ตอนที่ 277 เหตุผล
ในวันแรกที่ไป๋ซู่ใกล้ชิดกับซูหมิง ท้องฟ้ามืดลงและดวงจันทร์ปรากฏ ผ่านไปเรียบๆ เช่นนี้ วันนี้ไป๋ซู่คิดว่าตัวเองชนะ นางรู้สึกว่านางทำได้ดีที่สุด ทำให้ซูหมิงสนใจได้ ทั้งยังสร้างร่องรอยบางๆ ในใจเขา
หากไม่ชนะ แล้วอาการเหม่อลอยตอนเจอกันครั้งแรกเกิดขึ้นได้อย่างไร หากไม่ชนะ แล้วลมอ่อนตอนจากกันมาจากที่ใด
มองจากจุดนี้ ไป๋ซู่คิดว่าตัวเองชนะ ชนะอย่างแท้จริง โดยเฉพาะสิ่งที่นางทำก่อนแยกจากกัน เป็นการแสดงนิสัยดื้อรั้นและบังอาจของนางออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ยามนี้พอมานึกย้อน ไป๋ซู่ยังคงรู้สึกใจเต้นแรง นางนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำของตนบนยอดเขาลำดับเจ็ด มองตัวเองกระจกตรงหน้า ใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้มลำพองใจ
‘ซูหมิงหนอซูหมิง เจ้าคงไม่คิดว่าสุดท้ายข้าจะทำเช่นนั้น หึหึ’ ไป๋ซู่นึกถึงภาพนั้น นอกจากหัวใจเต้นแรงแล้วยังนึกกลัวภายหลัง
นางไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่อยากเชื่อว่าจะทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนั้น ราวกับว่าตอนนั้นเหมือนนางมิใช่นาง แต่กลายเป็นอีกคนหนึ่ง
นางมองกระจก ไป๋ซู่ตรงหน้าดูแปลกตา นางในกระจก เส้นผมดำถูกมัดไว้ ปล่อยเปียเล็กๆ สองข้างพาดบ่า ตรงหน้าผากประดับผลึกพร่าวพราว นางเคยไม่เคยแต่งตัวแบบนี้มาก่อน
นางมองตัวเอง มองไปมองมา…..
“แต่งแบบนี้ก็ไม่เลว…..” ไป๋ซู่เม้มปากยิ้ม ค่อยๆ หลับตาลง ตกอยู่ในห้วงการนั่งฌานและกำหนดลมหายใจ วันนี้นางไม่ไปหาซือหม่าซิ่น กระทั่งในความคิดยังไม่มีคำว่าซือหม่าซิ่น
มีเพียงความสุขใจที่แม้แต่นางก็ไม่รู้ตัว และการเฝ้ารอคอยวันที่สองขณะยิ้มมุมปากอย่างลำพองใจ
บนยอดเขาลำดับเก้า ในค่ำคืนเงียบสงัด นอกถ้ำของซูหมิง จื่อเชอยืนอย่างนอบน้อม ตรงหน้าเขามีหินน้ำแข็งขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าก้อน
หินน้ำแข็งพวกนี้ปล่อยไอหนาว โดยเฉพาะเมื่อลมพัดผ่าน ไอหนาวพร้อมกับสายลมโชยกระทบใบหน้าของซูหมิง ทำให้แววตาเขาขยับประกาย
“หินนี้เมื่อเจอไฟจะไม่ละลาย แต่ก็ไม่ได้แข็งมากนัก สามารถรวมไอหนาวเปลี่ยนให้เป็นลักษณะหลากหลาย นายท่าน ในเวลาเพียงน้อยนิด ข้าหามาได้เพียงเท่านี้…ทว่านายท่านวางใจ ข้าจะหาต่อไป ให้เวลาข้าอีกหนึ่งเดือน ข้าจะหามาให้มากขึ้นเรื่อยๆ”
จื่อเชอกล่าวอย่างนอบน้อม เห็นซูหมิงพยักหน้าแล้วจึงถอยหลังไปสิบกว่าจั้ง แล้วนั่งขัดสมาธิรอคำสั่งจากซูหมิง
ซูหมิงมองหินน้ำแข็งสิบกว่าก้อนนั้น หยิบขึ้นมาหนึ่งก้อนก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของมัน มีขนาดเพียงกำปั้นมือ กลับมีน้ำหนักเหมือนภูเขาเท่าคน
‘หินประหลาดเช่นนี้กลับมีข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวง’ ซูหมิงบีบมือขวา หินน้ำแข็งพลันเกิดรอยร้าว มีเสียงกึกๆ ก่อนแตกกระจาย ทว่าทุกส่วนล้วนมีน้ำหนักมากกว่าขนาดของมัน
หลังจากเก็บเศษหินเหล่านี้แล้ว ซูหมิงก็ใช้มือซ้ายหยิบของมาจากถุงเก็บวัตถุ เมื่อของสิ่งนี้ปรากฏ จื่อเชอที่นั่งอยู่ไกลๆ พลันหรี่ตาลง
มันเป็นไข่มุกลักษณะกลม หรือก็คือเม็ดโอสถชิงวิญญาณ!
โอสถมีแสงดำอ่อนจางเหมือนดูดแสงทั้งหมดโดยรอบ ดุจมีหลุมดำลอยอยู่ข้างซูหมิง
หากสายตามองทะลุแสงอ่อนมองเห็นในเม็ดโอสถได้ จะพบว่าในนั้นมีหมอกหมุนวนเป็นเกลียวอย่างช้าๆ ตรงกลางหมอกมีดอกไม้น้ำแข็ง บนดอกไม้น้ำแข็งมีดวงตาพิลึกข้างหนึ่ง ในดวงตานั้นมีลูกตาสองดวง!
ซูหมิงไม่มีไอหนาวทำให้ก้อนน้ำแข็งนี้เปลี่ยนรูปเป็นอย่างที่เขาต้องการ ต่อให้ในสำนักเหมันต์สวรรค์มีคนฝึกฝนจำนวนมากก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องใช้น้ำแข็งเป็นหลัก
ทว่าซูหมิงมีโอสถชิงวิญญาณ ภายในมีลายหมานของซือหม่าซิ่นอยู่ เขาชี้มือซ้ายไปทางโอสถชิงวิญญาณ แสงอ่อนจากตัวเม็ดโอสถพลันหายไป แล้วแทนที่ด้วยหมอกควันหมุนวน เหมือนผนึกดอกไม้น้ำแข็งเอาไว้ภายใน
ดอกไม้นี้ปล่อยไอหนาวเยือก พันรอบมือซ้ายที่กำลังชี้ของซูหมิง จากนั้นซูหมิงกดนิ้วบนหินน้ำแข็ง ทำให้ไอหนาวแผ่กระจายปกคลุมรอบตัวเขา
เมื่อไอหนาวหลอมรวม หินน้ำแข็งสิบกว่าก้อนค่อยๆ หล่อหลอมเข้าด้วยกัน ทั้งยังหดตัวลงด้วยความเร็วระดับสายตา หนึ่งก้านธูปต่อมา ช่วงที่ซูหมิงยกมือขึ้นเพื่อขับไล่ความหนาว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือกำไลข้อมือสองวงที่หลอมขึ้นจากหินน้ำแข็งสิบกว่าก้อน
กำไลข้อมือนี้มีขนาดปกติ ดูบอบบางยิ่งนัก แค่ออกแรงก็บีบจนแตกได้ แต่พวกมันกลับมีน้ำหนักรวมกันไม่ด้อยไปกว่าภูเขาลูกเล็ก
ซูหมิงถือกำไลข้อมือคู่นี้ สีหน้าจริงจัง ของสิ่งนี้หนักยิ่งนัก ทว่าก็ไม่ถึงขั้นยกไม่ขึ้น เพียงแต่หากมีอีกหลายวง เว้นแต่ซูหมิงจะโคจรพลังโลหิตในร่างกาย มิเช่นนั้นแล้วลำพังแค่ร่างกายคงไม่มีทางยกไหว
‘หวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าพัฒนาความเร็วได้’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย นำกำไลน้ำแข็งสองวงสวมเท้าทั้งสองข้าง แล้วยืนขึ้นเดินหน้าหนึ่งก้าว หนึ่งก้าวนี้ทำให้แท่นราบที่เขาอยู่สั่นไหวเบาๆ
‘ยังไม่พอ’ ซูหมิงเดินไปเดินมาหลายก้าว เมื่อเริ่มชินแล้วจึงไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก แต่นั่งขัดสมาธิลง มองดวงจันทร์บนท้องฟ้า แววตาครุ่นคิด
‘ใช้หินน้ำแข็งพัฒนาความเร็วได้ แต่ก็พัฒนาได้เพียงร่างกายเท่านั้น หากเดินอากาศคงเพิ่มความเร็วไม่ได้…เพราะนั่นไม่ใช่ส่วนของร่างกาย แต่เป็นทักษะบางอย่าง…’ ซูหมิงมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า ในแววตาของเขาค่อยๆ ปรากฏภาพหนึ่ง
ในภาพนั้น ตรงปลายสุดท้องฟ้ามีแสงสีทองอยู่หนึ่งจุด พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้จากระยะหมื่นลี้ เกิดเป็นลมพายุคลั่งสนั่นฟ้าสะเทือนดิน ปรากฏเป็นนกใหญ่สีทองขนาดหนึ่งพันจั้ง
“นี่คือความเร็วสูงที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ หลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตา เขาหยิบกระดานภาพขึ้นมาแล้วใช้มือขวาวาดลงไป บนกระดานภาพพลันปรากฏนกทองคำตัวหนึ่งในสายตา
‘ด้านความเร็วใช้หินน้ำแข็งฝึกฝนร่างกาย ทำให้ร่างกายข้าทนรับแรงอัดจากความเร็วที่เพิ่มขึ้นได้ และตัวข้ายังรวดเร็วขึ้นอีกด้วย! ขณะเดียวกันก็ลอกแบบนกทองคำสยายปีกเข้ามาในชั่วพริบตานี้ให้เป็นรูปแบบที่สองของการสร้างภาพวาด ใช้สิ่งนี้เพิ่มความเร็วให้กับข้าอย่างสมบูรณ์’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเด็ดขาด
‘ส่วนการป้องกัน รอศิษย์พี่สามส่งวงแหวนอาคมพวกนั้นมาก่อนค่อยลองดู’ ซูหมิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรวมสมาธิได้ และเริ่มลอกแบบบนกระดานภาพติดต่อกันหลายครั้ง
เขามุ่งมั่นใจจดใจจ่อจนลืมทุกอย่างรอบตัว สมาธิทั้งหมดรวมอยู่บนกระดานภาพ เขาลอกแบบไปทีละภาพ ปรากฏนกทองคำกำลังทะยานบนท้องฟ้าทีละตัว
การสยายปีกทุกครั้งของนกทองคำ การสะบัดขนนกทุกครั้ง การเปลี่ยนของร่างกายทุกอย่าง ล้วนอยู่ภายใต้ปลายนิ้วของซูหมิง ค่อยๆ ปรากฏอย่างต่อเนื่องในลายเส้นที่ต่างกัน
เหมือนกับตอนเขาลอกแบบกระบี่ของซือหม่าซิ่น วาดต่อไปเรื่อยๆ ตามหาการสร้างของตัวเอง
เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน ตะวันแรกเพิ่งโผล่ตรงขอบฟ้าห่างไกล
เงาของไป๋ซู่ปรากฏอยู่บนยอดเขาลำดับเก้าอีกครั้ง นางยังคงแต่งตัวแบบนั้น เผยรอยยิ้มเขี้ยวพยัคฆ์เล็กๆ หนึ่งคู่ เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง นางมองซูหมิงนั่งขัดสมาธิ รับแสงแรกของตะวัน และกำลังวาดลายเส้นบนกระดานภาพ
ไป๋ซู่มองอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง เห็นเพียงซูหมิงใช้มือวาดบนกระดานภาพ กลับมองไม่เห็นว่าภาพนั้นคืออะไร ในสายตาของนาง บนกระดานภาพว่างเปล่า รออยู่พักหนึ่งแล้วจึงทนไม่ไหว
“นี่ ข้ามาตั้งนานแล้ว เจ้าอย่าแสร้งทำเป็นไม่เห็น!”
ซูหมิงเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงวาดภาพอยู่อย่างนั้น จื่อเชอที่อยู่ไกลๆ เห็นดังนั้นจึงยิ้มเจื่อนแล้วหันไปมองทางอื่น ในใจเขาไม่เข้าใจการกระทำของซูหมิงยิ่งนัก หากรังเกียจผู้หญิงคนนี้ เหตุใดให้นางเข้ามา หากไม่รังเกียจ เหตุใดถึงไม่ให้มาพบในตอนแรก ลึกๆ มีอะไรอยู่กันแน่ จื่อเชอไม่เข้าใจ
ไป๋ซู่เห็นซูหมิงคล้ายไม่ได้ยิน จึงแค่นเสียงหึ ขณะกำลังจะเข้าไปแย่งกระดานภาพของซูหมิง ช่วงที่นางยื่นมือเข้าไป กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของซูหมิงแล้ว มือที่ยื่นไปถึงกับหยุดชะงัก
นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจับกระดานภาพเอาไว้ ยามที่นางสัมผัสกระดานภาพ เส้นผมนางพลันปลิวไสว เชือกฟางสีแดงที่มัดผมดำพลันฉีกขาด ทำให้ผมยาวสยายออก รวมถึงเสื้อคลุมของนางก็มีลมพายุคลั่งพัดเข้ามา โบกสะบัดอย่างรุนแรง
ไป๋ซู่หน้าขาวซีดในทันที สายตาพร่ามัว เหมือนเสียจิตวิญญาณ ถูกดูดเข้าไปในกระดานภาพ และปรากฏอยู่บนดินแดนแปลกตา
ในดินแดนแห่งนี้ นางเห็นท้องฟ้าขมุกขมัว มีแสงสีทองพลันแล่นผ่าน เมื่อแสงทองผ่านไปแล้วก็ปรากฏอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ไป๋ซู่เห็นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน
จนกระทั่งนางเสียความเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์ ความคิดสับสน มีเสียงเย็นชาดังกึกก้องฟ้าดินขมุกขมัว
“นี่คือบทเรียนที่มารบกวนการฝึกฝนของข้า”
เมื่อเสียงดังขึ้น จิตวิญญาณไป๋ซู่กลับคืนดังเดิม ควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกครั้ง ตัวนางสั่นสะท้าน โลกตรงหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อรวมกลับมาใหม่อีกครั้ง นางเห็นดวงตาสองข้างของซูหมิง
ในดวงตานั้นสงบนิ่ง ทว่าในความสงบนิ่งกลับมีความน่าเกรงขามที่ทำให้ไป๋ซู่ใจสั่น ดวงตาน่าเกรงขามคู่นั้น ซือหม่าซิ่นไม่มี
ด้วยแววตานั้น ไป๋ซู่เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูก นางโซเซถอยหลังไปหลายก้าว สายตาพร่ามัวก่อนล้มลงกับพื้น
เหตุที่นางสิ้นสติก็เพราะนางไม่มีจิตสัมผัสที่มากกว่าชาวเผ่าหมานส่วนใหญ่อย่างซูหมิง จิตของนางยังอ่อนแอ จึงรับลายเส้นของนกใหญ่ทองคำไม่ไหว
“ส่งนางลงเขา พวกเราจะสงบไปอีกหลายวัน” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ แล้วลอกแบบต่อ
จื่อเชอรีบเดินมา สะบัดแขนเสื้อ ม้วนตัวไป๋ซู่ออกจากยอดเขาลำดับเก้า