Skip to content

สู่วิถีอสุรา 282

ตอนที่ 282 ชั่วร้าย

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ไป๋ซู่เดินออกจากถ้ำอย่างเงียบๆ ยังคงใช้เชือกฟางสีแดงมัดผม สองข้างหูไว้เป็นเปียเล็กๆ สวมเสื้อตัวเล็กหนังกลับ ตรงหน้าผากประดับผลึก

นางบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร แต่รู้สึกได้ว่ามันต่างจากเมื่อก่อน ก่อนนี้ตอนนางไปพบซือหม่าซิ่น ทุกครั้งนางจะเกิดความอบอุ่นไปทั้งตัว แม้จะเป็นแค่การพูดคุยกับเขาเล็กน้อยหรือเล่นหมากกันก็ตาม สายตาที่ซือหม่าซิ่นมองมาทุกครั้งทำให้หัวใจนางเต้นแรงเหมือนกับเจอคนรัก

ทว่าตอนนี้ ความรู้สึกแบบนั้นมิใช่ว่าหายไป แต่เจือจางลง นี่ทำให้นางรู้สึกซับซ้อนและสับสนในตัวเอง

นางออกจากยอดเขาลำดับเจ็ดเงียบๆ มุ่งหน้าไปตามทางที่คุ้นเคยสู่ยอดเขาลำดับหนึ่ง วันนี้นางกลับรู้สึกว่าทางสั้นยิ่งนัก

เกี่ยวกับยอดเขาลำดับหนึ่ง ไป๋ซู่ใช่ว่าจะคุ้นเคยมากนัก แม้จะเคยมาหลายครั้งก็รู้จักแค่ถ้ำของซือหม่าซิ่น ตอนนางมาถึงนอกถ้ำของซือหม่าซิ่น ก็เห็นซือหม่าซิ่นผู้รูปงามเหนือสามัญสวมเสื้อคลุมยาวยืนอยู่ข้างโต๊ะหิน

ซือหม่าซิ่นเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและน่าหลงใหล ดวงตาราวกับดารามองไป๋ซู่

“ซู่ซู่ เหตุใดหลายเดือนมานี้ถึงไม่มาหาพี่ใหญ่ซือหม่าเลย?”

“พี่ใหญ่ซือหม่า…” ไป๋ซู่ชะงัก ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี ความรู้สึกดื้อรั้นในตัวนางพลันหายไป แล้วแทนที่ด้วยความน่าเอ็นดู เชื่อฟัง และยังมีความซับซ้อน

“มานั่งตรงหน้าข้า” ซือหม่าซิ่นมองไป๋ซู่ ภายใต้แสงจันทร์รอยยิ้มของเขาน่าหลงใหลยิ่งขึ้น นี่คือเสน่ห์พิเศษของเขา

ไป๋ซู่เดินเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ นั่งลงตรงหน้าซือหม่าซิ่น ก้มหน้าลง นางในตอนนี้ต่างจากตอนอยู่ยอดเขาลำดับเก้าโดยสิ้นเชิง เหมือนกับสองคนที่ต่างกันราวฟ้าดิน

ไป๋ซู่สับสนเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด การมาครั้งนี้ถึงหัวใจเต้นแรงขึ้นตลอด แต่นางทราบดีว่าที่หัวใจเต้นแรงไม่ใช่เพราะซือหม่าซิ่นตรงหน้า แต่เป็นเพราะความว้าวุ่นที่เกิดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของนาง

ความว้าวุ่นนี้นางหาต้นตอไม่พบ รู้สึกเพียงว่าตนไม่ควรจะมาตรงนี้

“ซู่ซู่ เจ้าเป็นอะไร เหตุใดถึงดูว้าวุ่นใจเช่นนี้?” ซือหม่าซิ่นมีสีหน้าเป็นห่วง ยกมือขวาหมายจะจับมือไป๋ซู่ ทว่ายังไม่ทันสัมผัส ไป๋ซู่พลันชักมือกลับปานสายฟ้า ก่อนหันไปมองซือหม่าซิ่น สีหน้าดูตึงเครียดและสับสนชั่วครู่

“มะ…ไม่เป็นไรพี่ใหญ่ซือหม่า ข้าสบายดี” ไป๋ซู่เค้นรอยยิ้ม นางเห็นความห่วงใยในแววตาของซือหม่าซิ่น ทว่ายามนี้นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ขณะที่มองซือหม่าซิ่น ในความคิดกลับผุดเงาร่างคนกำลังนั่งฌานสมาธิ และปล่อยให้นางฟึดฟัดด้วยความโมโห

“ซู่ซู่ เรื่องอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ เจ้าคุยกับบิดาเจ้ารึยัง?” ซือหม่าซิ่นไม่ถือสาการกระทำและอารมณ์ของนาง เขามีสีหน้าปกติ กล่าวอย่างอ่อนโยน แม้แต่คำพูดยังเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ในสภาพอากาศหนาวเช่นนี้ น้ำเสียง รอยยิ้ม และสีหน้าแบบนี้มักจะทำให้คนเกิดความรู้สึกอบอุ่นในใจ เขาชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว เคยชินกับสายตาต่างกันของสตรีแต่ละคนตอนได้ยินเสียงเช่นนี้ของเขา และเขาเชื่อว่าไป๋ซู่ก็จะเป็นเช่นนั้น

‘ช่วงนี้เขาเป็นอะไร ไม่เห็นหน้ามาเจ็ดวันแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรในถ้ำอยู่หรือเปล่า…จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่…..น่าจะไม่…’ ไป๋ซู่จิตใจล่องลอย หลายวันมานี้ในใจนางมีแต่เรื่องนี้ นั่นคือเหตุใดซูหมิงถึงไม่ออกมาจากถ้ำ นี่มันเจ็ดวันมาแล้ว

นางสงสัยยิ่งนัก ทว่าเวลาผ่านไปทีละวัน ความสงสัยนี้ก็ค่อยๆ มีความกังวลแฝงด้วยเล็กน้อย

“ซู่ซู่!” ซือหม่าซิ่นขมวดคิ้ว

ไป๋ซู่ตะลึงงัน ได้สติกลับมา รีบทำท่าทางเชื่อฟังขณะยังตึงเครียด

“พี่ใหญ่ซือหม่า…ข้า…..”

“ซู่ซู่ หากเจ้ามีอะไรต้องบอกข้า จำเอาไว้ อย่าเป็นอย่างนี้ ข้าเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวด…” ซือหม่าซิ่นกล่าวเบาๆ

“หากเรื่องที่ข้าอยากเข้าอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ทำให้เจ้าลำบากใจ เช่นนั้นข้ายอมก็ได้ ยอมทิ้งมันเพื่อเจ้า” นัยน์ตาซือหม่าซิ่นฉายแววอ่อนโยน

“หากเป็นเพราะเรื่องที่ข้าให้เจ้าใกล้ชิดกับซูหมิงทำให้เจ้าเป็นทุกข์ เช่นนั้นข้ายอมก็ได้ ข้าบอกแล้ว เพื่อเจ้าข้ายอมได้ทุกอย่าง” น้ำเสียงซือหม่าซิ่นแฝงไว้ด้วยแรงดึงดูดประหลาด ไพเราะยิ่งนัก

ไป๋ซู่มองซือหม่าซิ่น มองชายตรงหน้า ในสายตานางปรากฏซูหมิงอีกครั้ง คนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงสองคนนี้แสดงการกระทำต่อนางต่างกัน กระทั่งการวางตัวของนางต่อหน้าสองคนนี้ยังต่างกันด้วย

“ซู่ซู่…..” ซือหม่าซิ่นเพ่งมองไป๋ซู่

“พี่ใหญ่ซือหม่าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร…..ข้าเคยพูดกับบิดาแล้ว เขาจะต้องยอมให้ท่านเข้าอุโมงค์เหมันต์สวรรค์แน่” ไป๋ซู่กัดริมฝีปาก กล่าวเบาๆ

ซือหม่าซิ่นรู้สึกยินดีในใจ แต่สีหน้ากลับเป็นกังวล

“ข้าไม่สนใจเรื่องนี้หรอก ข้าสนใจแค่…..”

“พี่ใหญ่ซือหม่า ข้าเหนื่อยแล้ว…..” นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋ซู่ขัดคำพูดของซือหม่าซิ่น นางมีสีหน้าซับซ้อนและอ่อนเพลียปะปนเข้าด้วยกัน ยืนขึ้นเบาๆ แล้วลุกออกจากเก้าอี้ เดินไกลออกไป

จนกระทั่งเงาไป๋ซู่หายลับไป ซือหม่าซิ่นจึงหยิบแก้วสุราจากบนโต๊ะอย่างสงบนิ่ง แล้วดื่มไปหนึ่งอึกก่อนวางลงช้าๆ หลับตาขบคิดครู่หนึ่ง เขายืนขึ้นเดินไปทางปากถ้ำ ใบหน้ายังคงสงบนิ่งดังเดิม มิได้เปลี่ยนเพราะสีหน้าและการกระทำของไป๋ซู่แม้แต่น้อย

ทว่าพอเขาลุกจากโต๊ะหินแล้ว เก้าอี้หินที่เขาเคยนั่งกลับสั่นสะท้าน เกิดรอยร้าวแล้วพลันกลายเป็นผุยผง ถูกสายลมพัดหายไป

ยามรุ่งอรุณของวันที่แปดมาเยือนพร้อมกับตะวันแรก ช่วงที่ตะวันทอแสงแรกลงมา ซูหมิงลืมตา เขามองแสงสว่างนอกถ้ำ สีหน้าเริ่มคร่ำเคร่ง

“แปดวันแล้ว…..จื่อเชอยังไม่กลับมา” ซูหมิงยืนขึ้นเดินออกจากถ้ำ ยืนขมวดคิ้วอยู่บนแท่นราบ

ก่อนไปจื่อเชอเคยบอกว่าอย่างมากสุดก็สามถึงห้าวันจึงจะกลับมา อีกทั้งตลาดเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเกรงใจสำนักเหมันต์สวรรค์อย่างมาก สำหรับคนที่มาซื้อขาย พวกเขาจะยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในเขตปกครองของสำนักเหมันต์สวรรค์ ในแดนอรุณใต้ คนที่กล้าล่วงเกินสำนักเหมันต์สวรรค์มีไม่เยอะ! กระทั่งที่นั่นยังใกล้กับเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ สำนักเหมันต์สวรรค์กับเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ต่างเกื้อหนุนกัน ทั้งสองฝ่ายเหมือนเป็นขุมพลังที่ต่างกัน ทว่าความจริงแล้วมีรากฐานเหมือนกัน

ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ทั้งหมด เมื่อบรรลุถึงขั้นพลังที่คงที่แล้ว ก็จะไปเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์เพื่อรับตำแหน่งเป็นเหมือนอาจารย์ในเผ่า ในอาณาเขตใกล้เคียงนี้ใช่ว่าจะปลอดภัยเสียทีเดียว แต่หากเป็นศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ออกนอกเขตใกล้เคียงก็แทบจะไม่เกิดภัยอันตรายใดๆ

บวกกับขั้นพลังของจื่อเชอ แม้ยังไม่ทะลวงสู่ขั้นเซ่นไหว้กระดูก ก็บรรลุถึงจุดสูงสุดของชำระล้างตอนปลาย ติดหนึ่งในสิบของการจัดอันดับแผ่นดินเหมันต์ แม้บอกว่ามิใช่โอรสแห่งสวรรค์เหมือนกับซือหม่าซิ่น ทว่าก็เป็นที่จับตามอง

คนแบบนี้ย่อมไม่ขาดประสบการณ์ออกไปข้างนอก ต้องเข้าใจภูมิประเทศใกล้เคียงเป็นอย่างดี ดังนั้นซูหมิงจึงให้เขาไปเพียงลำพัง ทั้งยังไม่อยากเสียเวลาในการฝึกฝน

ทว่าตอนนี้เข้าวันที่แปดแล้ว ไม่มีข่าวคราวจื่อเชอกลับมาเลย

ซูหมิงไม่เชื่อว่าจื่อเชอจะไปอย่างไร้เหตุผล นี่มันไม่มีผลดีอะไรกับจื่อเชอเลย เว้นแต่เขาต้องเสียอาจารย์เพราะเรื่องนี้ ฉะนั้นจึงไม่กลับสำนักเหมันต์สวรรค์อีก มิเช่นนั้นขอแค่ขั้นพลังเขาไม่เกินยอดเขาลำดับเก้า และอาจารย์เขาพ่ายแพ้ให้เทียนเสียจื่อ สิ่งที่รอเขาอยู่ก็มีแค่การลงโทษเรื่องผิดสัญญา

ซูหมิงรู้จักกับจื่อเชอไม่ใช่แค่วันสองวัน เขารู้สึกว่าจื่อเชอไม่ใช่คนเขลาขนาดนั้น บุคคลนี้รู้จักการวิเคราะห์สถานการณ์ อีกทั้งที่สำคัญสุดคือผนึกในตัวเขาคลายออกเพียงสิบวัน

อีกอย่างซูหมิงปฏิบัติกับจื่อเชอไม่ใช่ว่าดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีด้วย ภายใต้สภาพการณ์แบบนี้ ซูหมิงไม่รู้เหตุผลที่จื่อเชอไม่กลับมา

‘เว้นแต่จะเกิดเรื่องกับเขา…..’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา พลังชั่วร้ายรวมอยู่ในตัว หลังจากผ่านเรื่องเผ่าเชมันมาหลายวัน พลังชั่วร้ายในตัวซูหมิงไม่ได้เกิดขึ้นเปล่าๆ แต่มาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด

แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงรวมพลังชั่วร้ายในตัว เขาพลันเงยหน้ามองขอบฟ้าห่างไกล พบว่าตรงนั้นมีสายรุ้งยาวสีอ่อนบินโคลงเคลงเข้ามาใกล้

คนในสายรุ้งคือจื่อเชอ ใบหน้าเขาซีดขาว มุมปากยังมีโลหิตสด เมื่อเข้าใกล้ยอดเขาลำดับเก้า สายรุ้งหายไปกลายเป็นตัวเขา จื่อเชอกระอักโลหิตกองโต ในโลหิตนั้นมีแมลงตัวเล็กสีดำยั้วเยี้ย แมลงเหล่านั้นกัดกินกันเองอย่างบ้าคลั่ง ดูน่าสะพรึงยิ่งนัก

ใบหน้าจื่อเชอไร้เลือดฝาด ตรงหน้าอกเขามีบาดแผลเห็นกระดูก ขาขวาถูกลูกธนูสีดำปักเอาไว้ มีหมอกดำลอยมาจากลูกธนู กลายเป็นรูปร่างภูตผีส่งเสียงหัวเราะเยาะกึกก้อง

“อาจารย์อา…..” จื่อเชอตัวสั่น คุกเข่าลงกับพื้น แววตามืดสลัวไร้ประกาย ฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าวก่อนกระอักโลหิตอีกครั้ง ในโลหิตนั้นยังคงมีหนอนเล็กสีดำ พลังชีวิตเขาเหลือเพียงน้อยนิด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ยอมสังหารเขา ตั้งใจปล่อยกลับมา

“จั๋วเกอ นักรบหมานธนูดำ ชนเผ่าชายแดนเหนือของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์…..” จื่อเชอเพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ล้มลงตรงหน้า

ซูหมิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าทะมึนทึบจนน่ากลัว ดวงตาขวาหลั่งทะลักพลังชั่วร้าย ดวงตาซ้ายกลับสงบนิ่งเหมือนบ่อน้ำ เส้นผมเคลื่อนไหวเอง มีสายลมพัดเข้ามา ทว่ากลับไม่อาจสลายพลังชั่วร้ายที่แผ่มาจากตัวเขาได้แม้แต่น้อย

เสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากขั้นบันไดตรงหน้าซูหมิง

นั่นคือไป๋ซู่ที่จะมาในช่วงเวลานี้ทุกวัน นางยืนอยู่ตรงนั้นพลางเหม่อมองซูหมิง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นซูหมิงในสภาพแบบนี้!

จิตสังหารในดวงตาขวากับความเย็นเยือกในดวงตาซ้าย สร้างเป็นแรงปะทะอย่างรุนแรง ทำให้ลมหายใจไป๋ซู่แข็งค้างในชั่วพริบตา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version