Skip to content

สู่วิถีอสุรา บทนำอสูร

บทนำอสูร

“แกรกๆ…”

“แกรก…แกรก…”

ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของอะไร พอได้ฟังราวกับสามารถทะลวงผ่านร่างเข้าสู่วิญญาณ ทำให้ผู้คนที่อยู่ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้ต้องตัวสั่น

ลมเหนืออันวังเวงพัดครืนครืนผ่านเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ หิมะขาวโพลนปลิวไสวตามแรงลม ฉีกท้องฟ้ากว้างออกเป็นส่วนๆ โปรยปรายเป็นชั้นๆ ลงบนผืนแผ่นดินใหญ่ มองไกลออกไปเหมือนกับโลกสีขาว ทุกหนแห่งรกร้างว่างเปล่า

ตอนนี้ยังไม่ค่ำมืดนัก เป็นเพียงยามใกล้ค่ำ ทว่าความมืดสลัวของท้องฟ้าเหมือนกับค่ำคืนมืดมิดมิมีผิด ให้ความรู้สึกที่หนักอึ้งยิ่งนัก เหมือนกับกดทับอยู่ตรงที่หน้าอกจนหายใจติดขัด บนแผ่นดินใหญ่สีเงินนั้นปรากฏเงาของวัตถุขนาดยักษ์ มันเป็นเมืองอันโอ่อ่าแข็งแกร่ง ราวกับสัตว์ยักษ์น่าเกรงขามย่างกรายเข้ามา

ตรงใจกลางเมืองมีแท่นบวงสรวงลักษณะเป็นหอคอยสูงตระหง่าน

รูปทรงเจ็ดเหลี่ยม ทุกส่วนเป็นสีดำ ตรงดิ่งเสียดฟ้า สูงและมั่นคงดั่งขุนเขาอยู่ท่ามกลางลมพายุหิมะ ภายในเสียงลมครืนครืนที่พัดผ่านแท่นบวงสรวง กลับมีเสียงแค่กๆ ปะปนอยู่ เสียงกระจายไกลออกไป แฝงไว้ด้วยความหยาบอันเก่าแก่ และมีความหมายแฝงที่งดงาม

“ยังมีความหวังหรือไม่…ยังมีหรือไม่…”

น้ำเสียงแหบพร่าลอยมาจากบนแท่นบวงสรวงท่ามกลางพายุหิมะ คล้ายหลอมรวมเข้าด้วยกันกับลม แฝงอยู่ในนั้นยากจะแยกแยะ

“หากยังมีหวัง แล้วความหวังอยู่แห่งหนใด หากไร้ซึ่งความหวัง เหตุใดถึงทำให้ข้าเห็น!”

เสียงนั้นราวกับกำลังคลุ้มคลั่ง แทบจะคุมตัวเองไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น และดังก้องไกลไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

ด้านล่างของแท่นบวงสรวง ยามนี้มีเงาคนสวมเสื้อกันฝนที่ถักทอจากฟางข้าวและหวายอยู่จำนวนมาก ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น สายตามองทอดออกไปไกล พวกเขามีกันมากกว่าหลายแสนคน มีทั้งบุรุษและอิสตรี โอบล้อมรอบแท่นบวงสรวงแห่งนี้กันอย่างเนืองแน่น แม้ว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหว ทว่ากลับมีความคลุ้มคลั่งปรากฏให้เห็น ราวกับว่าประโยคหนึ่งที่คนบนแท่นบวงสรวงกล่าวออกมา พวกเขาก็พร้อมที่จะแลกกับทุกสิ่ง

หิมะตกหนักมากขึ้น

“ในเมื่อเจ้าให้ข้าได้เห็น มันจะต้องมีหวังอย่างแน่นอน แต่ว่าความหวัง…มันอยู่ ณ ที่ใด!” เสียงแหบพร่าบนแท่นบวงสรวงแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดและความโศกเศร้าไม่เลือนหาย

“วันนี้แสงอรุณกลับผิดทิศ ไท่ทั้งสาม[1]บุกเบิกดินแดน พายุหิมะหวนคืนมา

ชั่วนิจนิรันดร์มีหนึ่งครา ข้าจะเป็นจ้าวแห่งหมานอีกครั้ง!” น้ำเสียงพลันเปล่งดังขึ้น ไม่ทราบว่าใช้กลอุบายแบบใด ทำให้เมฆบนท้องฟ้าเปลี่ยนสี เกล็ดหิมะที่โปรยปรายนับไม่ถ้วนล้วนพลันชะงัก ก่อนจะหมุนวนขึ้นแผดเสียงหวีดร้อง เกาะกลุ่มกันจากทั่วทุกสารทิศจนฟ้าดินสั่นสะเทือน!

บนท้องนภาไร้ซึ่งหิมะโปรยปราย เกล็ดหิมะทั้งหมดเกาะตัวกันเป็นมังกรสวรรค์สีขาวขนาดยักษ์ พอมังกรตัวนี้ก่อร่างขึ้นเสร็จก็แหงนหน้าแผดเสียงคำรามทันที น้ำเสียงแสบแก้วหู ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต้องอกสั่นขวัญหาย ราวกับจะถูกเสียงนั้นฉีกร่างก็มิปาน

โลหิตสดน่าสะพรึงหลั่งออกมาจากตัวของมังกรหิมะ ไม่นานก็ปกคลุมไปทั่วร่าง จนทำให้มังกรตัวนี้กลายเป็นดั่งมังกรโลหิต

มันแผดเสียงแหลมหวีดร้อง สะบัดร่างพุ่งทะยานสู่นภา ประดุจดาวตกที่พุ่งตรงสู่ขอบฟ้า ราวกับจะเบิกนภาออกเป็นโพรง เปิดให้ความหวังปรากฏ

ด้วยความเร็วของมัน พริบตาเดียวก็ไร้ที่สิ้นสุด เสียงร้องดังกึกก้อง ราวกับมังกรตัวนี้พุ่งทะยานเข้าใส่บางสิ่งที่มองไม่เห็น ฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงดังสนั่นแผ่กระจายไปทั่วแปดทิศ มังกรโลหิตแผดเสียงร้องแหลมขึ้นอีกครั้ง ก่อนร่างจะแตกสลายออกเป็นชั้นๆ อย่างรวดเร็ว

ในขณะที่มันกำลังจะแหลกสลาย ผู้คนที่เงียบขรึมนับแสนด้านล่างของแท่นบวงสรวงล้วนใช้สองมือประสานนิ้ว กัดปลายลิ้นพ่นโลหิตสดออกมา เหมือนว่าโลหิตสดเหล่านั้นจะถูกพลังบางอย่างฉุดดึง ห้อเหยียดทะยานขึ้นฟ้าราวกับทะเลเลือด พุ่งตรงเข้าใส่มังกรโลหิตที่กำลังแตกสลายตัวนั้น หลังจากหลอมรวมกันแล้ว พลังทำลายล้างที่มีต่อมังกรตัวนั้นก็ผ่อนลง ก่อนมันจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นฟ้าที่สูงขึ้น

ขณะนี้มังกรโลหิตบินสูงขึ้นเรื่อยๆ ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน

ทว่าในขณะนั้นเอง มังกรโลหิตกลับพลันสั่นสะท้าน แผดเสียงร้องคำรามไกลนับหมื่นลี้ ก่อนร่างจะแหลกสลายไปอีกครั้ง กลายเป็นเกล็ดหิมะสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา มองไกลออกไปฟ้าดินผืนนี้ถูกย้อมจนกลายเป็นอเวจีสีแดง

ยิ่งไปกว่านั้น ในจังหวะที่มังกรโลหิตกำลังจะแหลกสลาย มันแผดเสียงคำรามที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง!

“ตาย…”

“ตายเสียแล้ว….” ณ ตำแหน่งใจกลางของยอดแท่นบวงสรวง ปรากฏชายชราสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงกำลังนั่งขัดสมาธิ บนใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยรอยย่น ซ้ำยังมีจุดด่างสีน้ำตาลเต็มไปหมด เขาพึมพำพลางเปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง ทว่าในดวงตากลับมืดสนิทไร้แสงสว่าง เห็นได้ชัดว่าเขาตาบอด

เบื้องหน้าของเขามีกระดูกสันหลังทั้งชิ้นวางเอาไว้ ปลายแหลมสีขาวยื่นออกมาเนืองแน่น มือขวาของเขาถือเศษหินหนึ่งแผ่น ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่กระดูกสันหลังชิ้นที่ 13

ดวงตามืดสนิทของเขามองไปบนท้องนภา สงบนิ่งอยู่นาน จึงค่อยถอนหายใจยาวออกมา

“บอกอวี๋อ๋อง…ข้าทำเต็มที่แล้ว…”

ขณะกล่าวอยู่นั้น มือขวาที่ถือเศษหินอยู่ก็เคลื่อนไหวบนกระดูกสันหลังประหลาดอีกครั้ง เสียงเสียดสีกับกระดูกสัตว์ดังแกรกๆ ไปไกล เงาร่างของเขาดูซึมเซาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อหลอมรวมเข้ากับเสียงดังกล่าว จึงสะท้อนความรู้สึกโดดเดี่ยวและหดหู่อันน่าเศร้าออกมา

“ข้า จ้าวแห่งหมานของราชวงศ์อวี๋ โลกที่ข้ามองเห็นทั้งหมด พวกเจ้ามองไม่เห็น…”

“พวกเจ้า…มองไม่เห็น…”

“ความหวัง…”

[1] ไท่ทั้งสาม อยู่ในมณฑลเจียงซู แบ่งเป็น เมืองไท่โจว ไท่ซิ่ง และอำเภอไท่ คนมักจะเรียกจนชินว่า เขตไท่ทั้งสามของเจียงซู

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version