Skip to content

สู่วิถีอสุรา 279

ตอนที่ 279 สายลมก่อนฝน

ซูหมิงมองไป๋ซู่ ไป๋ซู่ก็มองซูหมิง ในยามเช้าตรู่ ทั้งสองคนยืนอยู่บนแท่นราบนอกถ้ำ ต่างมองกันและกัน

ช่วงที่เห็นความสับสนและเหม่อลอยในแววตาซูหมิง จิตใจของไป๋ซู่ไม่มีความลำพองใจอีก แต่เกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

นางรู้ดีว่าความฝันของตนอาจจะเป็นเรื่องจริง

เด็กหนุ่มผอมบางในความฝันกับซูหมิงตรงหน้าซ้อนทับกันอย่างช้าๆ

ซูหมิงมองไป๋ซู่แล้วเดินไปทีละก้าว จนกระทั่งอยู่ตรงหน้านาง จ้องมองใบหน้าคุ้นเคยอยู่นาน ก่อนยื่นมือจับมือขวาของไป๋ซู่ ก้มหน้ามอง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสตัวไป๋ซู่ นางตัวสั่น พยายามดึงอยู่หลายครั้งตามสัญชาตญาณ ทว่าก็สลัดซูหมิงไม่ออก

หลายครั้งที่ซูหมิงสนใจเพียงใบหน้าที่เหมือนกันของไป๋ซู่กับไป๋หลิง เขาไม่เคยมองส่วนอื่นของตัวนาง จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขามองนิ้วชี้มือขวาของไป๋ซู่ แม้บอกว่ายังคงขาวเหมือนหยก ทว่านิ้วชี้กลับบิด…..ไม่อาจยืดตรง

ไป๋ซู่สะบัดหลุด ถอยหลังหลายก้าว มองซูหมิงอย่างซับซ้อน

“เจ้า…..เจ้าเห็นแล้วหรือ?”

ซูหมิงพยักหน้า

“เหตุใดเป็นเช่นนี้?” ไป๋ซู่เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ขณะเงยหน้าแววตายังคงซับซ้อน

นี่คือความลับของนาง นางไม่ยอมให้ผู้ใดรู้ นี่เป็นจุดที่เปราะบางที่สุดในใจ แม้แต่ซือหม่าซิ่นยังไม่ยอมบอก

“เจ้าไม่ควรรบกวนการฝึกของข้า…..” ซูหมิงส่ายศีรษะ เดินผ่านไป๋ซู่ไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินใหญ่นอกถ้ำ ถือกระดานภาพแล้วลอกแบบอีกครั้ง

ไป๋ซู่ยืนตรงนั้นอยู่พักใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางหมุนตัวกลับอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีความลำพองใจ ไม่มีความโกรธ แต่จากไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน

จนนางจากไปแล้ว ซูหมิงจึงเงยหน้ามองไปทางไป๋ซู่ ถอนหายใจเบา

‘นี่คือชะตาของเจ้า นี่คือการสร้างของข้า…นี่คือเส้นทางที่เจ้าเลือก ข้ามิได้บังคับ…ตอนที่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าคือเจ้า นั่นคือความพ่ายแพ้ของซือหม่าซิ่น’

เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็สามวัน

ห่างจากสงครามล่าเชมันอีกครึ่งปี ในครึ่งปีนี้ ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์จำนวนมากเริ่มปิดด่านฝึกพลังและเตรียมตัวครั้งสุดท้าย บางครั้งก็มีศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์หลายคนรวมกลุ่มกันไปชนเผ่าบริวารตรงชายแดนเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ที่ห่างจากตรงนี้ไปไม่ไกลนัก

ที่นั่นมีตลาดชนเผ่าอยู่ไม่น้อย สามารถซื้อหาของที่ต้องการ กระทั่งยังมีของพิเศษจากเขตอื่นในแดนอรุณใต้อีกมาก จะมีคนนำมาเพื่อซื้อขายกันที่นี่

สงครามหมอกนภาในทุกๆ สิบปี จะมีตลาดแบบนี้ผุดขึ้นจำนวนมาก นอกจากจะรวมขึ้นจากเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์แล้ว ยังดึงดูดคนนอกมาอีกด้วย

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมหาสงครามหมอกนภาในทุกๆ หนึ่งร้อยปี ฉะนั้นในช่วงเวลานี้ ในแดนอรุณใต้จะมีสองจุดที่ครึกครื้นอย่างยิ่ง หนึ่งคือตลาดนอกสำนักทะเลตะวันออก อีกแห่งคือตลาดนอกสำนักเหมันต์สวรรค์

เกือบทุกวันจะมีศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ออกไปตลาดเหล่านี้เพื่อแลกของที่ต้องการ ขณะเดียวกัน จำนวนคนในตลาดจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งเกิดการประมูล ของที่นำมาประมูลส่วนใหญ่เป็นของที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้คน

ในเวลาสามเดือนนี้ นอกจากลอกแบบนกใหญ่ทองคำโผบินเข้ามาแล้ว ซูหมิงก็ยังกำหนดเวลาฝึกฝนร่างกายด้วยการแบกของหนัก ตรงเท้าเขามีกำไลน้ำแข็งแปดวง

ทั้งแปดวงซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุม นอกจากจื่อเชอแล้วไม่มีใครรู้อีก ทุกครั้งที่จื่อเชอเห็นซูหมิงเหาะเหินเหมือนสายลม จะแอบทึ่งในใจ เขาทราบถึงน้ำหนักของกำไลน้ำแข็งแปดวงดี เหมือนกับภูเขาลูกหนึ่ง ด้วยน้ำหนักขนาดนั้น ต้องใช้พละกำลังหลายเท่ากว่าจะเดินได้หนึ่งก้าว

เขาเป็นพยานให้ได้ว่าซูหมิงฝึกฝนด้วยกำไลน้ำแข็งทุกขั้นตอนจริงๆ เริ่มจากสงบนิ่งมาจนถึงสวมกำไลน้ำแข็งสามวงตรงเท้า ซูหมิงก้าวเดินไม่ออก ตัวสั่นเทา ยืนตลอดทั้งวันกว่าจะเริ่มชิน

จนกระทั่งเดินได้อย่างสงบนิ่งพร้อมกำไลน้ำแข็งสามวง ถึงเพิ่มเป็นสี่และเริ่มทำความคุ้นชินอีกครั้ง ยามนี้สวมกำไลน้ำแข็งข้างละสี่วง อีกทั้งยังเหมือนไม่รู้สึกหนักแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเท้าหรือเหาะเหินล้วนใกล้เคียงกับปกติ

ทว่ามีแค่จื่อเชอที่รู้ว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ ซูหมิงต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร สามเดือนแทบไม่เคยพักผ่อน นอกจากลอกแบบและเรียกหมอกดำมาโอบล้อมตัวเป็นเกราะแม่ทัพเทพแล้ว เวลาที่เหลือส่วนใหญ่ใช้ไปกับการฝึกแบกของหนัก

ภายในเวลาสามเดือน ซูหมิงเรียกเกราะแม่ทัพเทพบ่อยครั้ง บ้างหมอกดำก็รวมเป็นเกราะรอบผิวกาย บ้างก็สลายไป ทุกครั้งที่เรียกเกราะแม่ทัพเทพ ซูหมิงจะมีสมาธิจดจ่อ ใช้การควบคุมความละเอียดอ่อนคู่กับจิตสัมผัสมาประกอบเกราะตัวนี้

การประกอบแบบนี้คือการปรับตามภาพวงแหวนอาคมสิบกว่าแผ่นที่หู่จื่อส่งมาให้เมื่อสองเดือนก่อน นี่คือความคิดเหลวไหลของซูหมิง ในเมื่อเขาไม่มีวิธีเพิ่มการป้องกันให้ตัวเอง เช่นนั้นก็มีแต่ต้องสร้างขึ้นเอง

วิธีที่ดีที่สุดคือควบคุมหมอกดำช่วงชำระล้าง ขณะเกราะกำลังก่อตัวก็ประกอบเป็นวงแหวนอาคมหลายแบบภายในเกราะ

เรื่องนี้พูดเหมือนง่าย ทว่าพอทำจริงๆ แล้วกลับยาก สำหรับคนที่ไม่เข้าใจในวงแหวนอาคมเลยอย่างซูหมิง ยากนักที่จะรวมหมอกดำขึ้นโดยไม่มีข้อผิดพลาด

อีกทั้งส่วนใหญ่หู่จื่อยังพึ่งพาพรสวรรค์ในด้านนี้ของตน จึงอธิบายให้ซูหมิงฟังค่อนข้างยาก ทุกอย่างซูหมิงต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเอง ดีที่การสร้างภาพวาดของเขาสามารถลอกแบบฟ้าดิน หลังจากใช้เวลาอยู่นาน จากหลายสิบครั้งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ตอนหมอกดำรวมเป็นเกราะ ตัวมันก็รวมเป็นวงแหวนอาคมด้วย แต่อาคมนี้ไม่เพียงแต่อยู่ระดับต่ำสุด การเปลี่ยนแปลงของมันยังมีอีกหลายครั้ง หลังจากเปลี่ยนหลายครั้งแล้ว ซูหมิงก็ไม่อาจควบคุมมันได้อีก ต้องใช้ความละเอียดอ่อนที่แกร่งกว่าและจิตสัมผัสที่มากกว่า บางทีอาจจะทำได้ ทว่าซูหมิงไม่ยอมแพ้ ต่อให้หลายสิบครั้งมีครั้งเดียวที่สำเร็จอย่างไม่ค่อยสมบูรณ์แบบก็ตาม จากการทดลอง ซูหมิงรู้สึกอย่างชัดเจนว่าการป้องกันในเกราะมายาแม่ทัพเทพเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย

นี่คือแนวทางหนึ่ง หากวันหนึ่งซูหมิงควบคุมเกราะแม่ทัพเทพได้อย่างสมบูรณ์ วันนั้นต่อให้เกราะนี้มิใช่ของจริง และยังเป็นมายาอยู่ก็ตาม ทว่าการป้องกันของมันจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

ส่วนการฝึกฝนและเตรียมตัว ในสามเดือนนี้ซูหมิงทำมันอย่างต่อเนื่อง นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว สามเดือนนี้ไป๋ซู่มาทุกวันไม่เคยขาด

ช่วงสองสามวันแรกแววตานางยังคงซับซ้อน จนผ่านไปครึ่งเดือน ไป๋ซู่เหมือนคิดเข้าใจ กลับมามีนิสัยอันธพาลดังเดิม นางยังแต่งตัวแบบนั้น ปรากฏตัวส่งเสียงโวยวายอยู่นอกถ้ำของซูหมิงทุกวัน

“ซูหมิง เจ้าวาดภาพอะไร ข้าเห็นเจ้าวาดมาหลายเดือนแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลย!”

“ซูหมิง เจ้าดูซิ ข้าวาดเหมือนหรือไม่ ข้าวาดภูเขาลูกใหญ่!”

“ซูหมิง เจ้าเงยหน้าพูดสักคำไม่ได้หรือ เคยมีคนบอกเจ้ารึไม่ว่าเจ้าเหมือนคนใบ้!”

ยอดเขาลำดับเก้า เกล็ดหิมะโปรยปรายจากท้องฟ้า ไป๋ซู่นั่งอยู่ข้างซูหมิง หอบหายใจแรงพลางถลึงตามอง ในมือนางถือถ่านสีดำหนึ่งก้อน ตรงหน้ายังมีวัตถุเหมือนกระดานภาพของซูหมิงทุกประการ นางกำลังขีดเขียนลงไปอย่างแรง

ซูหมิงไม่กล่าว เขาหลับตานั่งฌาน รอบตัวมีหมอกดำโอบล้อม บางครั้งหมอกดำจะก่อตัวเป็นลักษณะพิลึก ทว่าก็ไม่อาจคงรูปได้นานนักก่อนหายไป

เห็นซูหมิงยังคงมีท่าทางเหมือนเดิม ไป๋ซู่จึงจับกระดานภาพตรงหน้าโยนไปทางซูหมิงด้วยอารมณ์โมโห แต่ช่วงที่กระดานภาพนั้นเข้าใกล้ซูหมิง มันกลับลอยอยู่กลางอากาศ

ไป๋ซู่รีบยืนขึ้น ปาถ่านสีดำในมือใส่ ทว่ามันก็ลอยอยู่กลางอากาศเช่นเดียวกัน

ไป๋ซู่เหมือนชินกับเรื่องแบบนี้แล้วจึงมิได้แปลกใจนัก สาวเท้าไวๆ ไปหาซูหมิง ยกเท้าหมายจะเตะเข้าให้สักที เมื่อยกเท้าขึ้นนางกลับถูกฝืนให้วางลง จึงได้แต่ถลึงตามองซูหมิงด้วยอารมณ์โมโห

เมื่อก่อนนางเคยเตะแบบนี้ แต่ผลสุดท้ายกลับร้ายแรงยิ่งนัก

เห็นซูหมิงหลับตาเหมือนไม่สนใจการกระทำของตน ไป๋ซู่เหมือนคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ กัดฟันแล้วเตะเข้าไปอีกที

“ข้าจะเตะเจ้าไอ้คนใบ้ จะเตะเจ้า…”

นางยกเท้าเตะ ยังไม่ทันโดนตัวซูหมิง นางก็พลันร้องด้วยความตกใจ พบว่าตัวนางเหมือนถูกมือใหญ่ไร้รูปคว้าเอาไว้ ศีรษะห้อยลง ลอยอยู่ข้างซูหมิง…พร้อมกับกระดานภาพและก้อนถ่านดำ

“ซูหมิง เจ้า…เจ้ามันคนสารเลว!” ไป๋ซู่ตะโกนเสียงดัง ดวงตาสองข้างถูกเพลิงโทสะครอบงำอีกครั้ง นางตั้งใจจะบิดตัว ทว่าก็ยังห้อยหัวลง ลอยอยู่กลางอากาศดังเดิม

ไป๋ซู่ตะโกนไม่หยุด ในสภาพแบบนี้คงจะเหนื่อยไม่น้อย โดยเฉพาะความรู้สึกมึนหัวเมื่ออยู่ในท่านี้นานๆ ยิ่งทำให้ใบหน้านางมีเลือดฝาดและเงียบไป ทว่าความโกรธในแววตากลับไม่ลดน้อยลง ในหัวนึกถึงแต่วิธีรับมือกับซูหมิง

ยามนี้มีสายรุ้งลากยาวเข้ามาหนึ่งเส้น กลายเป็นเงาร่างของจื่อเชอบนแท่นราบ เขาสาวเท้าเข้ามาตรงซูหมิงไวๆ กวาดสายตามองไป๋ซู่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“เจ้ามองอะไร มีอะไรน่ามอง ไม่เคยเห็นรึ!” ไป๋ซู่เห็นจื่อเชอมองมา จึงตะโกนอีกครั้ง

จื่อเชอเมินเฉยคำพูดของไป๋ซู่ทันที ในสามเดือนนี้ เขาชินกับการที่ไป๋ซู่ก่อกวน ได้รับบทเรียนจากซูหมิงหลายครั้งแล้ว

“นายท่าน หินน้ำแข็งหมดแล้ว ข้าหามาหลายที่ก็ยังไม่พบ ทว่าตลาดเผ่าตรงชายแดนเผ่าเหมันต์สวรรค์ที่ใกล้ที่สุดคึกคักยิ่งนัก คนในสำนักมักจะไปที่นั่นกัน จะต้องมีหินน้ำแข็งแน่นอน นายท่านช่วยอนุญาตด้วย ให้จื่อเชอออกจากยอดเขาลำดับเก้าชั่วคราว จะได้ไปดูที่ตลาดแทนนายท่าน”

“ตลาดเผ่า?” ซูหมิงลืมตา หมอกดำรอบตัวเขาไหลเข้าสู่ร่างกายแล้วหายไป

“ขอรับ สงครามหมอกนภาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ตรงชายแดนระหว่างสำนักเหมันต์สวรรค์กับเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์มีตลาดแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ นายท่านโปรดวางใจ ขอเวลาแค่ครึ่งเดือนข้าจะกลับมา” จื่อเชอรีบกล่าว

“ระวังตัวด้วย” ซูหมิงขบคิดครู่หนึ่ง ช่วงนี้เขาเข้าใจการควบคุมหมอกดำของเกราะแม่ทัพเทพมากขึ้นเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไปข้างนอก จึงพยักหน้าให้ ยกมือขวาขึ้นกดตัวจื่อเชอ ปลดพันธนาการในตัวอีกฝ่ายชั่วคราว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version