็ด ยังยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขไม่หยุด ในใจเฝ้ารอคอยวันพรุ่งนี้

‘โทษฐานที่รังแกข้าอีก พรุ่งนี้จะถามเขาว่าเห็นภาพที่ข้าวาดหรือไม่ และวาดเป็นอย่างไรบ้าง’ ไป๋ซู่เอามือไพล่หลัง เดินอยู่บนยอดเขาลำดับเจ็ดอย่างมีความสุข เส้นผมที่มัดด้วยเชือกฟางสีแดงแกว่งไกว เปียเล็กๆ ทั้งสองข้างหูขยับตาม ดูน่ารักยิ่งนัก

โดยเฉพาะรอยยิ้มมุมปากกับสีหน้าลำพองใจ ทำให้ไป๋ซู่ในตอนนี้มีความงามที่ต่างจากหลายเดือนก่อนโดยสิ้นเชิง

“โอ๊ะ น้องซู่ซู่เองรึ รีบมาให้พี่สาวดูหน่อย มีเรื่องอะไรทำให้เจ้ามีความสุขขนาดนี้?” เสียงหัวเราะดังมาจากบันไดภูเขาด้านหลังไป๋ซู่ หลังจากเสียงหัวเราะ ก็พบว่าเป็นเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกับนาง

เด็กสาวคนนี้มีใบหน้าที่งดงามเช่นกัน ยามยิ้มสีหน้าเต็มไปด้วยแววหยอกล้อ

ไป๋ซู่รีบหันกลับ พอเห็นเด็กสาวแล้ว ใบหน้างามแดงเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็ถลึงตามอง

“เฉินฉานเอ๋อร์ เจ้าอ่อนกว่าข้ากี่วันกัน ยังเรียกตัวเองว่าพี่สาวอีก ข้าอาวุโสกว่าเจ้า เข้าสำนักก่อนเจ้า ข้าต่างหากคือพี่สาว” ขณะไป๋ซู่กล่าวก็ส่งเสียงหัวเราะ เดินเข้ามาเล่นกับเฉินฉานเอ๋อร์

“ดีๆ ให้เจ้าเป็นพี่สาวก็ได้….ย่ะ อย่าเล่น ข้าบ้าจี้…”

“โทษฐานที่เจ้าพูดจาอย่างนั้นกับข้า”

เสียงเล่นกันอย่างสนุกสนานปะปนกับเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงิน ดังแว่วจากยอดเขาลำดับเจ็ด เด็กสาวสองคนนี้เล่นกันอยู่นานก็วิ่งไล่กันขึ้นเขาไป

“ซู่ซู่ ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ข้าต้องไปพบศิษย์พี่หญิงใหญ่อีกนะ” ตรงกลางภูเขา เฉินฉานเอ๋อร์ตบหน้าอก ปรับลมหายใจแล้วยิ้มกล่าวกับไป๋ซู่

“อืม ข้าก็จะกลับถ้ำแล้วเหมือนกัน” ใบหน้าไป๋ซู่ยังมีเลือดฝาดจากการเล่นเมื่อครู่ พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม

ขณะเฉินฉานเอ๋อร์กำลังจะไป กลับลังเลครู่หนึ่งแล้วมองไป๋ซู่

“ซู่ซู่…ข้าได้ยินว่าหลายเดือนมานี้เจ้าชอบไป…ยอดเขาลำดับเก้าหรือ?”

ไป๋ซู่ตะลึงงัน มองเฉินฉานเอ๋อร์แวบหนึ่ง ไม่กล่าวสิ่งใด

“อีกอย่างข้ายังเห็นกับตาว่าเจ้าไปหาซูหมิงคนน่ารังเกียจนั่น”

ช่วงที่เฉินฉานเอ๋อร์กล่าวถึงชื่อซูหมิง นางมีสีหน้ารังเกียจ

“ซู่ซู่ ซูหมิงนั่นเป็นคนน่ารำคาญยิ่งนัก ลำพองเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองเสมอกับศิษย์พื่ซือหม่าแล้วจะอวดดีได้อย่างนั้นหรือ คนอะไรกัน

ข้าล่ะรังเกียจเขาเป็นพิเศษเลย เจ้าอย่าไปเชื่อคำหวานของเขานะ คนแบบนี้ข้าเข้าใจดีที่สุด เขา….” เฉินฉานเอ๋อร์เห็นไปซู่ไม่กล่าวจึงพูดต่อ

ทว่ายังกล่าวไม่จบ ไป๋ซู่ขัดขึ้นก่อน

“เอาเถอะ เขาไม่ได้น่ารังเกียจอย่างที่เจ้าว่าหรอก” คำพูดของนางออกมาจากจิตใต้สำนึก กล่าวจบแล้วตัวนางเองยังตะลึง

นางแค่รู้สึกว่าลำพองเย่อหยิ่ง หลงคิดว่าตัวเองเก่งและอวดดี คำพูดเหล่านี้ตัวนางเองพูดได้ แต่พอฟังคนอื่นพูดแล้วกลับรู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย

“ซู่ซู่ เจ้าต้องเชื่อข้า ข้าเข้าใจมากกว่าเจ้า ตอนแรกข้าเคยไปเชิญเขาแทนศิษย์พี่หญิงใหญ่ ทว่าต้องไปติดกันหลายครั้งกว่าจะยอมมา ข้าเห็นสีหน้าเขาชัดเจน!

ข้าเดาว่าต่อหน้าเจ้า เขาต้องใช้คำหวานแน่นอน พูดได้น่าฟังแต่เพ้อเจ้อไม่เป็นจริง ความจริงแล้วเขาเทียบกับพี่ใหญ่ซือหม่าไม่ติดเลย พี่ใหญ่ซือหม่าต่างหากที่ดีกับเจ้าจริงๆ” เฉินฉานเอ๋อร์ถอนหายใจเบาพลางมองไป๋ซู่

ไป๋ซู่เงียบ พอได้ยินชื่อซือหม่าซิ่น แววตานางเหม่อลอย เงาร่างของซือหม่าซิ่นเหมือนจะปรากฏ ทว่ากลับไม่ค่อยชัดเจน

กระทั่งหลายเดือนมานี้ ช่วงแรกนางอยากไปพบซือหม่าซิ่นแทบทุกวัน แต่ก็ค่อยๆ กลายเป็นทุกหลายวัน จนถึงตอนนี้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว ในความคิดนางยังไม่ปรากฏชื่อซือหม่าซิ่น

“ซู่ซู่ ตื่นเสียเถอะ ซูหมิงคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร เขาเย่อหยิ่งเกินไป แม้แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังไม่อยู่ในสายตาเขา เขาเข้าสำนักไม่นานก็เป็นเช่นนี้แล้ว นิสัยแบบนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก สงครามหมอกนภาล่าเชมันเริ่มเมื่อไร ด้วยนิสัยเขากับพฤติกรรมแบบนี้จะต้องตายแน่!” เฉินฉานเอ๋อร์กล่าวถึงตรงนี้ก็พลันหยุดชะงัก เพราะไป๋ซู่ตรงหน้านาง ยามนี้เงยหน้ามองตนด้วยความเย็นชา

“เลิกพูดเรื่องข้าไปยอดเขาลำดับเก้าก่อน ข้ามีเป้าหมายของข้า ลำพังแค่คำว่าตายอย่างไม่ต้องสงสัยจากปากเจ้าเอย ลำพองเย่อหยิ่งเอย นึกว่าตัวเองแน่ที่สุดบ้างล่ะ เขาไม่ได้พูดคำหวานกับข้าสักคำ ตอนใกล้ชิดกันส่วนใหญ่ข้าจะเป็นคนพูด ส่วนเขาเงียบตลอด

กระทั่งมากกว่านั้น เขาอยู่โลกของเขา คนอื่นยากเข้าถึง กลับกัน ซือหม่า…

พี่ใหญ่ซือหม่ากับเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง” คำพูดตอนท้าย ในใจไป๋ซู่เต็มไปด้วยความสับสน ทำให้นางพูดไม่ออก แต่หันหลังให้เฉินฉานเอ๋อร์ที่กำลังจะกล่าว แล้วจากไป

บนยอดเขาลำดับเก้า หลังจากไป๋ซู่จากไปไม่นาน ซูหมิงวางมือขวาที่กำลังลอกแบบอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก่อนค่อยๆ ขมวดคิ้ว

‘มักจะขาดอะไรไปบางอย่างเสมอ…ลอกแบบมาสามเดือนแล้ว ทว่ายังรู้สึกไม่มากนัก เหมือนว่าช่วงที่นกใหญ่ทองคำสยายปีก มีม่านที่ทำลายไม่ได้อยู่หนึ่งชั้น…ขาดอะไรไป…’ ขณะซูหมิงขบคิด สายตาเห็นกระดานภาพที่ไป๋ซู่วางเอาไว้ตรงหน้าเขาก่อนไป

นางวางตำแหน่งได้หลักแหลมยิ่งนัก เมื่อซูหมิงเงยหน้าจะเห็นพอดี

ซูหมิงมองกระดานภาพ แล้วเผยรอยยิ้ม

พรสวรรค์ในการวาดภาพของไป๋ซู่เข้าขั้นย่ำแย่ วาดสิ่งของส่วนใหญ่ต้องเดาเอา ทว่าภาพนี้ง่ายมาก บนกระดานภาพเป็นเด็กสาวกำลังใช้สองมือเท้าเอว มีสีหน้าอวดดี ยกเท้าขึ้นเตะหมูตัวใหญ่ที่กำลังก้มหน้าหลับตาบนหน้าผา

ดูจากท่าทางของนางแล้ว เหมือนอยากถีบหมูตัวใหญ่ให้ตกหน้าผา

บนตัวหมูเขียนคำว่าซูหมิงเป็นอักษรยึกยือเอาไว้

ซูหมิงส่ายศีรษะ ขณะกำลังละสายตากลับ แววตาเขาพลันวาววับ จ้องกระดานภาพของไป๋ซู่ นัยน์ตาค่อยๆ เปล่งประกาย มีเสียงฟ้าผ่าหลายต่อหลายสายดังผ่านความคิด

“หรือว่า….สิ่งที่ขาดคือ…..”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version