Skip to content

สู่วิถีอสุรา 283

ตอนที่ 283 ภูตผี

ไป๋ซู่หัวใจเต้นรัวเร็ว เพราะยามนี้ซูหมิงสร้างแรงสะเทือนต่อจิตใจนางอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่หายใจตัดขัด ทั้งยังรู้สึกว่ามีไอหนาวที่ทำให้นางตัวสั่นเทา คล้ายมากกว่าปกติของที่นี่หลายเท่า แผ่ขยายออกมาจากตัวซูหมิง

นางเพิ่งเคยเห็นซูหมิงในสภาพนี้เป็นครั้งแรก และเขาทำให้นางหวาดกลัว

นางพลันรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจบุคคลตรงหน้าเลยตั้งแต่ต้น เหมือนกับสภาพตอนนี้ ก่อนมาวันนี้ นางไม่เคยรู้เลยว่าความโกรธไร้เสียงของบุรุษคนหนึ่งจะสร้างเป็นพลังชั่วร้ายที่รุนแรงได้ขนาดนี้

ซูหมิงมิใช่เด็กหนุ่มในอดีต มิใช่เด็กน้อยทึ่มทื่อที่ใช้แต่อารมณ์ชั่ววูบจัดการปัญหา ตอนนี้เขาเรียนรู้ความสงบนิ่ง เคยชินกับความเยือกเย็น ตอนนี้แม้ในใจแฝงไว้ด้วยเพลิงโทสะ ทว่านอกจากจิตสังหารในดวงตาขวาแล้ว ก็ไม่ได้บุ่มบ่ามจัดการปัญหา แต่ยกมือขวาแตะตรงระหว่างคิ้วของจื่อเชอที่นอนอยู่บนพื้น

เมื่อแตะลงไป ร่างจื่อเชอพลันตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว

ซูหมิงนั่งยองลงหยิบเม็ดโอสถมาจำนวนหนึ่ง หลังจากใส่ปากจื่อเชอทีละเม็ดแล้ว ก็จับเขานั่งขัดสมาธิด้านข้าง ส่วนตนใช้มือขวากดตรงกลางกระหม่อมอีกฝ่าย ขณะที่พลังชำระล้างทะลักเข้าสู่กายจื่อเชอ ร่างก็ยิ่งสั่นเทารุนแรงก่อนกระอักโลหิต ภายในตัวเขายังเต็มไปด้วยแมลงเล็กสีดำยั้วเยี้ย

ซูหมิงขมวดคิ้ว เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อพลังชำระล้างของตนหลั่งไหลเข้าสู่ตัวจื่อเชอแล้ว พลันแยกออกคล้ายด้ายหมื่นเส้น หายเข้าไปในส่วนต่างๆ ของร่างกายจื่อเชอ เหมือนถูกกลืนเข้าไป

นี่เป็นเรื่องปกติ และเป็นสิ่งที่ซูหมิงตั้งใจเอาไว้ ใช้พลังชำระล้างของตนบำรุงร่างกายจื่อเชอ รวมถึงให้กลืนเม็ดโอสถไปด้วย แบบนี้ถึงจะทำให้จื่อเชอฟื้นฟูร่างกายและได้สติเร็วที่สุด

ทว่าตอนนี้ พลังชำระล้างของซูหมิงหลั่งไหลเข้าไปในตัวอย่างต่อเนื่อง สภาพของจื่อเชอก็ยังไม่ดีขึ้น แต่กลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ยังมีพลังชีวิตอยู่เล็กน้อย ยามนี้พลังชีวิตกลับหายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อหายไปจนหมด จื่อเชอจะต้องตายเป็นแน่

ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา จิตสังหารในดวงตาขวาเข้มข้นขึ้นหลายส่วน

สำหรับจื่อเชอแล้ว แม้ซูหมิงไม่เคยนับเขาเป็นคนยอดเขาลำดับเก้า ทว่าตั้งแต่จื่อเชอมายอดเขาลำดับเก้า นอกจากดื้อรั้นในตอนแรกแล้วก็เคารพเชื่อฟังซูหมิงมาโดยตลอด

ช่วงเวลาเหล่านั้น จื่อเชอไม่เคยทำให้ซูหมิงไม่พอใจเลย และที่สำคัญที่สุดคือคำเรียกที่เขาเรียกซูหมิง จากอาจารย์อาเริ่มกลายเป็นนายท่านอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่ความต้องการของซูหมิง แต่เป็นพฤติกรรมโดยธรรมชาติของเขา

สำหรับผู้ติดตามคนนี้ ซูหมิงรู้สึกลึกๆ ในใจมาตลอดว่า ศิษย์พี่ใหญ่ทำร้ายจื่อเชอได้ ศิษย์พี่รองก็ทำได้ ศิษย์พี่สามก็ทำได้เช่นกัน ส่วนอาจารย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่นอกจากคนเหล่านี้แล้ว หากคนอื่นคิดจะทำร้ายผู้ติดตามของเขา มันจะต้องชดใช้แน่

ขณะแค่นเสียงหึ ตรากระบี่สีดำตรงระหว่างคิ้วซูหมิงวูบไหว จิตสัมผัสพลันแผ่ขยายรวมอยู่ในตัวจื่อเชอ เมื่อไหลเวียนรอบตัวจนครบหนึ่งรอบแล้ว ก็ทะลวงเข้าสู่ร่างกายจื่อเชอ และตรวจสอบทุกจุดด้วยวิธีที่ละเอียดยิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง แววตาซูหมิงเพ่งมอง พลังจิตสัมผัสของเขาตรวจพบอย่างชัดเจนว่าตรงบริเวณท้องน้อยของจื่อเชอมีบางสิ่งที่เหมือนรังไหมอยู่ สิ่งนี้มีขนาดราวกำปั้น ภายในกลับมีแมลงสีดำไต่ออกมาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

แมลงเล็กๆ เหล่านี้อยู่ในตัวจื่อเชอ กำลังสูบกินพลังชีวิตและเลือดเนื้อของจื่อเชอมาบำรุงตัวเอง ดูชั่วร้ายและเหี้ยมโหดยิ่งนัก

ซูหมิงยกมือขวาจากกระหม่อมจื่อเชอ แล้ววาดบนเสื้อผ้าตรงหน้าอกเขา ก่อนกดท้องน้อย พลังชำระล้างและจิตสัมผัสหลอมรวมเข้าด้วยกัน แล้วชะล้างสิ่งที่เหมือนรังไหมตรงท้องจื่อเชอ

จื่อเชอกำลังหลับตา ทว่ากลับร้องโหยหวน ขณะร้องอย่างน่าเวทนา ซูหมิงทำมือเป็นกรงเล็บ ทะลวงท้องน้อยของจื่อเชอเข้าไปแล้วคว้ารังไหมเอาไว้ ก่อนกระชากออกจากตัวอย่างแรงทันที

ชั่วเวลาที่รังแมลงถูกดึงออก จื่อเชอพลันลืมตา ดูเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกัน ซูหมิงใช้มือซ้ายกดตรงปากแผลบริเวณท้องน้อย พลังชำระล้างหลั่งไหลเข้าไป ทำให้เนื้อเชื่อมกันอย่างรวดเร็ว แมลงสีดำจำนวนมากถูกพลังชำระล้างกวาดทำลายจนเรียบ พากันไต่ออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของจื่อเชอ ดิ้นรนอยู่หลายทีก็หล่นลงพื้นทีละตัวๆ

ใบหน้าจื่อเชอเริ่มมีเลือดฝาด พลังชีวิตของเขาเริ่มหยุดกระจายหาย และค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาจากการนั่งฌาน เพียงแต่ลูกธนูสีดำที่ปักอยู่ตรงขาขวายังคงปล่อยหมอกดำตลบ หมอกดำเหล่านั้นบ้างรวมเป็นเงาภูตผี ราวกับกำลังคำรามไร้เสียง

ซูหมิงชักมือซ้ายกลับ ขณะกำลังจะดึงลูกธนูสีดำออกก็พลันหยุดชะงัก จ้องลูกธนูพลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกรางๆ ว่าธนูนี้มิใช่ของที่จะดึงกันง่ายๆ

“นี่คือลูกธนูของนักรบหมานธนูดำ…คนที่โดนพลังชีวิตจะค่อยๆ หายไปเหมือนถูกพิษ…หากดึงออกมาอย่างผิดวิธี จื่อเชอจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ และตายลง…” น้ำเสียงเบาบางไป๋ซู่ดังแว่วเข้ามา

ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เบนสายตาจากจื่อเชอมองไปยังรังแมลงที่ถืออยู่ในมือขวา รังแมลงนี้เป็นสีดำทุกส่วน ดูเหมือนก้อนหิน ช่วงที่ซูหมิงเพิ่งดึงจากตัวจื่อเชอยังคงนิ่ม ทว่าเมื่อโดนลมกลับแข็งอย่างรวดเร็ว

ตรงขอบมีรอยร้าวหนึ่งเส้น แมลงเล็กสีดำไต่ออกมาจากตรงนั้น แต่ตอนนี้รอยแยกนั้นปิดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แมลงที่ไต่มาก่อนหน้านี้ตกลงสู่พื้นท่ามกลางลมหิมะ

ซูหมิงจ้องรังแมลงในมือ นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ

“นี่ไม่ใช่ของสำนักเหมันต์สวรรค์…” น้ำเสียงอ่อนแรงแฝงไว้ด้วยความกลัวดังมาจากตรงหน้าซูหมิง

ซูหมิงเงยหน้า เขาเห็นไป๋ซู่มีสีหน้าลังเลใจ เดินมายังบนแท่นราบ

“ของจากสำนักเหมันต์สวรรค์จะทนความหนาวได้ ทว่าสิ่งนี้เมื่อถูกลมหนาวจะแข็งตัว ไม่ใช่ของสำนักเหมันต์สวรรค์แน่นอน” ไป๋ซู่กล่าวเบาๆ

ซูหมิงไม่เอ่ยสิ่งใด ก้มหน้าจ้องรังแมลงต่อ เริ่มขมวดคิ้วทีละน้อย แววตาเหมือนสงบนิ่ง ทว่าไม่มีใครรู้ว่าในใจเขา หลังจากเห็นจื่อเชอพ่นแมลงเหล่านี้จากปากและถือรังแมลงนี้ไว้แล้ว หัวใจของเขามีคลื่นลูกใหญ่ซัดไปมา

“ต่อให้เป็นเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ก็ไม่มีทางมีของแบบนี้ เพราะสภาพอากาศที่นี่ไม่เหมาะกับมัน…..เจ้าดู พวกมันตายแล้ว รังแมลงในมือเจ้าอีกไม่นานก็จะตาย…”

ไป๋ซู่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ

“เผ่าชายแดนเหนือกับเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์เกี่ยวข้องกันอย่างไร” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

“เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์มีสี่ส่วน ชายแดนเหนือเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนจั๋วเกอ ข้าเคยได้ยินชื่อมาก่อน เขาไม่ใช่ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ แต่เป็นบุตรชายของจั๋วหยา ผู้นำนักรบเผ่าชายแดนเหนือ…” ไป๋ซู่หยุดนิ่ง แต่ก็ยังคงกล่าวสิ่งที่รู้ออกมา ทว่านางมีสิ่งหนึ่งที่ลังเลจึงไม่กล่าว นั่นคือจั๋วเกอคนนี้ไปมาหาสู่กับซือหม่าซิ่นบ่อยครั้ง

“นักรบหมานธนูดำคืออะไร!” ขณะซูหมิงกล่าว เขาเบนสายตาจากรังแมลง มองไปยังขาขวาของจื่อเชอที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

ธนูดอกนั้นปล่อยหมอกดำรวมเป็นร่างภูตผี ลอยล่องอย่างดุร้าย

“นักรบหมานของเผ่าชายแดนเหนือ พวกเขาฝึกฝนต่างจากพวกเราสำนักเหมันต์สวรรค์มาก พวกเขารวมโลหิตทว่าไม่ชำระล้าง ไม่เซ่นไหว้กระดูก แต่ฝึกอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ กระตุ้นพลังจากสายเลือดทั้งหมด ทำให้ร่างกายเป็นอมตะ

การฝึกฝนพิเศษแบบนี้เป็นของเผ่าชายแดนเหนือเท่านั้น น้อยนักที่จะถ่ายทอดสู่โลกภายนอก ตั้งแต่ชายแดนเหนือยอมสยบให้เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ ก็ได้รับความเกรงใจจากเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ ให้พวกเขาเก็บความลับการฝึกฝนเฉพาะตัวแบบนี้ต่อไปได้

ธนูดำเป็นชื่อเรียกอย่างหนึ่งของพวกเขา ฟ้าดำเขียวม่วง นักรบหมานธนูดำเทียบเท่ากับขั้นเซ่นไหว้กระดูก…เผ่าชายแดนเหนือ นอกจากจะไม่ถ่ายทอดการฝึกฝนสู่ภายนอกแล้ว ยังมีความลับการสร้างธนูที่สืบทอดกันมา เพียงแต่มันก็เป็นแค่ธนูที่พวกเขาสร้าง อีกทั้งผู้ยิงต้องเป็นชาวเผ่าที่ฝึกฝนวิชายิงธนูลับซึ่งไม่ถ่ายทอดให้ใคร มันจึงจะมีพลังดูดชีวิต การจะดึงมันออกมิใช่เรื่องง่าย ต้องละลายหมอกดำบนตัวเขาก่อน เซ่นไหว้ชีวิตที่มากพอเพื่อสลายหมอกดำแล้วถึงจะดึงออก” ไป๋ซู่กล่าวเบาๆ อธิบายอย่างละเอียด บอกแทบทุกอย่างที่นางรู้

ซูหมิงมองลูกธนูที่ปักอยู่บนขาขวาจื่อเชอ พลังชั่วร้ายในดวงตาขวาเข้มข้นขึ้นอีกเล็กน้อย

“หมอกดำคืออะไร?” ซูหมิงถามอย่างสงบ

“คือภูตผี…..นี่คือคำเรียกที่เผ่าชายแดนเหนือตั้งขึ้น นักรบหมานที่โตเต็มวัยทุกคนต้องถูกส่งเข้าไปในแดนลับของเผ่าชายแดนเหนือเพื่อตามหาภูตผีของตน

เมื่อหาเจอแล้ว ธนูที่พวกเขายิงออกไปจะมีพลังของภูตผี ยิ่งสังหารคนมากเท่าไร ภูตผีจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น จนสุดท้ายมีระดับที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ในตอนนั้นจ่ายไปเยอะเพื่อสยบเผ่านี้ และตั้งชื่อให้ว่าชายแดนเหนือ”

“แล้วก่อนยอมสยบให้เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์มีชื่อว่าอะไร?” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ มองไป๋ซู่

ความรู้เรื่องเหล่านี้ของไป๋ซู่ ทำให้ซูหมิงตะลึงเช่นกัน

“แดนภูต….” ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา เอ่ยจบนางลังเลครู่หนึ่งก่อนมองซูหมิง

“บางที…ข้าอาจจะขับไล่ภูตผีบนธนูนี้ได้…”

ซูหมิงมองมาแวบหนึ่ง

“ข้า….แม้ข้ามีขั้นพลังไม่สูง ทว่าตอนเด็กข้าก็ชอบอ่านคัมภีร์ รู้เรื่องที่คนอื่นไม่เคยรู้เยอะ…..วิชาเผ่าประหลาดพวกนี้ ข้ายังเคยรู้มาจากบิดาอีกไม่น้อย…” ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา นางไม่บอกซูหมิงเพราะเรื่องในวัยเด็ก ความสนใจเดียวที่บิดามีต่อนางนี้ พูดได้ว่าทุ่มแรงหาคัมภีร์ล้ำค่านับไม่ถ้วนและวิชาที่ต้องใช้ในการฝึกฝนมาให้นางอย่างเต็มที่

“เจ้ามั่นใจกี่ส่วน?” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“สามส่วน…สองส่วน…หรืออาจจะต่ำกว่านั้น…” ไป๋ซู่ลังเลครู่หนึ่ง กล่าวเสียงเบา

“หากล้มเหลวจื่อเชอจะตายหรือไม่?” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ เอ่ยเรียบๆ

ไป๋ซู่เงียบไปพักหนึ่ง อีกนานจึงพยักหน้าด้วยสีหน้ามัวหมอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version