ตอนที่ 285 ตำนานฝ่ายภูตผี
“ตัดหัวมังกรมัน?” หู่จื่อได้ยินดังนั้นยังมึนงง จะยกมือขึ้นเกาศีรษะโดยไม่รู้ตัว ทว่าคล้ายรู้สึกว่าไม่ควร เพิ่งยกได้เพียงครึ่งเดียวก็รีบวางลง เขาคิดเสมอว่าตนเป็นคนฉลาดที่สุดบนยอดเขาลำดับเก้า จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าตนไม่เข้าใจความหมาย
“ไม่ผิด ข้าก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ ตัดหัวมังกรมัน มารดาเถอะ ตัดเสร็จแล้วข้าจะกินมัน!” หู่จื่อตบหน้าอก ทำท่าทาง ‘ข้าเข้าใจ’ ยิ้มทึ่มๆ มองศิษย์พี่รอง
ศิษย์พี่รองกะพริบตา ยิ้มอย่างอบอุ่น พอได้ยินหู่จื่อกล่าว นัยน์ตาดูตกใจและคาดไม่ถึง เขามีสีหน้าลังเลรวมถึงชื่นชมและเฝ้ารอคอย การเปลี่ยนของสีหน้า หากมิใช่คนสนิทกันคงยากจะมองออก
หู่จื่อมองออกแล้ว เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป แต่เขาเข้าใจว่าตอนนี้จะเผยสีหน้ามึนงงไม่ได้ เขาบอกตัวเองเสมอว่า เขาคือคนที่ฉลาดที่สุดบนยอดเขาลำดับเก้า เข้าใจทุกอย่าง ฉะนั้นจึงยืดอกพยักหน้าให้ศิษย์พี่รองอย่างจริงจัง
ศิษย์พี่รองก็มีสีหน้าจริงจังเช่นกัน ตบบ่าหู่จื่อเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับถอนหายใจยาว มีสีหน้านับถือ
หู่จื่อรู้สึกว้าวุ่นในใจ ที่มากกว่าคือสีหน้ากลับเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
จื่อเชอนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน ธนูดำภูตผีตรงขาขวาทำให้ใบหน้าซีดขาวมีเลือดฝาดเป็นบางครั้ง แต่ไม่นานก็กลับมาขาวซีด
ช่วงที่ศิษย์พี่รองตบบ่าหู่จื่อ ซูหมิงมองไป๋ซู่
“ตอนนี้จะพาพวกข้าศิษย์พี่น้องสามคนไปเผ่าชายแดนเหนือได้หรือยัง!”
น้ำเสียงซูหมิงเรียบนิ่ง ทว่าพลังชั่วร้ายในดวงตาขวาและความเยือกเย็นในดวงตาซ้าย กลับสร้างความรู้สึกที่เหมือนผสานรวมกันท่ามกลางความประหลาด ทำให้ผู้พบเห็นต้องใจสั่น
ไป๋ซู่ก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง เงยใบหน้างามมองซูหมิง ก่อนพยักหน้าเบาๆ
ยามพยักหน้า ซูหมิงเดินมาอยู่ข้างไป๋ซู่ แล้วคว้าเอวคอดเอาไว้ขณะนางร้องตกใจ พานางกลายเป็นสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งลอยขึ้นฟ้า
ไป๋ซู่ตาลาย ทั้งยังใจลอย หัวใจเต้นแรงขึ้น กลิ่นอายเด่นชัดของบุรุษโชยใส่ใบหน้านาง นางไม่เพียงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น อีกทั้งยังได้ยินเสียงหัวใจของซูหมิงที่กำลังกอดตน
ความรู้สึกแปลกนี้ทำให้นางหน้าแดงขึ้น ต่อให้อยู่กับซือหม่าซิ่น อย่างมากสุดก็แค่จับมือเท่านั้น เหตุที่ไม่เคยเกินเลยก็เพราะความกังวลของซือหม่าซิ่น บวกกับไป๋ซู่เองตื่นเต้นเล็กน้อย จึงไม่เกิดเหตุการณ์ถูกกอดเหมือนตอนนี้
ขณะเดียวกับที่ซูหมิงโอบไป๋ซู่ลอยขึ้นฟ้า หู่จื่อหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ แสยะปากมีสีหน้าดุร้าย ก่อนเคลื่อนตัวตามหลังซูหมิงไป
ศิษย์พี่รองยังคงมีสีหน้าอบอุ่น ยิ้มเอาสองมือไพล่หลังแล้วจึงเดินขึ้นฟ้า ทุกก้าวที่เหยียบลง มวลอากาศจะมีแสงครามอ่อนๆ วูบวาบ จากความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันจึงดูเหมือนสายรุ้งสีครามลากผ่านท้องฟ้า
ด้านหลังทั้งสามคนมีควันดำรางๆ ติดตามมา เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหาย หมอกดำนั้นลอยในอากาศยากจะสังเกตเห็น ทว่าหากมีคนสังเกตเห็นจริงๆ ก็จะรู้สึกถึงไอสังหารน่าสะพรึงจากในควันดำ
ควันดำจางๆ นี้คือหนึ่งในสามร้อยทาสของศิษย์พี่ใหญ่!
เขาปฏิบัติตามคำสั่งของนายน้อย ต้องปกป้องเหล่าศิษย์น้อง กระทั่งหากจำเป็นยังสามารถใช้พลังที่แกร่งที่สุดของเผ่าพวกเขา คำสาปต้องห้าม!
บนท้องฟ้าหลังหมอกดำ แม้แต่ทาสของศิษย์พี่ใหญ่ยังสังเกตไม่พบว่ามีชายชราเสื้อคลุมขาวผู้หนึ่ง ยามนี้เขามีสีหน้าตื่นเต้น ถูมือสองข้างไม่หยุด บ้างก็พับแขนเสื้อเผยให้เห็นแขนซูบผอม ดวงตาเปล่งประกาย ตามหลังไปอย่างระมัดระวัง
“จะต่อสู้แล้ว น่าสนุกๆ ศิษย์สี่ไม่ใช่คนเขลา รู้ว่าต่อสู้คนเดียวมันไม่ใช่ ต้องสู้เป็นกลุ่มมันถึงจะเร้าใจกว่า! จะให้พวกเขารู้ไม่ได้ว่าข้าตามไป เช่นนี้ถึงจะยิ่งตื่นเต้น!
ทว่ากลุ่มเล็กแบบนี้ก็ยังเทียบกับข้าตอนนั้นไม่ได้ รู้จักการสู้เป็นกลุ่ม เหตุใดถึงไม่รู้ว่าควรสวมหน้ากาก?” ชายชราคนนี้คือเทียนเสียจื่อ นอกจากสีหน้าตื่นเต้นแล้ว ยังมีความฮึกเหิม แต่ก็มีความไม่พอใจตามมา
นี่คือยอดเขาลำดับเก้า หลายปีมาแล้ว นี่แทบเป็นครั้งแรกที่เคลื่อนไหวพร้อมกัน!
รวมกันมุ่งหน้าสู่ชายแดนเหนือ!
หากจั๋วเกอนักรบหมานธนูดำเผ่าชายแดนเหนือรู้ว่าการทำร้ายจื่อเชอจะส่งผลเช่นนี้ ทำให้ศิษย์และอาจารย์ที่คนอื่นมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดแห่งยอดเขาลำดับเก้าเคลื่อนไหวพร้อมกัน ไม่รู้ว่าพอเขาเห็นจื่อเชอแล้วจะรีบหนีไปทันทีโดยไม่ลงมือเลยหรือไม่
“เผ่าชายแดนเหนือห่างจากสำนักเหมันต์สวรรค์ราวหนึ่งวัน อยู่แผ่นดินเหมันต์สวรรค์เหมือนกัน แต่ต่างกับสำนักเหมันต์สวรรค์ ชนเผ่าพวกเขาไม่ได้ฝึกฝนบนเขาน้ำแข็งหรือธารน้ำแข็ง แต่ฝึกบนที่ราบหิมะ” ไป๋ซู่อยู่ในอ้อมกอดของซูหมิง ขณะโบยบิน ลมหนาวทิ่มแทงกระดูก ทำให้นางตัวสั่นและรู้สึกถึงความอบอุ่นจากในตัวซูหมิงที่ส่งเข้ามาในตัวนาง
ภายใต้ความอบอุ่น ลมหนาวเยือกก็คล้ายเบาบางลง ไป๋ซู่หน้าแดง เงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงเบา นางเล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับเผ่าชายแดนเหนือที่รู้ทั้งหมด เพื่อให้พวกซูหมิงเตรียมตัวกันอย่างดี
“เผ่าชายแดนเหนือใหญ่มาก เป็นเหมือนเมืองแห่งหนึ่ง ทว่าโดยรอบไม่มีกำแพงเมือง มีแค่เรือนอาศัยที่สร้างจากน้ำแข็ง…ในสายตาชาวเผ่าชายแดนเหนือ หิมะคือส่วนหนึ่งในชีวิต พวกเขาจะไม่นำมันไปทำเป็นกำแพงกันไว้ข้างนอก
ตรงทิศเหนือของเผ่าชายแดนเหนือมีรูปปั้นยักษ์สองรูป สองรูปปั้นนี้แกะสลักแยกกันเป็นภูตผีชั่วร้ายสองตน พวกมันเข่นฆ่ากันเอง รูปร่างใหญ่โต รวมเป็นประตูใหญ่ของเผ่า”
เสียงของไป๋ซู่ดังก้องท่ามกลางสายลม ขณะที่เข้าถึงหูซูหมิง หู่จื่อกับศิษย์พี่รองก็ได้ยินเช่นกัน
“เผ่าชายแดนเหนือในตอนนั้น ได้ยินว่ามีปรมาจารย์หมานธนูเขียวซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทียบเท่าขั้นวิญญาณหมานสามคน หนึ่งในนั้นใกล้จะก้าวสู่ธรณีประตูระดับธนูม่วงแล้ว
ชนเผ่าที่แข็งแกร่งแบบนี้ ต่อให้ไม่ใช่เผ่าใหญ่ก็เพียงพอจะทำให้เผ่าใหญ่ยำเกรง กว่าเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์จะสยบเผ่านี้ได้ต้องจ่ายไปไม่น้อย เมื่อสังหารจ้าวหมานระดับครึ่งก้าวธนูม่วงของเผ่าชายแดนเหนือแล้ว ก็สังหารปรมาจารย์หมานธนูเขียวอีกสองคน นี่จึงทำให้เผ่าแดนภูตยอมศิโรราบและเปลี่ยนชื่อเป็นชายแดนเหนือ
ผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานเผ่าชายแดนเหนือที่เหลืออยู่ คือผู้นำนักรบของชายแดนเหนือในตอนนั้น บุคคลนี้โชคดีรอดชีวิต ทว่าไม่นานก็ตายลงตามอายุขัย…..ชายแดนเหนือในตอนนี้ห่างไกลจากความรุ่งโรจน์ในยุคบรรพบุรุษยิ่งนัก แต่ก็จะดูแคลนไม่ได้
โดยเฉพาะตอนนี้ เผ่าชายแดนเหนือเป็นหนึ่งในสี่ส่วนใหญ่ของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ จะต้องมีผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานควบคุมอยู่แน่ เพราะจ้าวหมานเผ่าย่อยแต่ละสมัยต้องไปฝึกฝนที่เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์เมื่อบรรลุถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูกมหาสมบูรณ์ มีพียงทะลวงถึงขั้นวิญญาณหมานถึงจะได้รับฐานะเป็นจ้าวหมาน
เผ่าชายแดนเหนือในตอนนั้นเคยมีสองพันปีกว่าที่ไม่เคยมีจ้าวหมานเลย
แต่ข้าจำได้ว่าในคัมภีร์เคยบอกไว้ เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ชายแดนเหนือเคยมีจ้าวหมานที่ได้รับการยอมรับจากเหมันต์สวรรค์! นามของเขาคือโม่ซาน…” ไป๋ซู่กล่าวไวๆ พูดทุกอย่างที่รู้
ทั้งสี่คนห้อทะยานมาเกือบครึ่งวันแล้ว แผ่นดินใหญ่ขาวโพลน มองแวบเดียวไม่เห็นเส้นแบ่งพรมแดน ทั้งหมดล้วนเป็นฟ้าดินที่เชื่อมโดยหิมะกับน้ำแข็ง
ระหว่างบินอยู่บนท้องฟ้า น้อยนักที่จะเห็นเงาร่างคนตรงหน้า เหมือนกับโลกใบนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิต เหลือเพียงแค่พวกซูหมิง
บนแผ่นดินไม่มีรอยเท้าคนเดิน ตรงนี้เป็นเทือกเขาน้ำแข็งกับที่ราบตัดสลับกัน หากคนธรรมดามาที่นี่จะต้องตายอย่างแน่นอน
ลมหนาวพัดหวีดหวิว เหมือนเสียงร้องไห้ของภูตผี บ้างมีลมหิมะม้วนขึ้นมาจากพื้นดิน พาเกล็ดหิมะมาจากทุกสารทิศ ดูน่าทึ่งยิ่งนัก
นี่คือโลกสีขาว คือโลกของหิมะน้ำแข็ง เป็นโลกที่ผู้คนมองไม่เห็นสีอื่น
“นอกจากจ้าวหมานโม่ซานแล้ว เผ่าชายแดนเหนือยังมีอีกสี่ผู้นำใหญ่ แบ่งเป็นผู้นำนักรบ ผู้นำกองรักษาการณ์ ฝ่ายภูตผี และยังมีผู้นำวิญญาณ ทั้งสี่คนนี้มีขั้นพลังหยั่งลึกไม่อาจคาดเดา ต่อให้ยังมิใช่ขั้นวิญญาณหมานก็น่าจะใกล้เคียง…โดยเฉพาะฝ่ายภูตผีที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
เพราะมีคนเคยได้ยินตำนานเรื่องหนึ่ง ตำนานเรื่องนี้ข้าอ่านเจอในคัมภีร์ชำรุดเช่นกัน เล่าขานเกี่ยวกับฝ่ายภูติผีของเผ่าแดนภูต ตั้งแต่ชนเผ่าก่อตั้งมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าเขามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เสียง หรือการกระทำ หลายปีผ่านมา ทำให้คนเกิดรู้สึกอย่างหนึ่งและพูดถึงตำนานเรื่องนี้ด้วยคือ ฝ่ายภูตผีแห่งแดนภูตเป็นอมตะ อายุยืนหมื่นปี ยังเป็นคนเดิมตลอด!”
ไป๋ซู่กล่าวเสียงต่ำ กึกก้องอยู่ในหูทั้งสามคน ในเสียงลมหวีดหวิว ความรู้สึกลึกลับเพิ่มเข้ามาจากคำพูดนั้นหลายส่วน
“ศิษย์น้องเล็ก สาวน้อยคนนี้รู้เยอะดีจริงๆ แบบนี้…ดีมาก!” ศิษย์พี่รองยิ้มน้อยๆ มองไป๋ซู่อย่างชื่นชม
ไป๋ซู่อยู่ในอ้อมกอดของซูหมิง รีบอมยิ้มให้ศิษย์พี่รองตามมารยาท
“ขอบคุณ…..อาจารย์อาชมเกินไป ข้าแค่ชอบอ่านตำราเท่านั้น”
“เรียกข้าศิษย์พี่รองเหมือนศิษย์น้องเล็กก็พอ” ศิษย์พี่รองยิ้ม
ไป๋ซู่หน้าแดงเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเป็นอะไร วันนี้ถึงได้หน้าแดงบ่อยครั้งนัก
“เหตุใดไม่มีจ้าวเผ่า?” ซูหมิงพลันกล่าว นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่รองอยากถามเหมือนกัน ส่วนหู่จื่อกำลังดื่มสุรา มองด้านหน้า บ้างเลียริมฝีปากดูเหี้ยมโหด เขาไม่ได้ยินคำพูดทั้งหมดของไป๋ซู่ เขาคิดว่าไปตายเอาดาบหน้าก็ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนบอกเขาว่าต้องทำอะไรบ้าง
เขาคิดเสมอว่านี่คือสิ่งที่คนฉลาดที่สุดควรจะทำ
“เผ่าชายแดนเหนือยังคงรักษาธรรมเนียมของบรรพบุรุษเผ่าแดนภูต ไม่มีจ้าวเผ่า จ้าวเผ่าของพวกเขาเป็นสิ่งมายา ได้ยินว่าเป็นภูตผีชั่วร้ายในโลกใบนี้ตนหนึ่ง น่าเสียดายที่เป็นแค่สัญลักษณ์เท่านั้น” ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา
ซูหมิงใจสั่น พอได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้เกี่ยวกับเผ่าชายแดนเหนือ โดยเฉพาะตำนานจ้าวเผ่า สิ่งแรกที่ผุดในความคิดคือชายชราเผ่าเชมันกิ้งก่า เรียกกิ้งก่ายักษ์สัญลักษณ์ประจำเผ่ามา!
กิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ประจำเผ่าเท่านั้น
“ชายแดนเหนือ…แดนภูต…” แววตาซูหมิงขยับประกาย
เวลาค่อยๆ ผ่านไปเช่นนี้ พวกซูหมิงเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่ยามโพล้เพล้ ไป๋ซู่พลันหายใจกระชั้นถี่
“ถึงแล้ว…”