ตอนที่ 286 เผ่าชายแดนเหนือ
ฝีเท้าซูหมิงหยุดชะงัก หู่จื่อข้างกายแซงหน้าไปหลายก้าว ถือน้ำเต้าสุรา ดวงตาฉายแววกระหายเลือดทีละน้อย ส่วนศิษย์พี่รองเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่ง น่าเสียดายที่วันนี้แสงตะวันถูกเมฆบดบัง แม้แผ่นดินจะมีแสงสว่าง ทว่ากลับไม่ร้อนอบอ้าว
เบื้องหน้าพวกซูหมิงทั้งสาม ห่างไปราวหลายพันจั้ง เห็นจากไกลๆ ได้ว่าเป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างยักษ์ บนแดนหิมะกว้างใหญ่ สายลมพัดผ่าน ม้วนหิมะลอยกระจาย
ตรงหน้ากลุ่มสิ่งก่อสร้างยักษ์ใกล้กับพวกซูหมิงเป็นรูปปั้นยักษ์สองรูป ทั้งสองสลักเป็นภูตผีชั่วร้ายกำลังเข่นฆ่ากันเอง พลังชั่วร้ายมหาศาลแผ่จากตัวรูปปั้นทั้งสองโดยมิได้ปิดบังแม้แต่น้อย อบอวลอยู่โดยรอบ
ด้านหลังรูปปั้นภูตผียักษ์สองรูปเป็นแถวเรือนพักที่ไม่เป็นระเบียบนัก เรือนพักเหล่านี้ล้วนสร้างจากน้ำแข็ง เชื่อมกันเป็นผืนใหญ่ มองรอบแรกยากนักที่จะเห็นเขตพรมแดน
นี่คือชนเผ่าที่ใหญ่กว่าเมือง ความใหญ่ของมันไม่ได้อยู่ที่ความโออ่า แต่เป็นความยาวเหมือนไร้ที่สิ้นสุด แผ่นดินยืดยาวออกไปไกล
หากสามารถยืนบนท้องฟ้าเหนือชนเผ่าและยังเป็นจุดสูงสุด เมื่อเพ่งมองแผ่นดิน จะเห็นชนเผ่าชายแดนเหนือบนที่ราบน้ำแข็งกว้างใหญ่อย่างชัดเจน ลักษณะของมันเป็นลูกธนูหนึ่งดอก!
ประหนึ่งธนูยักษ์ดอกมหึมาประทับอยู่บนที่ราบชายแดนเหนือ!
ด้านหลังที่ราบหิมะเป็นแผ่นดินหลายชั้นเว้าลึกลงไป จนกระทั่งถึงจุดที่เชื่อมระหว่างผิวที่ราบกับชั้นลึกที่สุด หิมะบริเวณนั้นน้อยลงมาก หากมองได้ไกลกว่านั้น จะพบว่าบนแผ่นดินด้านนอกที่ต่ำกว่าที่ราบหิมะไม่น้อย ไกลออกไปจะเริ่มมีธรรมชาติสีเขียว ห่างไปอีกคือทัศนียภาพอันอุดมสมบูรณ์
ที่ราบหิมะนี้เหมือนกับหุบเขา แบ่งฤดูหนาวกับร้อน!
เผ่าชายแดนเหนืออยู่บริเวณนี้ ดูเหมือนอยู่ทางใต้ของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ ทว่าบนแผนที่แดนอรุณใต้มันอยู่ทางเหนือ ปกปักอยู่ตรงนี้ เฝ้าประตูแดนเหนือของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ไว้
“ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าชายแดนเหนือบนแผ่นดินใหญ่เหมันต์สวรรค์ ใต้ที่ราบหิมะนั่นคืออีกส่วนของเผ่า…” ไป๋ซู่กล่าวเบาๆ
“เผ่าชายแดนเหนือสืบทอดธรรมเนียมของแดนภูต นักรบหมานไว้ผมยาวมาก เมื่อมีสงครามกับภายนอก คนตายจะไม่มีศีรษะ อีกทั้งการประลองในเผ่า ทุกครั้งที่พ่ายแพ้จะเลือกได้หนึ่งข้อ หนึ่งคือถูกตัดศีรษะ อีกหนึ่งคือตัดผม
ดังนั้นคนที่ผมยาว ก็จะเป็นเครื่องหมายว่าพ่ายแพ้น้อยครั้ง กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่า….ไม่เคยแพ้เลย” ไป๋ซู่มองซูหมิง กล่าวเสียงเบา พูดจบจึงลังเลครู่หนึ่ง
“ซูหมิง ข้าแนะนำว่าทางที่ดีพวกเจ้าควรสวมหน้ากากสักหน่อย…ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าคิดว่าอาจดีกว่าหน่อย”
ไป๋ซู่เพิ่งกล่าวจบ ซูหมิงยังไม่ทันตอบ ศิษย์พี่รองข้างกายก็มองไป๋ซู่ด้วยแววตาชื่นชม ก่อนมองซูหมิง
“ศิษย์น้องเล็ก เด็กสาวคนนี้ดีมาก! แต่สาวน้อย เรื่องนี้ข้าเตรียมมาก่อนแล้ว” ศิษย์พี่รองยิ้มอย่างอบอุ่น ใช้มือขวาหยิบผ้าคลุมหัวสีดำหลายชิ้นออกจากอกเสื้อ
“อะแฮ่ม พวกเราศิษย์ยอดเขาลำดับเก้าไม่ต้องปิดบังหน้าตาหรอก และไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นด้วย ทว่า…” ศิษย์พี่รองมีสีหน้าจริงจัง มองซูหมิงกับหู่จื่อ
“พวกเจ้าต้องคิดเผื่ออาจารย์ของพวกเราด้วย เขาอายุมากขนาดนั้นแล้ว ตอนโกหกปฏิกิริยาทางสมองน่าจะช้า พวกเราต้องคิดหาข้ออ้างให้อาจารย์ถูกรึไม่ พวกเราไม่กลัวเผยใบหน้าหรอก ทว่าเพื่ออาจารย์ เพื่อตาแก่อย่างเขา เราต้องแบกรับภาระ จึงต้องสวมผ้าคลุมหัวนี่”
หู่จื่อกะพริบตา เขาเองก็คิดเช่นนั้นจึงพยักหน้า
“ศิษย์พี่รองพูดถูก เฮ้อ เพื่ออาจารย์ ถึงอย่างไรก็ต้องทำเพื่ออาจารย์ ศิษย์พี่รอง เรื่องนี้ข้าทนไหว ข้าทนไหว!” ขณะกล่าว ก็แย่งผ้าคลุมหัวมาหนึ่งชิ้นแล้วใส่ทันที เห็นเพียงดวงตาสองข้าง หัวเราะเฮอะๆ อยู่ตรงนั้น
“ศิษย์น้องสาม ต้องลำบากเจ้าแล้ว…” ศิษย์พี่รองตบบ่าหู่จื่อ ทำท่าทางทอดถอนใจ
“ศิษย์พี่รอง เพื่ออาจารย์ ลำบากแค่นี้ก็ไม่เท่าไร!” หู่จื่อหยุดหัวเราะ แววตาแน่วแน่
“พวกเราเป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าล่ะ?” ศิษย์พี่รองยื่นผ้าคลุมหัวให้ซูหมิง
ซูหมิงรับมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ และสวมทันทีโดยไม่พูดให้มากความ
ไป๋ซู่ด้านข้างเบิกตาโต นางพลันรู้สึกว่าตนไม่เคยเข้าใจยอดเขาลำดับเก้าเหมือนตอนนี้มาก่อน…
‘นี่มันพวกบ้าอะไรกัน…’ ไป๋ซู่คลึงตรงระหว่างคิ้ว เดิมทีนางคิดว่าการจะให้คนเหล่านี้สวมหน้ากากคงเป็นเรื่องยาก ทว่ามันกลับเป็นเช่นนี้ไป ทำให้นางรู้สึกว่าเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว อายุของตนยังน้อยเกินไปจริงๆ
“อาจารย์ เพื่อท่านแล้วพวกเรายอมลำบากตัวเอง ทว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเรายินยอม เพราะพวกเราเป็นศิษย์ที่ดีของท่าน พวกเรารักท่าน…ม” ศิษย์พี่รองเงยหน้ายืดอก สวมผ้าคลุมหัว เมื่อขยิบตาให้ซูหมิงกับหู่จื่อแล้ว ก็เหมือนโยนผ้าคลุมหัวหนึ่งชิ้นบนพื้นอย่างไม่ตั้งใจ แล้วกลายเป็นสายรุ้งมุ่งหน้าสู่เผ่าชายแดนเหนือ
หู่จื่อกระทืบเท้าขวาบนพื้น หิมะแตกกระจาย ตัวเขาทะยานตามศิษย์พี่รองไป
“หาที่ปลอดภัยรอข้า!” ซูหมิงมองไป๋ซู่แวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวเหยียบอากาศตามศิษย์พี่รองและหู่จื่อไป ทั้งสามคนเหมือนดาวตกบนท้องฟ้า เป้าหมายคือ….เผ่าชายแดนเหนือ!
ไป๋ซู่ยืนอยู่ตรงนั้น มองทั้งสามคนไกลออกไป เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงนั่งขัดสมาธิลง สีหน้าซับซ้อนและเป็นกังวลเล็กน้อย
บนท้องฟ้า ศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งยอดเขาลำดับเก้าสามคนห้อเหยียดเข้าใกล้เผ่าชายแดนเหนืออย่างเร็ว
“ศิษย์พี่รอง อาจารย์อยู่ข้างหลังจริงๆ หรือ?” แววตาหู่จื่อตื่นเต้นและเหี้ยมโหด กล่าวเสียงเบา
“แน่นอน อาจารย์เร็วกว่าพวกเรา อีกอย่างตอนออกจากยอดเขาลำดับเก้า ข้าเห็นกับตาว่าอาจารย์สวมชุดขาวชะเง้อแอบมองพวกเราอยู่” ศิษย์พี่รองลดเสียงลง
“…ข้าก็เห็นเหมือนกัน…..” ซูหมิงกล่าวเบาๆ
“ฮ่าๆ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ผิดแล้ว ข้าทิ้งผ้าคลุมหัวเอาไว้ให้อาจารย์หนึ่งตัว วันนี้พวกเราเปิดฉากสังหาร ตัดอวัยวะเพศของมัน เรื่องใหญ่แบบนี้มีอาจารย์อยู่ด้วยจะกลัวอะไร!” ศิษย์พี่รองดูตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเปล่งประกาย
“จะสังหารอย่างไรดี?” หู่จื่อดึงผ้าคลุมหัวขึ้นเล็กน้อย เลียริมฝีปาก
“น้องสาม น้องสี่ วันนี้ข้าจะบอกกฎของพวกเรายอดเขาลำดับเก้า นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่บอกข้าในตอนนั้น!” ศิษย์พี่รองมองซูหมิงกับหู่จื่อ
“ทำร้ายต้นไม้ใบหญ้าของยอดเขาลำดับเก้า สังหาร!”
“ทำร้ายผู้ติดตามของยอดเขาลำดับเก้า สังหาร!”
“ทำร้ายศิษย์ยอดเขาลำดับเก้า สังหารนักรบหมานให้หมดเผ่า!”
“ยอดเขาลำดับเก้าไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ทว่าหากมีคนมาหาเรื่องพวกเรา ก็ต้องใช้การสังหารบอกพวกมันว่า ยอดเขาลำดับเก้า มิใช่สิ่งที่พวกมันจะล่วงเกินได้! ฉะนั้นเราต้องหาจั๋วเกอ ระหว่างทางหากมีคนมาขวางก็สังหารทิ้ง!” เสียงศิษย์พี่รองแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร เย็นเยือกเหมือนน้ำแข็ง
หู่จื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อดึงผ้าคลุมหัวกลับมาดังเดิมแล้ว ดวงตาเปล่งประกายโลหิต แต่กลับลังเลครู่หนึ่ง มองศิษย์พี่รองที่กำลังบินอยู่ด้านหน้า
“ศิษย์พี่รอง เหตุใดก่อนหน้านี้ตอนข้าถูกรังแก ท่านถึงไม่ช่วย? นี่ไม่เห็นตรงกับกฎของยอดเขาลำดับเก้าเลย” หู่จื่อไม่พอใจยิ่งนัก
“ถ้าเจ้าไม่แอบมองข้าอยู่ทุกคืน ข้าคงช่วยเจ้า!” ศิษย์พี่รองส่ายศีรษะ ถอนหายใจ
ซูหมิงไม่กล่าว ตรงระหว่างคิ้วขยับแสงสีดำ ดวงตาขวาอัดแน่นด้วยพลังชั่วร้าย ทั้งตัวเหมือนกับลูกธนูแหลมที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร พริบตาเดียวก็ขึ้นมานำอยู่หน้าสุดในสามคน
ทั้งสามคนเข้าใกล้เผ่าชายแดนเหนือมากขึ้นเรื่อยๆ!
ขณะเดียวกัน ด้านหลังพวกเขา ตรงจุดที่ไป๋ซู่นั่งฌาน ไม่รู้ว่านางใช้วิชาอะไร ตัวถึงค่อยๆ กลายเป็นมายาเหมือนโปร่งใส ไม่อาจตรวจพบ
ทว่าทันใดนั้น ไป๋ซู่พลันลืมตา เกือบจะหลุดเสียงร้อง
เพราะตรงหน้านางปรากฏหมอกดำ หมอกดำนั้นห้อเหยียดติดกับพื้นหิมะ พริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกลหนึ่งพันจั้ง
“สาวน้อย อย่าส่งเสียง…..” เสียงแก่ชราดังแว่วข้างหูไม่ให้นางส่งเสียง จากนั้นไป๋ซู่พบว่าบนพื้นหิมะด้านข้างมีชายชราเสื้อคลุมขาวเดินมา
ชายชราคนนั้นโค้งตัวเหมือนแมว ย่องเบาเข้ามา แถมยังวางนิ้วชี้ตรงปากทำเสียงปรามให้ไป๋ซู่
ไป๋ซู่มีสีหน้าประหลาดใจทันที นางเคยเห็นชายชราคนนี้ รู้ว่าเขาคืออาจารย์ของซูหมิง เทียนเสียจื่อ!
เทียนเสียจื่อก้มหน้าลงเก็บผ้าคลุมหัวที่ศิษย์พี่รองโยนทิ้งเอาไว้ แล้วบ่นพึมพำหลายคำ
“เจ้าพวกเด็กเหม็นโฉ่ มีความคิดชั่วร้ายไม่เบา รู้จักนำผ้าคลุมหัวมาถือว่าไม่เขลา ทั้งยังทิ้งให้อาจารย์อีกชิ้น มารดามันเถอะ หรือว่าพวกเขาเห็นข้ากัน?”
เทียนเสียจื่อในชุดคลุมขาวบ่นพึมพำพลางหยิบผ้าคลุมหัวขึ้นมาสวม แล้วหมุนตัวกลับมองไป๋ซู่ที่ยังคงมึนงง เผยรอยยิ้ม
“เอ่อ เจ้าคงจะเป็นเพื่อนกับศิษย์สี่ของข้า เป็นอย่างไร ข้าสวมแล้วดูเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ซู่อึ้งงัน พยักหน้าให้
เทียนเสียจื่อมีสีหน้าลำพองใจ หมุนตัวเดินตามพวกซูหมิงที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเผ่าชายแดนเหนือ
แทบเป็นช่วงที่พวกซูหมิงเข้าใกล้เผ่าชายแดนเหนือราวหนึ่งพันจั้ง ภายในเผ่าพลันสังเกตเห็น ทว่าชนเผ่านี้ต่างจากชนเผ่าที่ซูหมิงเคยพบโดยสิ้นเชิง
หากเป็นเผ่าอื่น ยามนี้คงมีคนบินออกมาขวางแล้ว แต่เผ่าชายแดนเหนือกลับแตกต่าง เมื่อสังเกตเห็นพวกซูหมิงแล้ว ก็มีชาวเผ่าเพียงส่วนหนึ่งที่หยุดงานของตน เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเย็นชา ส่วนชาวเผ่าส่วนใหญ่ไม่สนใจ
ตอนอธิบายเหมือนช้า ความเป็นจริงเร็วกว่าที่คิด ยามนี้พวกซูหมิงเข้ามาใกล้ประตูใหญ่ที่สร้างจากรูปปั้นสองรูป ศิษย์พี่รองเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม แล้วประสานมือคารวะชาวเผ่าชายแดนเหนือภายในประตูใหญ่ที่เพ่งมองมาอย่างเย็นชา แต่กลับไม่กล่าวสิ่งใด
“ข้ากงซุนหู่ ยอดเขาลำดับสามสำนักเหมันต์สวรรค์ อยากขอพบน้องจั๋วเกอ ช่วยแจ้งให้ด้วย” ชาวเผ่าที่มองมาด้วยความเย็นชายังคงเงียบ
ศิษย์พี่รองส่ายศีรษะ
“พวกเจ้าไร้มารยาทยิ่งนัก แบบนี้…..ไม่ดี….” ขณะกล่าว เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว เมื่อเหยียบลงแผ่นดินพลันสั่นสะเทือน หิมะบนพื้นม้วนขึ้นมากมายมืดฟ้ามัวดิน ทำให้ชาวเผ่าที่มองมาอย่างเย็นชาเหล่านั้นสีหน้าเปลี่ยน
“ส่งจั๋วเกอมา ใครขวาง ตาย!” หู่จื่อยกมือสองข้าง มือซ้ายเขาปรากฏขวานสงครามยักษ์หนึ่งด้าม มือขวาถือน้ำเต้าสุรา ดื่มอึกใหญ่ก่อนพุ่งทะยานเข้าไป