ตอนที่ 320 ภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพา
ดาวตกจากเมืองหมอกนภาลากยาวเข้ามากลางฟ้า
ในขณะที่เก้าแผ่นดินฝ่ายนภายังเคลื่อนไหว ในขณะที่นภาหิมวันต์สมบัติสังหารล้ำค่าแห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ยังไม่ปรากฏ ในขณะที่ทุกคนเพ่งสายตามอง มันส่งเสียงสั่นสะเทือนแก้วหู พลังมหาศาลก่อให้เกิดลมพายุคลั่ง
ดาวตกเก้าดวงบนท้องฟ้าเป็นสีฟ้าตัดสลับกับสีแดง ช่วงที่พวกมันบินเข้ามา ประหนึ่งท้องฟ้าสั่นไหว เหมือนไม่อาจทนรับการมาเยือนของดาวตกทั้งเก้าได้
ด้านหลังพวกมันเป็นเส้นลากยาวมองไม่เห็นสุดปลายเก้าเส้น กลิ่นอายพลังชั่วร้ายปล่อยมาจากดาวตกเก้าดวงนั้นอย่างรุนแรง
ซูหมิงตะลึงงัน จื่อเชอตะลึงงัน ทั้งสำนักเหมันต์สวรรค์แทบทุกคนล้วนตกตะลึงในพริบตานั้น กระทั่งศิษย์ฝ่ายนภาบางคนก็เช่นเดียวกัน
ดาวตกเก้าดวงนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่งนัก ทำให้ผู้คนไม่มีเวลาเตรียมใจแม้แต่น้อย และที่สำคัญที่สุดคือซูหมิงเห็นเทียนเสียจื่อเดินอากาศขึ้นไป เห็นสายรุ้งยาวอันน่าทึ่งพุ่งจากยอดเขาอื่น ทั้งยังเห็นคนสิบกว่าคนทะยานออกมาจากฝ่ายนภาอย่างรวดเร็ว
แม้มองไม่เห็นหน้าตาของบุคคลเหล่านี้ชัดเจนนัก ทว่าหลังปรากฏกาย ในตัวพวกเขามีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจบรรยายอบอวลฟ้าดิน เกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว ท้องฟ้าเหมือนกลายเป็นน้ำทะเล เกิดลูกคลื่นโหมซัด
หลังจากดาวตกเก้าดวงเข้าใกล้สำนักเหมันต์สวรรค์ก็พลันหยุดชะงัก ทำให้ท้องฟ้ากระเพื่อมเป็นวงกว้าง พวกมันลอยอยู่รอบฝ่ายนภา เชื่อมกันเหมือนวงแหวนอาคมพิลึก แสงสีฟ้าแดงขยับวิบวับเด่นชัด
ซูหมิงเงยหน้ามองตาไม่กะพริบ เขารู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง ความจริงแล้วมิใช่เขาคนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ แทบทุกคนที่เงยหน้ามองท้องฟ้าล้วนรู้สึกเหมือนกัน
“ดาวตกเก้าดวง…เหตุใดพวกมันถึงปรากฏ หมายความว่าอย่างไร…” ซูหมิงพึมพำ พลันมองยอดเขาลำดับเจ็ด เหมือนเห็นเทียนหลันเมิ่งบนนั้นรางๆ
‘บางทีนางอาจจะรู้….’ ซูหมิงเงียบงัน
ทว่าทันใดนั้น มีเสียงแหลมลากยาวดังมาจากท้องฟ้าห่างไกลอีกครั้ง ช่วงที่เสียงนี้ปรากฏ ทุกสายตาถูกดึงดูดให้มองไป
เทียนเสียจื่อมีสีหน้าจริงจังอย่างที่พบเห็นได้ยาก ผู้คนที่มาจากโดยรอบเหล่านั้น เดิมทีมีสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าพอได้ยินเสียงลากยาวเมื่อครู่กลับพากันเปลี่ยนสีหน้า กระทั่งยังดูตื่นกลัวและหวาดผวา
เสียงลากยาวเมื่อครู่เป็นดาวตกจากท้องฟ้าห่างไกลอีกดวงหนึ่ง!
เป็นดาวตกสีฟ้าตัดสลับกับสีแดงเช่นกัน มันคือ….ดาวตกดวงที่สิบ!
ตอนที่ดาวตกดวงที่สิบปรากฏ เทียนหลันเมิ่งบนยอดเขาลำดับเจ็ดที่เดิมทีมีใบหน้าซีดขาว ยามนี้ดูหวาดกลัวขึ้นทีละน้อย สีหน้าเช่นนี้พบเห็นได้ยากจากในตัวนาง เมื่อเทียบกับความงามสง่าแบบเรียบง่ายยามปกติ นางตัวสั่นเหมือนจะยืนไม่ไหว สีหน้าตื่นกลัว นัยน์ตายิ่งฉายแววเศร้าโศก
“สิบดวง…” เทียนหลันเมิ่งโซเซถอยหลังไปหลายก้าว กัดฟันงามแล้วบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันใด
ขณะเดียวกับที่นางบินขึ้นฟ้า ดาวตกดวงที่สิบมาถึงแล้วเชื่อมกับเก้าดวงก่อนหน้านี้ สร้างขึ้นเป็นวงกลมยักษ์
จากนั้น ทันทีที่ดาวตกเชื่อมกันเป็นภาพสัญลักษณ์วงกลม มีเสียงทุ้มต่ำเหมือนทะลวงผ่านกาลเวลาและมิติดังแว่วมาจากวงกลมดาวตกสิบดวง
“สวรรค์….” เสียงแหบพร่าดังกึกก้อง กล่าวเพียงแค่คำเดียว ทว่าคำเดียวนี้กลับทำให้ชั้นน้ำแข็งบนแผ่นดินเกิดเสียงอึกทึก มวลอากาศบิดเบี้ยว มีเสียงครืนดังขึ้นข้างหูซูหมิง นอกจากคำนี้แล้วก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
ไม่เพียงแค่ซูหมิงที่ไม่ได้ยิน จื่อเชอข้างกายไม่ได้ยินเช่นกัน กระทั่งหู่จื่อบนยอดเขาลำดับเก้าก็ไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงอื้ออึงดังข้างหู
เสียงอื้ออึงดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง ยอดเขาลำดับแปดและลำดับเจ็ด ทั้งเก้ายอดเขาแห่งแผ่นดินเหมันต์ แทบไม่มีใครได้ยินคำพูดต่อจากคำแรก พวกเขาได้ยินเพียงเสียงหึ่งอื้ออึงข้างหู
มิใช่แค่แผ่นดินเหมันต์ ฝ่ายนภาก็เช่นเดียวกัน ศิษย์ทั้งหมดล้วนได้ยินเพียงเสียงอื้ออึง ไม่อาจฟังชัดเจน นี่คือการกดทับขั้นพลังอย่างหนึ่ง เป็นอภินิหารที่จงใจสร้างขึ้น
อภินิหารนี้มิได้ทำร้ายใคร การใช้งานเพียงอย่างเดียวคือให้คนที่มีคุณสมบัติได้ยิน ส่วนคนที่ไม่มีคุณสมบัตินี้ไม่มีทางได้ยิน!
หากคิดจะได้ยินเสียงจากดาวตกสิบดวง ขั้นพลังต้องอยู่เหนือวิญญาณหมานขึ้นไป จากจุดนี้จะพบได้ว่าคำพูดนั้นต้องเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่
ทั้งสำนักเหมันต์สวรรค์ คนที่ได้ยินมีไม่กี่สิบคน คนเหล่านี้แทบจะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงของสำนักเหมันต์สวรรค์ทั้งสิ้น!
ข้างหูซูหมิงมีเสียงอื้ออึงดังไม่หยุดหย่อน นอกจากเสียงนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก สติเขายังแจ่มชัด เขามองคนสิบกว่าคนข้างวงแหวนดาวตกสิบดวงบนท้องฟ้า เห็นใบหน้าพวกเขาเปลี่ยนอย่างฉับไว ในนั้นยังมีเทียนหลันเมิ่งอยู่ด้วย นางตัวสั่นเทา ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาด
ซูหมิงรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่…นัยน์ตาเขาขยับประกาย ในเมื่อไม่ได้ยิน บางทีพลังจิตสัมผัสอาจจะรู้
ซูหมิงแผ่ขยายจิตสัมผัสอย่างไม่ลังเล กลายเป็นเส้นเล็กยืดยาวขึ้นสู่ฟ้า ขณะยืดออกไป ซูหมิงตัวสั่น เขารู้สึกว่ามีพลังต่อต้านแกร่งกล้ากำลังขับไล่จิตสัมผัสเขา ทำให้ยืดไปได้ระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจเข้าลึกไปมากกว่านี้
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ในความคิดเขากลับมีเสียงรางๆ แว่วเข้ามา
“…เรื่องนี้…สามพันปี…เฝ้าดู…”
เสียงนั้นเบาบางยิ่งนัก ทว่าซูหมิงได้ยินจริงๆ เขาใช้มือขวาหยิบเหรียญหินสีทองหลายเหรียญจากในอกเสื้อ จากนั้นบี้ในมือ เหรียญหินพลันแหลกละเอียดกลายเป็นฝุ่นละออง ขณะเดียวกัน พลังวิญญาณมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่เส้นเลือดลมในตัวที่เปิดทางไว้ แล้วเริ่มโคจร จิตสัมผัสพลันพุ่งไปด้านหน้า ทำให้เข้าไปใกล้ขึ้นอีกไม่น้อย
“คนอื่น…จะตื่นกลัว…ทว่า…สับสนอลหม่าน…”
ซูหมิงเห็นคนบนท้องฟ้าเหล่านั้นสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง เทียนเสียจื่อมีเค้าลางว่าเสื้อผ้าจะเปลี่ยนสี ซูหมิงจิตใจสั่นไหว รีบนำเหรียญหินสีทองออกมาอีกไม่น้อย ยามนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำของเขา คนที่ได้ยินก็ตั้งใจฟัง ส่วนคนที่ไม่ได้ยินก็มีเสียงอื้ออึงดังข้างหูตลอด ความคิดจึงขาวโพลน
ซูหมิงหยิบเหรียญหินมาจำนวนมาก หลังจากทำลายทั้งหมดแล้ว พลังวิญญาณก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้จิตสัมผัสเขายืดยาวอย่างบ้าคลั่ง และเข้าใกล้วงแหวนดาวตกสิบดวงกลางฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“ทะเลตะวันออก…เหมันต์สวรรค์…ร้อยปี…ทุกข์ยาก…แผ่นดิน…”
ทุกคำที่ได้ยิน ทำให้ความรู้สึกกังวลในใจซูหมิงเด่นชัดขึ้นหลายเท่า เขาอยากรู้ความจริง จึงยกสองมือขึ้น เหรียญหินจำนวนมากลอยออกมาอีกครา หลังจากเหรียญหินแหลกละเอียดทีละอันอยู่รอบตัวแล้ว จิตสัมผัสซูหมิงรวมเป็นพลังทะลวงอันแกร่งกล้า ตรงเข้าไปในวงแหวนดาวตกสิบดวง!
ทันใดนั้น น้ำเสียงแก่ชราไหลลื่นเป็นครั้งแรก ไม่เบาบางอีกต่อไป ดังขึ้นในจิตใจของซูหมิง
“นี่คือภัยพิบัติแดนอรุณใต้ ขั้นวิญญาณหมานรู้ ส่วนคนที่ไม่รู้ถือเป็นโชคดี…หลังจากดาวตกสิบดวงสลายไป ข้าจะไปตรวจสอบสุดเขตแดนเผ่าเชมัน หากเป็นภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพาจริงๆ…พวกเราต้องตัดสินใจกันโดยเร็วว่าจะอพยพหรือไม่…”
เสียงแก่ชราดังจนถึงตรงนี้ ก็ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาว จากนั้นดาวตกสิบดวงพลันสั่นไหว พากันระเบิดกลายเป็นเศษธุลีหมุนตลบ ก่อนตรงขึ้นสวรรค์เก้าชั้นแล้วหายไป
หลังจากพวกมันหายไปแล้ว เหล่าศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ไม่ได้ยินเสียงอื้ออึงอีก แต่กลับมาเป็นปกติ ต่างพากันมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าสับสน
บนท้องฟ้า เทียนเสียจื่อเดินกลับมายังปลายยอดเขาลำดับเก้า ส่วนคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าทะมึน กลับไปยอดเขาของตนและฝ่ายนภา
เทียนหลันเมิ่งหน้าซีดขาว เดินโซเซกลับยอดเขาลำดับเจ็ด
ขณะเดียวกัน มีเสียงแก่ชราดังแว่วมาจากฝ่ายนภา กึกก้องข้างหูศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ทุกคน
“เผ่าเชมันเปลี่ยนไป พวกมันเคลื่อนไหวก่อนเวลาอันควร….ฉะนั้นเมืองหมอกนภาจึงมาเตือน เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา พวกเจ้าไม่ต้องตกใจไป…ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ที่จะเข้าร่วมสงครามหมอกนภาล่าเชมันทั้งหมดฟังทางนี้ พรุ่งนี้ยามรุ่งสางให้มารวมตัวกันที่นภาหิมวันต์ พวกเราจะเดินทางไปปกป้องเมืองหมอกนภา!”
น้ำเสียงแก่ชราสงบนิ่งยิ่งนัก เมื่อก้องกังวานเข้าถึงหูศิษย์ทุกคนแล้ว เสมือนมีพลังทำให้จิตใจสงบ ความสับสนและการคาดเดาต่างๆ กลับมาเป็นปกติ ไม่คิดเพ้อเจ้ออีก
“พวกเราเผ่าหมานทำสงครามกับเผ่าเชมันติดกัน ฉะนั้นเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ทว่าการเคลื่อนไหวก่อนเวลาในสงครามหนึ่งร้อยปีครั้งนี้ผิดปกติ เมื่อไปถึงที่แล้วพวกเจ้าต้องระวังตัว….จะต้องหยุดพวกเชมัน เพราะว่าด้านหลังพวกเจ้าเป็นแผ่นดินเผ่าหมาน…”
หลังจากเสียงชายชราดังก้อง ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ล้วนเงียบ แม้ไม่คิดเพ้อเจ้อ ทว่าความกระหายในการต่อสู้กลับถูกจุดขึ้น
“พรุ่งนี้ยามรุ่งสาง ออกรบ!” เมื่อเสียงชรากล่าวประโยคสุดท้ายจบ ผู้เข้าร่วมสงครามทั้งสำนักล้วนคารวะขึ้นฟ้า แผดเสียงตะโกนเด่นชัด
“ออกรบ!”
“ออกรบ!”
เสียงนั้นดึงขึ้นเป็นระลอก รวมขึ้นเป็นคลื่นเสียงก้องกังวานบนแผ่นดินสำนักเหมันต์สวรรค์
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าขาวซีด แม้ไม่ได้ยินเสียงจากดาวตกสิบดวงทั้งหมด แต่ก็พอได้ยินความลับมาบ้าง เขารู้แน่ๆ ว่าเสียงจากฝ่ายนภานั้นกำลังโกหก บางทีอาจบอกได้ว่าอีกฝ่ายพยายามคลี่คลายปัญหาให้เบาลง จึงไม่ได้พูดสาเหตุที่แท้จริง
‘ภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพา…มันหมายถึงอะไรกันแน่…’ เสียงอึกทึกยังคงก้องข้างหูซูหมิง เขามองยอดเขาลำดับเจ็ด แล้วมองปลายยอดเขาลำดับเก้า ก่อนเดินถอยหลังกลับถ้ำตัวเองเงียบๆ
‘หากอาจารย์ไม่อยากพูด ต่อให้ไปถามก็ไม่ต่างกัน…อีกอย่างเรื่องนี้มิใช่แค่อาจารย์ที่บอกได้ ยังมีเทียนหลันเมิ่งอีกคน’ ภายในถ้ำ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิลง เสียงอึกทึกข้างหูหายไปไม่น้อย
‘ต้องทำสงครามแล้วรึ…ข้ายังไม่ได้ทำเรื่องที่สำคัญที่สุดเลย’ ซูหมิงหลับตาลง