ตอนที่ 278 ความฝัน
ในโลกของเผ่าหมาน มีตำนานที่สืบทอดกันมานาน ว่ากันว่าตำนานนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ยุคเทพหมานรุ่นหนึ่ง
ตำนานกล่าวไว้ว่า ก่อนยุคบรรพกาล ตอนที่ดินแดนเผ่าหมานยังมิได้แบ่งเป็นห้าส่วน ทางทิศใต้ที่ห่างไกลออกไปมีผีเสื้อนามซางเซียงตัวหนึ่ง ผีเสื้อตัวไม่ใหญ่นัก มีขนาดเท่ามือคน ทั้งยังมีสีสันทุกชนิดของโลกใบนี้ ทุกชนิดล้วนต่างกัน
นางบินอยู่บนท้องฟ้า คนธรรมดายากจะพานพบ เพราะดินแดนของนางอยู่เหนือสวรรค์เก้าชั้นที่เต็มไปด้วยลมพายุ
ในตำนานกล่าวว่า แม้นางจะเป็นฝีเสื้อ แม้มีปีกสวยสดงดงาม ทว่าชั่วชีวิตนางกระพือปีกเพียงสามครั้ง นอกจากสามครั้งนี้แล้ว นางจะลอยไปตามลมพายุ
กระพือปีกครั้งแรก คือหลังจากนางถือกำเนิด บินขึ้นเหนือสวรรค์เก้าชั้น
กระพือปีกครั้งที่สอง คือตอนนางอยู่จุดสูงสุดของชีวิต กระพือปีกฉายแสงงดงาม อยากจะตามหาสหายร่วมเดินทางกับนาง ทว่าก็ไม่เคยพานพบ
และการกระพือปีกครั้งสุดท้ายคือจุดจบของชีวิตนาง ใช้กำลังอย่างเต็มที่กระพือปีกเพื่อฝากร่องรอยเอาไว้ เมื่อนั้นตัวนางจะกลายเป็นจุดแสงเหมือนเมล็ดพันธุ์ ลอยล่องไปตามลมลงสู่ผืนดิน เมล็ดพันธุ์นี้จะกลายเป็นหนอน แต่มีเพียงตัวเดียวที่จะได้เป็นผีเสื้อ
ตำนานนี้กล่าวถึงการกระพือปีกสามครั้งของซางเซียง มาพร้อมกับตำนานหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมา ในตำนานว่าไว้ การกระพือปีกครั้งแรกจะทำให้แผ่นดินทางทิศตะวันออกภูเขาถล่มผืนดินแยกออก
กระพือปีกครั้งที่สองจะทำให้แผ่นดินทางทิศตะวันตกปรากฏกองศพมีดวงตาสีเทา
กระพือปีกครั้งที่สามจะทำให้หิมะทางทิศเหนือเกิดค่ำคืนติดต่อกันหลายสิบปี
นี่คือตำนาน
ตำนานนี้ซูหมิงไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าไป๋ซู่เคยได้ยิน
ในค่ำคืนวันนี้ ไป๋ซู่สะลึมสะลือตื่นมาจากฝัน นางมองฟ้าดินแปลกตาด้วยความสับสน ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง สีหน้ามึนงง
นางรู้ดีว่าตอนนี้กำลังฝันอยู่ รู้ว่าทุกอย่างที่เห็นเป็นภาพมายา ไม่มีอยู่จริง
ทว่านางไม่อาจตื่นจากฝันได้อย่างแท้จริง ไม่อาจทำให้ฝันนี้หายไป
สิ่งที่นางเห็นเป็นแผ่นดินหิมะ ท้องฟ้าขมุกขมัว มีเกล็ดหิมะโปรยปราย โดยรอบเงียบสงัดยิ่งนัก มองไกลออกไปมีเพียงเทือกเขาทิศหนึ่ง ตรงจุดที่นางอยู่เป็นที่ราบ
ตรงเทือกเขามีภูเขาลูกหนึ่งที่ถูกพายุหิมะปกคลุมจนเลือนราง ภูเขาลูกนี้นางรู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน มันเป็นภูเขาสูงเสียดเมฆ เหมือนห้านิ้วมือคนยื่นจากแผ่นดิน หมายจะคว้าท้องฟ้า!
“ที่นี่…คือที่ไหน…” ไป๋ซู่พึมพำเบาๆ แววตานางสับสนมากขึ้น
นางเดินหน้าอย่างช้าๆ ด้วยความสับสน เส้นทางหิมะใต้เท้าเหมือนแฝงด้วยกาลเวลา ทำให้ทุกก้าวของนางเหมือนข้ามผ่านสี่ฤดู เดินไปเดินมาก็มาถึงป่าทึบแห่งหนึ่ง นางเดินอยู่ในป่าทึบนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไร พลันได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วเข้ามา
เสียงนั้นดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ทำให้ฝีเท้าไป๋ซู่หยุดชะงัก ก่อนเดินไปตามเสียงโดยไม่รู้ตัว
นางค่อยๆ เดินผ่านป่าทึบ จนเห็นภาพบางอย่าง…
มันเป็นแผ่นดินไม่มีภูเขาหรือป่า ด้านบนมีกระโจมหนังจำนวนมาก โดยรอบมีนักรบหมานที่แข็งแกร่งหลายคนคอยมองตรวจตราด้วยแววตาเย็นชา ในกระโจมหนังมีคนเดินไปเดินมาไม่น้อย ที่นี่เป็นตลาดของเผ่าขนาดเล็ก
ในแดนอรุณใต้มีตลาดเผ่าแบบนี้เยอะมาก จะได้สะดวกในการแลกปลี่ยนระหว่างเผ่าเล็กด้วยกัน
ใบหน้าแปลกตาเหล่านั้นที่นางเห็น รวมถึงเสียงเอะอะช่างสมจริงยิ่งนัก แต่นางพบว่าคนเหล่านั้นมองไม่เห็นนาง กระทั่งนักรบหมานที่ตรวจตรายังเดินผ่านนางไปเฉยๆ
“ที่นี่คือ…” ไป๋ซู่สับสนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าช่วงที่กำลังสับสน นางพลันตัวสั่น พบว่าในป่าทึบห่างไปไม่ไกล ยามนี้มีเงาคนห้อเหยียดเข้ามาอย่างเร็วรี่
หนึ่งในสองคนนั้นมีร่างกายกำยำยิ่งนัก ใบหน้าซื่อๆ อีกคนหนึ่งด้านข้างก็เป็นเด็กหนุ่มเช่นกัน ทว่ากลับผอมบางยิ่งนัก หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาเป็นประกายใสกระจ่าง
เขาสวมเสื้อหนังสัตว์ ใบหน้ายังมีความเยาว์วัย ทันทีที่ไป๋ซู่เห็นเด็กหนุ่ม จิตใจนางสั่นสะท้าน
“ซู….ซูหมิง!” ไป๋ซู่หายใจกระชั้น นางไม่คิดเลยว่าจะพบซูหมิงในความฝันของตน!
ซูหมิงในสายตานางยังเป็นเด็กหนุ่มเยาว์วัย รูปร่างผอมบาง เทียบกับซูหมิงในความทรงจำนางแล้วมีจุดคล้ายกัน แต่มีจุดที่ต่างกันมากกว่า
ทันใดนั้นพลันมีเสียงก่นด่าเสนาะหูดังแว่วเข้ามา
“เหลยเฉิน!”
ไป๋ซู่มองไปทันที เมื่อนางเห็นเด็กสาวที่เป็นคนกล่าว มีเสียงอื้ออึงดังในความคิด นางพบว่าเด็กสาวคนนี้สวมเสื้อหนังเตียว ผมยาวมัดด้วยเชือกฟางสีแดง บนบ่ามีผมเปียเล็กๆ สองข้าง ตรงหน้าผากประดับผลึก ในแววตามีความโกรธเคือง ขมวดคิ้วมองสหายร่วมทางข้างซูหมิง
รูปร่างหน้าตาของนางทำให้ไป๋ซู่อึ้งงัน
เพราะเด็กสาวคนนั้นเหมือนกับนางทุกประการ
ภาพมาถึงตรงนี้พลันหยุดชะงักแล้วค่อยๆ เลือนหาย นางลืมตาขึ้น ตรงหน้าผากมีเม็ดเหงื่อจำนวนมาก นางมองไปรอบๆ ก็พบว่าอยู่ในถ้ำของตน ด้านนอกเงียบสงัดยิ่งนัก ไม่มีเสียงใดๆ
ไป๋ซู่เหม่อมองตรงหน้า ในแววตาว่างเปล่า ในความคิดยังมีภาพในความฝัน
ผ่านไปพักใหญ่ ไป๋ซู่จึงสวมเสื้อคลุมผลักประตูถ้ำออก ท้องฟ้ามืดมิด มีลมหนาวพัดเข้ามา ทำให้นางรู้สึกหนาวเล็กน้อย
นางยืนอยู่นอกถ้ำ มองท้องฟ้ามืดดำ ภายใต้แสงจันทร์ สายตานางหยุดอยู่ที่ยอดเขาลำดับเก้า มองไปทางนั้นด้วยแววตาสับสนและซับซ้อน
“เหตุใดถึงฝันแบบนี้…ทุกอย่างในความฝันเป็นจริงหรือลวงตา…..” ไป๋ซู่พึมพำเบาๆ
เวลาเดียวกันในค่ำคืนนี้ ขณะซูหมิงกำลังลอกแบบนกใหญ่ทองคำโดยไม่หยุดพัก วินาทีที่วาดลายเส้นนิ้วเขาพลันหยุดชะงัก ปรากฏภาพเหมือนความฝันในความคิด
ในภาพนั้นเป็นดินแดนหิมะกว้างไกล ลมพายุรุนแรง หิมะตกหนักบดบังการมองเห็น จึงมองไกลๆ ไม่ชัด เขาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวเจ็ดแปดขวบกำลังวิ่งสะอื้นไห้ไปข้างหน้า
ตรงหน้าเด็กหญิงมีเงาแผ่นหลังสตรีผู้หนึ่งกำลังเดินไกลออกไปทีละน้อย
“ท่านแม่ อย่าไป…ท่านแม่ ท่านไม่ต้องการซู่ซู่แล้วหรือ…”
เงาร่างสตรีผู้นั้นหยุดนิ่ง ทว่าไม่หันมามอง ยังเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางพายุหิมะ มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิง จนกระทั่งนางตามไม่ทันและล้มลงกับพื้น แต่ก็ยังตะเกียกตะกายยืนขึ้น แล้ววิ่งต่อพลางสะอื้นไห้ อยากจะไปจับมือมารดาของนาง ไม่ให้มารดาจากไป
ทว่าสตรีผู้นั้นห่างออกไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นร่างท่ามกลางพายุหิมะ ขณะเด็กหญิงคนนั้นร้องไห้ก็เหมือนกับหมดแรง ล้มลงในพายุหิมะก่อนแน่นิ่งไป
พายุหิมะรุนแรงยิ่งนัก พัดถาโถมใส่ตัวนาง ทำให้เด็กหญิงกอดตัวเอง หลับตาลงพึมพำถึงมารดา จนกระทั่งไม่รู้สึกตัว
นิ้วชี้มือขวานางค่อยๆ กลายเป็นสีคล้ำ นั่นคืออาการโลหิตแข็งตัว…..
ซูหมิงมองเห็นทุกอย่าง เงียบไม่กล่าวสิ่งใด
จนกระทั่งมีบุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากพายุหิมะ บุรุษคนนี้ซูหมิงเห็นเพียงรางๆ ไม่อาจเห็นใบหน้าชัดเจน เขาเดินมาอยู่ข้างเด็กหญิง ย่อตัวลงเบาๆ แล้วอุ้มนางขึ้น ก่อนหมุนตัวเดินไกลออกไป
“ซู่ซู่ กลับบ้านกับพ่อเถิด…”
ภาพนี้หยุดนิ่งในสายตาซูหมิง จากนั้นค่อยๆ เลือนหาย เขาตัวสั่นสะท้าน ได้สติกลับมา มองนิ้วชี้มือขวาของตนที่ค้างอยู่บนกระดานภาพ แววตาสับสนเพียงชั่วครู่ก่อนพลันมองมุมกระดานภาพ
ตรงนั้นเป็นจุดที่ไป๋ซู่จับเมื่อยามกลางวัน
ซูหมิงตะลึงงันไปพักหนึ่ง ใช้มือขวาคลำตรงมุมที่ไป๋ซู่เคยจับ แววตาขบคิด
‘เหตุใดเป็นเช่นนี้…หลังจากข้าชำระล้างก็ไม่เคยฝันอีก แม้แต่เสียงในความฝันยังหายไป…ทว่าตอนข้าลอกแบบเมื่อครู่กลับเกิดภาพมายา’ ซูหมิงขมวดคิ้ว
‘ความฝันนี้ไม่เหมือนของปลอม และไม่มีทางเกิดขึ้นเองแน่ จะต้องมีสาเหตุแน่!’ ซูหมิงเงียบ ขบคิดอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งยามรุ่งอรุณใกล้จะเลือนหาย แสงสว่างยามเช้าเริ่มปรากฏ พลันมีสายฟ้าแล่นผ่านความคิดเขา
‘หรือว่า…..ช่วงที่ไป๋ซู่แตะกระดานภาพเมื่อวาน จะเป็นการสัมผัสกับจิตที่เพ่งสมาธิของข้าในชั่วพริบตา ก็เท่ากับว่าความทรงจำระหว่างข้ากับนางเชื่อมต่อกันในเสี้ยววินาทีนั้น…จึงทำให้ข้าฝันถึงเหตุการณ์เมื่อครู่!
หรือว่าพลังของจิตสัมผัสจะทำให้เห็นความทรงจำของนาง?’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก แววตาขยับประกาย ร่างวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งออกจากยอดเขาลำดับเก้าในยามรุ่งอรุณ
ดินแดนหิมะไร้พรมแดนนอกสำนักเหมันต์สวรรค์ มีสิ่งมีชีวิตที่ชอบความหนาวอยู่ไม่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะสภาพอากาศ จึงทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่มีนิสัยดุร้าย
ณ ที่ราบหิมะแห่งหนึ่ง ซูหมิงมาถึงตรงนี้เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าสว่าง ข้างกายซูหมิงมีศพหมาป่าหิมะเจ็ดแปดตัว
ยามนี้มือขวาเขาจับศีรษะหมาป่าที่ยังมีชีวิต เขาหลับตาไปครู่หนึ่ง วินาทีที่ลืมตาขึ้น หมาป่าหิมะตัวสั่นเทา ล้มลงกับพื้นแล้วสิ้นใจ
นัยน์ตาเขาฉายแววประหลาดใจ เมื่อเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกลายเป็นสายรุ้งกลับยอดเขาลำดับเก้า
ทว่าช่วงที่เขาเหยียบยอดเขาลำดับเก้า ยืนอยู่บนแท่นราบนอกถ้ำของตัวเอง เขาเห็นไป๋ซู่มาอีกครั้ง ตอนที่เห็นนาง ความรู้สึกคุ้นเคยที่มากกว่าเมื่อวานเผยออกมาอย่างชัดเจนจากการแต่งตัวและสีหน้าอารมณ์ของนาง
รองเท้าหนังสัตว์ เสื้อหนังเตียวสีดำ เรืองร่างผอมสูง และยังมีเส้นผมมัดด้วยเชือกฟางสีแดง รวมถึงความโกรธในแววตาและคิ้วที่ขมวดมุ่น
ไป๋ซู่ในตอนนี้ หลังจากเห็นเสื้อผ้าและอารมณ์ความรู้สึกของเด็กสาวในความฝันแล้ว นางแต่งออกมาได้เหมือนทุกประการ!