Skip to content

สู่วิถีอสุรา 319

ตอนที่ 319 สายฟ้าแห่งรุ่งอรุณ

ตรงหางตานางยังมีน้ำตา นางไม่รู้ว่าร้องไห้เพื่อใคร…เพียงแต่นางนึกถึงสิ่งต่างๆ มากมายใต้แสงจันทร์ นึกถึงภาพตัวเองในเวัยยาว์ นึกถึงทุกอย่างเมื่อเติบใหญ่ เจอกับซือหม่าซิ่น เจอซูหมิง…

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นางมองแสงจันทร์อยู่อย่างนี้ จนกระทั่งเช็ดน้ำตา ก่อนมีเสียงถอนหายใจดังมาจากด้านหลัง

เมื่อได้ยินเสียงนี้นางพลันตัวสั่น หันกลับไปมองก็พบว่าเป็นชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าน่าเกรงขาม ชายคนนี้สูงใหญ่ยิ่งนัก เขายืนเหมือนกับภูเขา สวมชุดคลุมยาวสีเทา นัยน์ตาฉายแววรักใคร่เอ็นดู

“ท่านพ่อ…” ไป๋ซู่น้ำตาไหลมากขึ้น นางลุกขึ้นยืนแล้วกอดชายวัยกลางคนเอาไว้

“ตั้งแต่เจ้าเติบใหญ่ นานแล้วที่ไม่ได้กอดพ่อไม่ยอมปล่อยเหมือนตอนยังเด็ก…..”

ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงนุ่มนวล ตบหลังไป๋ซู่เบาๆ

เดิมทีไป๋ซู่คิดจะหยุดร้องไห้ พอได้ยินบิดากล่าวกลับกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาเสียงดัง

“เอาละ ทุกอย่างจบแล้ว กลับบ้านกับพ่อเถอะ ถึงอายุที่เจ้าควรจะฝึกฝนแล้ว…”

ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงเบา

“ความรักของโลกใบนี้ เจ้ายังเด็กเกินไป คงไม่เข้าใจหรอก” ชายวัยกลางคนถอนหายใจเบาๆ กวาดสายตามองยอดเขาลำดับเก้าพลางขมวดคิ้ว

“ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ข้าไม่รู้…”

ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา เงยหน้าจากอ้อมกอดบิดาแล้วเช็ดน้ำตา

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปคิด ข้าส่งซือหม่าซิ่นไปอุโมงค์เหมันต์สวรรค์แล้ว จะเป็นจะตายต้องดูที่โชคชะตาเขา คนคนนี้ข้าไม่ชอบ” ชายวัยกลางคนยกมือขึ้น ช่วยไป๋ซู่เช็ดน้ำตาที่เหลือ

“อาการบาดเจ็บจากเมล็ดพันธุ์หมานในตัวเขาล้มเหลว ข้าก็ระงับเอาไว้แล้ว หากเขาออกมาจากอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ไม่ได้ก็เท่ากับตาย หากเขาเดินออกมาได้ เจ้าจะมีทาสรับใช้เพิ่มมาอีกหนึ่ง นั่นถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลว” ชายวัยกลางคนมองไป๋ซู่ด้วยความเมตตา ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

“แต่ว่า” ไป๋ซู่ลังเลครู่หนึ่ง

“ข้าแค้นเขา…” ไป๋ซู่กล่าวเสียงเบา

“พ่อลงโทษเขาไปแล้ว” ชายวัยกลางคนลูบศีรษะไป๋ซู่ พานางเดินหนึ่งก้าว เงาค่อยๆ หายไป ก่อนหน้านางจะหายไปได้หันกลับไปมองยอดเขาลำดับเก้าแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววซับซ้อน มีความเสียใจและขออวยพรให้อีกฝ่ายมีความสุข…

“หากทุกอย่างย้อนกลับมาใหม่อีกครั้ง…..” ไป๋ซู่พึมพำเบาๆ ละสายตากลับอย่างขมขื่น แล้วหายไปในค่ำคืนนอกยอดเขาลำดับเจ็ดพร้อมกับบิดา

ยามนี้ ณ จุดที่แสงจันทร์ส่องสว่างไม่ถึง ใต้แผ่นดินเหมันต์ ภายในชั้นน้ำแข็งลึกเท่าไรไม่ทราบ มีโลกปานเขาวงกตอยู่ ที่นี่ไม่มีแสงสว่างและหนาวเยือก ทว่ามีสายลมพิลึก เดิมทีสายลมนี้ไม่อาจปรากฏตรงนี้ แต่มันก็มีอยู่จริงๆ และส่งเสียงพัดครืนๆ ในโลกใบนี้ตลอดเวลา

ณ มุมหนึ่งในโลกเหมือนเขาวงกต มีเงาคนผู้หนึ่งหดตัว ร่างสั่นเทิ้ม

“อุโมงค์เหมันต์สวรรค์…..อุโมงค์เหมันต์สวรรค์…..” น้ำเสียงอ่อนแรงดังพึมพำอยู่นานก็มีเสียงจุดฉนวนดังขึ้น ร่างคนสั่นเทายกมือขวา ไม่รู้ว่าทำท่าทางอะไร พลันมีแสงไฟปรากฏตรงหน้า

มันเป็นเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่ง เป็นเปลวเพลิงลุกไหม้บนหินขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารก บ้างก็กะพริบแสงในโลกมืดทึบ แสงไฟนั้นส่องสะท้อนใบหน้าบุคคลดังกล่าว ภาพที่เห็นช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก!

เขามีใบหน้าเน่าเปื่อย เหมือนถูกทำลายใบหน้าจนเสียหายอย่างหนัก เหลือเพียงประกายแสงจากในแววตา ที่ทำให้ดูคุ้นตาเล็กน้อย

ทั้งตัวเขาโอบล้อมด้วยน้ำแข็งค้าง ตรงหน้าเป็นก้อนหินเปลวเพลิง ตอนที่เปลวเพลิงลุกไหม้มันก็หรี่แสงลงเรื่อยๆ เช่นกัน เมื่อเปลวเพลิงมอดดับ นั่นหมายความว่าที่นี่จะไม่มีตัวสร้างความอบอุ่นให้เขาอีก

เมื่อถึงวาระนั้น ท่ามกลางลมหนาวเช่นนี้ ไม่ว่าขั้นพลังใดคงไม่มีประโยชน์มากนัก

“ซูหมิง…ซูหมิง!” เงาคนอัปลักษณ์กัดฟัน ขณะสั่นเทาก็เปล่งเสียงด้วยความแค้นเข้ากระดูก

เขาก็คือซือหม่าซิ่น

เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ เรื่องนี้มีเพียงบิดาไป๋ซู่กับตัวเขาเองที่รู้ ทว่าดูจากลักษณะของเขา เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นเส้นทางที่เขาจำเป็นต้องเลือก…

แสงจันทร์ยังคงสาดส่องแผ่นดิน บนยอดเขาลำดับสาม มีสตรีผู้หนึ่งนั่งฌานอยู่นอกถ้ำ นางไม่กลัวความหนาว ขณะหายใจมีลมหนาวพัดเข้ามากระทบใบหน้าจากสี่ทิศ ข้างกายสตรีเป็นชายชราผู้คนหนึ่งนั่งอยู่

“เจ้ารวมไอหนาวเพียงพอแล้ว ทำให้พลังโลหิตแปรเปลี่ยน เดิมทีควรจะชำระล้างได้แล้ว เหตุใดถึงยังรวมต่อ…” ชายชรากล่าวเรียบๆ

“อาจารย์ หากข้าชำระล้าง เส้นเลือดข้าก็จะไม่ถึงเก้าร้อยเก้าสิบเส้น!” สตรีผู้นั้นลืมตา นัยน์ตาใสกระจ่าง นางก็คือหานเฟยจื่อ!

“เหตุใดต้องไปเทียบกับเขา?” ชายชราขมวดคิ้ว

“เขาเป็นแม่ทัพเทพ ข้าก็อยากเป็นแม่ทัพเทพเหมือนกัน!” หานเฟยจื่อพยักหน้าด้วยสีหน้าแน่วแน่

“ทว่าหากเจ้ายืนหยัดเช่นนี้ต่อไป คงไม่ทันสงครามหมอกนภาล่าเชมัน”

ชายชรามองศิษย์ตรงหน้าแวบหนึ่ง

“ต่อให้ไม่ทันตอนเริ่ม ข้าก็ยังไปตอนเริ่มสงครามได้” ขณะหานเฟยจื่อกล่าว พลังโลหิตทั้งตัวพลันโคจร เส้นเลือดผุดขึ้นบนตัวหลายเส้น ส่องสะท้อนผ่านอาภรณ์เป็นสีโลหิต ทั้งยังมีไอหนาวน่าทึ่ง

“เก้าร้อยแปดสิบเอ็ด ข้ายังยืนหยัดต่อไปได้อีก!” หานเฟยจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาลง แล้วตกอยู่ในห้วงการรวมไอหนาวเพื่อกระตุ้นสายเลือดต่อ สีหน้านางสงบนิ่ง ทว่ามีเพียงนางกับชายชราข้างกายเท่านั้นที่รู้ว่าการรวมไอหนาวเช่นนี้ นางต้องทนรับความเจ็บปวดเพียงใด

แต่ความเจ็บปวดนี้ไม่ปรากฏบนใบหน้านาง ราวกับว่านางใกล้จะกลายเป็น…น้ำแข็ง!

ค่ำคืนแสงจันทร์ค่อยๆ เลือนราง จนเมื่อเส้นขอบฟ้าห่างไกลมีแสงสว่างอ่อนจางและวันใหม่มาเยือน ซูหมิงลืมตาออกจากฌาน เขาต้องปรับเสถียรในร่างกายเพราะช่วยเหอเฟิงเมื่อคืนวานจึงเสียพลังไปมาก ยามนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว ตอนฟ้าสางเขายืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปในถ้ำ

เวลาผ่านไปทีละวัน ซูหมิงออกมาจากถ้ำน้อยมาก มีเพียงยามค่ำคืนที่จะไปหาศิษย์พี่รองเป็นบางครั้ง เพื่อหลอมพลังความตายสำหรับเม็ดโอสถชิงวิญญาณ บนยอดเขาลำดับเก้ามีเพียงศิษย์พี่รองเท่านั้นที่มี

เมื่อมีพลังความตายเพียงพอแล้ว หลังจากนั้นครึ่งเดือน ห่างจากสงครามล่าเชมันไม่ถึงหนึ่งเดือน ซูหมิงออกจากยอดเขาลำดับเก้าในยามกลางดึก ไม่ได้พาจื่อเชอหรือวานรเพลิงมาด้วย จากไปเพียงลำพังพร้อมกับเงาใต้จันทรา

สามวันต่อมา บนภูเขาน้ำแข็งที่ห่างจากสำนักเหมันต์สวรรค์ไกลยิ่งนัก ปรากฏขั้นเมฆหนาแน่น เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น สายฟ้าผ่าลงมาหลายเส้น ทำให้ยอดเขาแห่งนี้กลายเป็นเหมือนเมืองสายฟ้า

สายฟ้าผ่าลงมาหลายชั่วยามก็ค่อยๆ หายไป จนเมื่อชาวเผ่าแถบนั้นเข้ามาตรวจสอบ พวกเขากลับไม่พบอะไร

สามวันต่อมาซูหมิงกลับถึงสำนักเหมันต์สวรรค์ บนตัวเขามีสายฟ้าสถิตเป็นบางครั้ง เมื่อเหยียบบนภูเขาน้ำแข็งจะเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ ในตัวเขา สมบัติประจำตัวพัฒนา เขาจึงเข้าใจเกี่ยวกับสายฟ้ามากขึ้นไม่น้อย

เมื่อกลับมาถึงถ้ำ ซูหมิงหยิบโอสถชิงวิญญาณที่เพิ่งหลอมมาทั้งหมดสี่เม็ด พวกมันลอยอยู่ตรงหน้าเขา เปล่งแสงลึกซึ้งดึงดูดสายตา

ห่างจากสงครามหมอกนภาล่าเชมันอีกยี่สิบวัน…

ภายในสำนักเหมันต์สวรรค์ แผ่นดินทั้งเก้าที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ระยะห่างระหว่างพวกมันลดน้อยลง และจะเห็นว่าเคลื่อนไหวทุกชั่วยาม

ปรากฏการณ์พิลึกเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของคนไม่น้อย ทว่าสำหรับคนที่เคยผ่านสงครามหมอกนภาล่าเชมันมาก่อน ส่วนใหญ่จะรู้ว่าสงครามใกล้มาถึงแล้ว!

เพราะสงครามใกล้มาถึงแล้ว แรงกดดันที่อบอวลอยู่ในสำนักเหมันต์สวรรค์จึงบรรลุถึงจุดเข้มข้น เพราะการเคลื่อนไหวของฝ่ายนภา เป็นตัวแทนบอกว่าหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของสำนักเหมันต์สวรรค์ปรากฏขึ้น นภาหิมวันต์!

นภาหิมวันต์เป็นสมบัติล้ำค่าที่ศิษย์สำนักเหมันต์รู้จักกันดีที่สุด เพราะสงครามล่าเชมันทุกครั้ง สมบัติชิ้นนี้จะปรากฏ มันเป็นตัวแทนของสำนักเหมันต์สวรรค์

ชาวเผ่าเชมันตายตกใต้มันเหลือคณนานับ ทุกครั้งที่มันปรากฏจะทำให้ภูเขาน้ำแข็งทั้งสำนักกลายเป็นสีแดง มิใช่ว่าเพิ่งถูกย้อม แต่ถูกสะท้อนแสง!

“มันจะปรากฏหนึ่งมุมในสิบห้าวันก่อนเริ่มสงคราม ห้าวันก่อนเริ่มสงครามจะแสดงเค้าโครงสมบูรณ์ และสองวันก่อนเริ่มสงครามจะปรากฏตัวจากในผนึกมายา…”

“สงครามล่าเชมันสิบปีปรากฏเพียงเงาของมัน จะมิใช่กายแท้….”

“มีเพียงมหาสงครามหมอกนภาทุกหนึ่งร้อยปีเท่านั้น มันถึงจะปรากฏอย่างแท้จริง…มีมันอยู่ จะทำให้ผู้เข้าร่วมสงครามของสำนักเหมันต์สวรรค์เรามีชีวิตรอดกันมากขึ้น แล้วข้ามผ่านภัยพิบัติแห่งความตายในครั้งนี้….”

“มันมีตำนานหลายอย่าง หนึ่งในนั้นที่คนยอมรับกันมากที่สุดคือมันถูกสร้างขึ้นสมัยก่อตั้งสำนักเหมันต์สวรรค์ เป็นหนึ่งในสามสมบัติล้ำค่ายิ่งใหญ่แห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ ประโยชน์หลักๆ ของมันคือ….สังหาร! หนึ่งในสามสมบัติล้ำค่า สมบัติแห่งการสังหาร!”

“มันแปรเปลี่ยนจนไม่อาจคาดเดา ตามที่ข้าคิด เงาสะท้อนทุกสิบปีจะมีลักษณะต่างกัน กระทั่งร่างจริงในทุกหนึ่งร้อยปียังต่างกัน…เหมือนว่ามันมีอยู่จริงและเปลี่ยนรูปไปมา…”

ซูหมิงเงยหน้ามองเก้าแผ่นดินของฝ่ายนภากำลังเคลื่อนตัวช้าๆ กลางอากาศ มีเสียงจื่อเชอดังแว่วมาข้างหูด้วยความสัตย์จริง

“ผู้เข้าร่วมทั้งหมดจะตามมัน…ไปเมืองหมอกนภา…อาจารย์อา ใกล้จะเริ่มสงครามแล้ว…..แม้กำแพงหมอกนภาจะไม่ถูกเผ่าเชมันรุกรานมานานมาก ทว่าสงครามทุกหนึ่งร้อยปี…ก็ยังมีความเป็นไปได้แบบนั้นอยู่” จื่อเชอมองท้องฟ้า พึมพำเบาๆ

“ข้าคิดว่าบนน่านฟ้าแผ่นดินเชมันจะต้องมีสัตว์ร้ายอยู่จำนวนมากแน่นอน และยังสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งพวกนั้น…เผ่าเชมันก็กำลังเตรียมตัวเหมือนกัน…..เหมือนเป็นการนัดหมายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน…” จื่อเชอหลับตา

ยามนี้ คนที่มองท้องฟ้ามิได้มีเพียงซูหมิงกับจื่อเชอ แทบทุกคนในสำนักเหมันต์สวรรค์ แม้ว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายนภาผู้อาศัยอยู่บนท้องฟ้าสูงส่งก็ยังเพ่งมองไป

ทว่าขณะนั้นเอง ตรงปลายยอดเขาลำดับเก้า เทียนเสียจื่อกำลังดันพื้นในยามเช้าตรู่ ปากนับเลขพึมพำ ตัวเขาพลันสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้น ก่อนมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องท้องฟ้าที่ห่างไปไกล

มีดาวตกสีฟ้ากับแดงตัดสลับกันตกลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ ความใหญ่ของดาวตกเทียบเท่าเขาลูกเล็ก แสงสีฟ้าเป็นตัวแทนการคุ้มกัน ส่วนแสงสีแดงเป็นตัวแทนการสังหาร!

นี่คือดาวตกจากเมืองหมอกนภา!

มันมิใช่เพียงหนึ่ง แต่เป็น…เก้า!

หลังจากเทียนเสียจื่อเห็นดาวตกทั้งเก้าแล้ว สีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างเด่นชัดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มิใช่เพียงเขา ยามนี้จากฝ่ายนภามีเงาคนหลายสิบคนบินไปยังดาวตกเก้าดวง

“ดาวตกห้าดวงหมายถึงมหาภัยพิบัติ….เจ็ดดวงหมายถึงเผ่าเชมันผิดปกติ…แปดดวงหมายถึงเผ่าหมานแดนอรุณใต้เกิดภัยพิบัติสูญสิ้น….เก้าดวง….เก้าดวงหมายถึง….” บนยอดเขาลำดับเจ็ด เทียนหลันเมิ่งใบหน้าซีดขาว ขวดหยกในมือหล่นลงพื้นคล้ายถือไม่ไหว…..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version