Skip to content

สู่วิถีอสุรา 284

ตอนที่ 284 สัญญาณรวมพลยอดเขาลำดับเก้า

“หากไม่หาย เขาก็จะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ลำดับแรกขั้นพลังจะถดถอย หลังจากสูญเสียขั้นพลัง ต่อมาจะเป็นเลือดเนื้อ ท้ายที่สุดคือพลังชีวิต จนกระทั่งตายลงกลายเป็นเงาภูตผี กลับไปอยู่ข้างเจ้านายของมัน” ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา

“เผ่าชายแดนเหนือเป็นของเหมันต์สวรรค์ หากจั๋วเกอสังหารจื่อเชอ เรื่องนี้สำนักเหมันต์สวรรค์ไม่ต้องให้คำอธิบายหรอกรึ?” ซูหมิงมองรังแมลงในมือ ตอนนี้มันแข็งอย่างสมบูรณ์เหมือนกับก้อนหิน

“เจ้า…เจ้าไม่รู้หรือ?” ไป๋ซู่ตะลึงงัน เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง มองจื่อเชอแวบหนึ่งด้วยแววตาซับซ้อน

“อะไร?” ซูหมิงเงยหน้ามองไป๋ซู่

“สามเดือนก่อน จื่อเชอถูกอาจารย์ประกาศขับไล่ออกจากยอดเขาลำดับสอง…เขามิใช่ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์อีกแล้ว…”

นัยน์ตาซูหมิงพลันวูบไหว มองจื่อเชอที่นั่งฌานอยู่ ใบหน้ามีเลือดฝาดไม่มาก ทว่าสีหน้ากลับยึดมั่น เขาไม่ได้ยินคำสนทนาของซูหมิงกับไป๋ซู่ ในตอนนี้เขาต้องฟื้นตัว มิเช่นนั้นคงต้านทานพลังของลูกธนูไม่ไหว

“สามเดือนก่อน…” ซูหมิงรู้แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงที่เขาออกจากสำนักเหมันต์สวรรค์ห้าวัน ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติจากในตัวจื่อเชอเลย แต่เรื่องนี้มันมิใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับจื่อเชอ

“ถ้าไม่อย่างนั้น ทุกครั้งที่เขาเห็นพี่สาวตัวเองคงไม่ก้มหน้า…” ไป๋ซู่ถอนหายใจเบา

ซูหมิงเงียบ มองรังแมลงในมืออยู่นานก่อนบีบมัน

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าแมลงนี้ไม่ใช่ของสำนักเหมันต์สวรรค์ พวกมันจะตายเพราะความหนาว?” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ไม่รู้ว่าโมโหหรือยินดี

ไป๋ซู่พยักหน้า

ซูหมิงนั่งย่อตัวลง หยิบแมลงที่ตัวเล็กที่แข็งค้างเหมือนตายขึ้นมาตัวหนึ่ง จากนั้นส่งเปลวเพลิงจากมือขวาเข้าไปห่อหุ้มแมลงตัวนี้ไว้

ในเปลวเพลิง ร่างแข็งทื่อของแมลงพลันสั่นไหว พลิกตัวกลับ ดูมีชีวิตชีวา มีเสียงร้องดังออกมา มันตัวสั่นมากยิ่งขึ้น ก่อนมุดเข้าไปในเนื้อมือของซูหมิง

ทว่ายังไม่ทันเข้าไป เพลิงตรงกลางฝ่ามือพลันหาย สายลมหนาวพัดเข้ามา เขาบีบมือจนมีเสียงกรุบๆ ก่อนคลายออก

ขณะไป๋ซู่สูดลมหายใจ นางเห็นแมลงเล็กสีดำในมือซูหมิงกลายเป็นผุยผง

“ก่อนหน้านี้มันยังไม่ตาย เพียงแค่จำศีล เมื่อเจอไฟก็จะตื่น!” ซูหมิงสะบัดมือขวา ปล่อยเศษในมือให้ลอยตามลม

“แมลงตัวนี้เป็นเช่นนี้ แมลงตัวอื่นก็เช่นกัน” น้ำเสียงซูหมิงเย็นชา ตรงหน้าเขาผุดภาพในความทรงจำ ในภาพเป็นโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง บนโซ่เหล็กมีร่างคนมายา ทั้งตัวเงาคนเต็มไปด้วยบาดแผล ตรงปากแผลมีแมลงสีดำลักษณะเหมือนแบบนี้ทุกประการยั้วเยี้ยเต็มไปหมด!

‘เหลยเฉิน…..’ ซูหมิงหลับตา เขาไม่รู้ว่าภาพที่ปรากฏบนโซ่เขาหานตอนนั้นเป็นจริงหรือไม่ จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ แต่หนอนเล็กพวกนั้นกลับทำให้เขาตื่นตะลึง

ก่อนบุกโซ่เขาหานเขาไม่เคยเห็นแมลงชนิดนี้มาก่อน หากเป็นแค่จินตนาการ ตอนนี้ได้เห็นแมลงชนิดเดียวกันอีกครั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเกิดจากจินตนาการ

‘หากเป็นจริง เหตุใดความจริงกับความทรงจำข้าถึงต่างกัน…หากไม่จริง เหตุใดสิ่งในจินตนาการเหล่านั้นถึงมีอยู่จริง ทั้งยังเหมือนกัน!’

‘นี่คือเบาะแส!’

ซูหมิงลืมตา ได้ยินเสียงแผ่วเบาของไป๋ซู่ดังเข้ามา

“ให้ข้าลองช่วยจื่อเชอเถอะ…” ไป๋ซู่มองซูหมิง กล่าวเบาๆ

“ไม่ต้องแล้ว ยังมีอีกวิธีที่ไม่เสี่ยงและรักษาเขาได้อยู่” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง น้ำเสียงเย็นชา ดวงตาขวามีแสงสีแดง

“วิธีอะไร?” ไป๋ซู่มึนงง ไม่เข้าใจความหมายของซูหมิง

“สังหารจั๋วเกอ ทำลายภูตผีของเขา พลังภูตผีในธนูตรงขาจื่อเชอก็จะหายไปเอง”

ซูหมิงกล่าวจบ มองไป๋ซู่

“แถบนี้เจ้าชินทางมากกว่าข้า พาข้าไปเผ่าชายแดนเหนือ!”

ไป๋ซู่กัดริมฝีปากล่าง อึ้งมองซูหมิง ทว่าส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่

“ด้วยขั้นพลังของเจ้า ไปเผ่าชายแดนเหนือเพียงคนเดียวต้องตายแน่ ข้าจะไม่พาเจ้าไป!”

“ข้าไม่ได้ไปคนเดียว” ซูหมิงหมุนตัวกลับ เงยหน้าแผดเสียงขึ้นฟ้า เสียงของเขากึกก้องยอดเขาลำดับเก้า สั่นสะเทือนธารน้ำแข็งจนมีเสียงอึกทึก

ช่วงที่เสียงดังกึกก้อง หู่จื่อดื่มสุราอยู่ในถ้ำ หรี่ม่านตายิ้มซื่อๆ กำลังกอดน้ำเต้าสุราเข้าฝันเพื่อพักผ่อนเตรียมออกไปข้างนอกคืนนี้

ทว่าเขาเพิ่งหลับตา ยังไม่ทันมีเสียงกรน ก็มีเสียงคำรามของซูหมิงดังแว่วเข้ามาจากนอกถ้ำ เสียงนั้นเหมือนกับฟ้าผ่า ถ้ำของหู่จื่อสั่นสะเทือน เขาพลันลืมตา ออกแรงขยี้ตา สีหน้าประหลาดใจ

“น้องสี่เกิดอะไรขึ้น?” เขาไม่ลังเล รีบยืนขึ้นแขวนน้ำน้ำเต้าสุราแล้วพุ่งตัวออกจากถ้ำ ตรงไปยังถ้ำของซูหมิง

ขณะเดียวกัน ตรงกลางยอดเขาลำดับเก้า บริเวณที่ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มไปด้วยพืชสีเขียว เกิดเป็นภาพที่เหมือนกับย้อนเวลาท่ามกลางหิมะน้ำแข็ง

ศิษย์พี่รองนั่งฌานอยู่ในพืชดอกบานสะพรั่ง ยังคงให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้าอยู่ตลอด ยิ้มมุมปากอย่างอบอุ่น ตรงหน้าเขา พืชสีเขียวบนพื้นเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม มีหลายส่วนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกมันพัวพันเข้าด้วยกันแล้วก็เหมือนจะถักขึ้นเป็นอะไรบางอย่าง

ศิษย์พี่รองตั้งใจยิ่งนัก แต่ทันใดนั้นมีเสียงคำรามของซูหมิงดังก้องยอดเขาลำดับเก้า ภายในเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยพลังชั่วร้ายน่าทึ่ง ด้วยพลังชั่วร้ายนั้น พืชดอกที่กำลังพัวพันกันหยุดนิ่ง

ศิษย์พี่รองมีสีหน้าประหลาดใจ เงยหน้ามองถ้ำของซูหมิง

“ใครมันล่วงเกินศิษย์น้องเล็ก?” ศิษย์พี่รองยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อน สะบัดเสื้อผ้า เอามือไพล่หลัง ให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้า แล้วเดินไปถ้ำของซูหมิงทีละก้าว

ขาของเขาเหมือนเหยียบอยู่บนพื้น ทว่าความจริงแล้วทุกก้าวล้วนรักษาความห่างจากพื้นหนึ่งชุ่น!

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงคำราม ใต้ชั้นน้ำแข็งยอดเขาลำดับเก้า ตรงจุดปิดด่านฝึกพลังตลอดทั้งปี มีสายตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นจากในความมืด

“พลังชั่วร้ายเช่นนี้….หากไม่ระบายออก เกรงว่าคงยากจะให้จิตใจสงบ….ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอยากระบาย ทว่าข้ายังออกฌานไม่ได้…” เสียงพึมพำเบาๆ ดังในธารน้ำแข็งเงียบสงัด

ทันใดนั้น หินน้ำแข็งสูงเท่าคนก้อนหนึ่งพลันเกิดรอยร้าว ภายในรอยร้าวมีเพลิงพุ่งออกมา เหมือนกับแผดเผาหินน้ำแข็ง ชั่วพริบตาเดียว รอยร้าวบนก้อนน้ำแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็ระเบิดกระจุย

ช่วงที่ระเบิด มีมือสีดำหนึ่งข้างยื่นมาจากในก้อนน้ำแข็ง!

มือสีดำแผ่ไอหนาวเยือก เมื่อค่อยๆ ยื่นออกมาแล้วกดบนพื้นน้ำแข็งด้านข้าง คล้ายจะปีนออกมา ปรากฏเป็นชายร่างกำยำตัวดำทึบทั้งตัว

ชายร่างกำยำคนนี้เปลือยท่อนบน เมื่อปีนออกมาแล้วจึงหลับตา คุกเข่าลงหนึ่งข้างไปทางดวงตา

“ตอนนั้นสามร้อยทาสสงบศึกกับข้า และยังติดตามข้ามาปิดด่านฝึกพลังที่นี่…วันนี้ข้าขอเรียกเจ้าหนึ่งในสามร้อยทาส ช่วยข้าทำงานอย่างหนึ่ง”

“นายน้อยบัญชามา!” ชายร่างกำยำพลันลืมตา ดวงตาเขาเป็นสีเทา แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งและไร้เมตตา ทำให้ผู้พบเห็นต้องขมขื่น ขณะเดียวกันยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจากตัวชายร่างกำยำได้อย่างชัดเจน

“ปกป้องเหล่าศิษย์น้องของข้า ฟังคำสั่งพวกเขา ตอนที่จำเป็น…อนุญาตให้เจ้าใช้คำสาปต้องห้าม!” ดวงตาในธารน้ำแข็งค่อยๆ หายไป คำพูดเหล่านั้นยังคงดังกังวานและแฝงไว้ด้วยจิตสังหารท่ามกลางความเงียบ

ชายร่างกำยำแสยะยิ้ม เลียริมฝีปาก เมื่อคำนับแล้วก็ยืนขึ้น ขณะยกเท้าเดินไปด้านข้าง ตัวเขากลายเป็นหมอกดำ มุดเข้าไปในผนังน้ำแข็งและหายไป

เวลาเดียวกันตรงปลายยอดเขาลำดับเก้า เทียนเสียจื่อกำลังหาว บิดเอวเดินไปเดินมา ทั้งยังเหมือนบ่นอะไรบางอย่าง

เมื่อเดินมาถึงยอดเขา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลงนอนคว่ำบนพื้น เอาสองมือยันตัวเอาไว้ ดันขึ้นลงหลายครั้งแล้วยืนขึ้นมาใหม่ ใบหน้าเผยรอยยิ้มพอใจ

“วันนี้ทำได้สิบครั้ง มากกว่าปีก่อนตั้งหนึ่งครั้ง ดีๆๆ! เทียนเสียจื่อเจ้าจะเก่งเกินไปแล้ว เจ้าเป็นหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิตนี้! เทียนเสียจื่อเจ้าเป็นตัวอย่างที่ดี เจ้าเป็นความภูมิใจของข้า!” เทียนเสียจื่อยิ้มอย่างพอใจ พึมพำกับตัวเองพักหนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นเตรียมจะร้องขึ้นฟ้าเหมือนเช่นปกติ แล้วมุ่งหน้าไปฝึกฝนร่างกายในยามเช้าตรู่ตามทิศต่างๆ

ทว่าเพิ่งอ้าปากเตรียมร้อง กลับมีเสียงคำรามดังแว่วเข้ามาก่อน เสียงนั้นดังสนั่นกึกก้องแปดทิศ ทำให้เทียนเสียจื่อตะลึงงันไปชั่วครู่

“หืม? ข้ายังไม่ตะโกนเลย เหตุใดถึงมีเสียง?” เทียนเสียจื่อกะพริบตา ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง พบว่าเสียงยังคงอยู่จึงรีบนั่งยองลง ชะเง้อหน้ามองตรงขอบยอดเขา

“เจ้าสี่คำรามได้ไม่น่าฟังเลย หืม เจ้าสามไปแล้ว…ไอหยา เจ้ารองก็ไป มารดาเจ้าเถอะ เหตุใดศิษย์ใหญ่ถึงไปรวมกับเขาด้วย นี่จะไปประลองฝีมือกันอย่างนั้นรึ ฮ่าๆ น่าสนุกๆ” นัยน์ตาเทียนเสียนจื่อฉายแววตื่นเต้น รีบถกแขนเสื้อเหมือนจะเข้าร่วมด้วย

นอกถ้ำของซูหมิง บนแท่นราบ หลังจากซูหมิงคำรามกังวาน หู่จื่อมาคนแรก ขณะเดียวกับที่เขามาถึงแท่นราบ ก็เห็นสภาพน่าอนาถของจื่อเชอ เขาพลันถลึงตามอง ดูโกรธแค้น

“มารดาเถอะ ใครทำร้ายเจ้าแมวน้อย!”

จากนั้นศิษย์พี่รองเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น ทว่าเมื่อเขาเห็นสภาพของจื่อเชอ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป

“ศิษย์น้องเล็ก ใครเป็นคนทำ!”

“นักรบหมานธนูดำเผ่าชายแดนเหนือ นามจั๋วเกอ เขาเป็นบุตรชายของจั๋วหยาผู้นำนักรบชายแดนเหนือ” ซูหมิงมองจื่อเชอ กล่าวอย่างสงบนิ่ง

“มารดามันเถอะ กล้ารังแกแมวน้อยของข้า!” หู่จื่อตะโกนเสียงดังอยู่ข้างๆ

“แบบนี้…ไม่ดี…..” ศิษย์พี่รองส่ายศีรษะ เผยรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง หากแต่รอยยิ้มครั้งนี้ดูเยือกเย็น

“ขยะอย่างมัน พวกเราต้องไปตัดเจ้าโลกมันมาซะ!” ศิษย์พี่รองยิ้มมากขึ้น

ไป๋ซู่ฟังไปฟังมาก็หน้าแดง แอบร้องอุทานในใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version