Skip to content

สู่วิถีอสุรา 317

ตอนที่ 317 คุ้นเคย…

“ข้าคิดอยากจับมันเสมอ…” ซูหมิงลืมตา มองวานรที่ห่างจากตนหนึ่งจั้งพลางกล่าวเบาๆ

แดนอรุณใต้อาจจะมีคนทำให้วานรเพลิงตัวนี้เชื่องได้จริงๆ ทว่าวิธีกำราบทุกอย่างล้วนต้องใช้กำลัง เพราะวานรตัวนี้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ตามที่เด็กชายผู้นั้นกล่าว มันจึงเป็นสายพันธุ์แปลก!

ฉะนั้นจึงไม่มีใครมีประสบการณ์กำราบวานรเพลิง พวกเขาต้องใช้วิธีกำราบสัตว์ร้ายชนิดอื่นกับวานรตัวนี้ มีเพียงแค่ซูหมิงเท่านั้นที่มีประสบการณ์

เพราะในวัยเยาว์เคยมีวานรเพลิงตัวหนึ่งเติบใหญ่ไปพร้อมๆ กับเขา

“ทว่าข้าก็จับมันไม่ได้สักที…” ซูหมิงยืนขึ้น ส่ายศีรษะเดินไปหาวานรเพลิง แทบจะทันทีที่ซูหมิงยืนขึ้น วานรเพลิงมีสีหน้าตื่นตัว ร้องคำราม และกลับมามีสีหน้าดุร้ายอีกครั้ง

“เป็นแบบนั้นอยู่หลายปีจนมันจงใจให้ข้าจับ…ตอนนั้นข้ามีความสุขมาก จนกระทั่งนานไปข้าจึงรู้ว่ามันจงใจทำ เพราะในป่าเขาแห่งนั้น มันเหงา…เหมือนกับข้า” ซูหมิงพึมพำ เดินไปทางวานรเพลิง นัยน์ตาวานรขยับแววดุร้าย ตอนที่ซูหมิงเดินเข้ามา มันพลันกระโดดขึ้น พุ่งกรงเล็บใส่ใบหน้าซูหมิง ความเร็วของมันทำให้มีสายลมรุนแรงกระทบใบหน้าเขา

ทว่าครั้งนี้ แทบเป็นช่วงที่กรงเล็บมันจะสัมผัสซูหมิง ตัวซูหมิงขยับไปด้านข้าง ดูเหมือนถูกกรงเล็บวานรฉีก ทว่าความจริงแล้วนั่นเป็นแค่เศษเงา

“จนถึงตอนนั้นข้าถึงได้รู้ว่า ไม่ใช่ข้าหามัน แต่เป็นมันที่เลือกข้าเป็นเพื่อน…”

ซูหมิงพึมพำ เอี้ยวตัวหลบข้างแล้วก้าวหนึ่งก้าวมายืนอยู่หลังวานรเพลิง ก่อนยกมือขวาขึ้นแล้วลูบหัวมันเบาๆ ท่าทางอ่อนโยนนัก ประหนึ่งลูบเสี่ยวหงในตอนนั้น ทำแบบนี้เสี่ยวหงจะรู้สึกสบายที่สุด

วานรเพลิงตัวสั่น พลันหมุนตัวกลับ แยกเขี้ยวเผยความโกรธเกรี้ยว ใช้สิ่งนี้มาปกปิดความหวั่นไหวเมื่อครู่

“เจ้ารวดเร็วนัก หากไม่มีโซ่พันธนาการน่าจะเร็วกว่านี้…เหมือนกับเสี่ยวหง มันก็เร็วมากเช่นกัน ตอนข้าเยาว์วัยยังตามไม่ทันเลย…” ซูหมิงมองวานรเพลิงแยกเขี้ยว กล่าวขึ้นเบาๆ

“ที่นี่ไม่เหมาะกับเจ้า บางทีแผ่นดินเผ่าเชมันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า รอจนไปถึงเผ่าเชมันแล้วข้าจะแก้โซ่ให้ และมอบอิสระให้เจ้า…”

ซูหมิงพึมพำพลางมองวานรเพลิง

วานรถอยหลังไปหลายก้าว จ้องซูหมิงอย่างตื่นตัว ราวกับฟังซูหมิงไม่เข้าใจ

“พวกเรามาพนันกัน ดูว่าใครจะเร็วกว่ากัน” ซูหมิงพลันยิ้ม รอยยิ้มนั้นมีความอ่อนวัยใสซื่อเพิ่มเข้ามาอย่างพบเห็นได้ยากตั้งแต่มาแดนอรุณใต้ มันเป็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม มิใช่คนโตเต็มวัย

“หากเจ้าชนะ ข้าจะปลดโซ่ให้ตอนนี้และมอบอิสระให้ ทว่าหากเจ้าแพ้ ต้องให้ข้าจัดการกับขนเจ้า สภาพเจ้าตอนนี้ดูสกปรกมาก” ซูหมิงมองวานรเพลิง วานรเพลิงก็จ้องหมิงเช่นกัน

“จากตรงนี้ไปถึงยอดเขา มาดูกันว่าใครเร็วกว่า…จะต้องทำกฎของข้าด้วยนะ” ซูหมิงชี้ไปทางยอดเขาลำดับเก้า มองวานรเพลิงแล้วปล่อยโซ่มือในมือซ้าย

วินาทีที่ปล่อยโซ่ วานรเพลิงพลันไหวตัว ไม่ได้ห้อเหยียดไปทางยอดเขา แต่เหมือนทะยานขึ้นฟ้า พุ่งไกลออกไปแล้วแผดเสียงร้อง ในน้ำเสียงมีการเย้ยเยาะอยู่ด้วย

จื่อเชอยิ้มเฝื่อนอยู่ข้างๆ เขาคิดเสมอว่าซูหมิงเป็นคนเฉียบแหลมนัก ตอนนี้กลับทำให้เขาต้องยิ้มแห้ง

“อย่างน้อยสิ่งแรกที่มันคิดคือหนี ไม่ใช่โจมตีข้า” ซูหมิงยิ้มมองจื่อเชอแวบหนึ่ง แล้วเดินขึ้นฟ้าหนึ่งก้าว ช่วงที่เหยียบเท้าลง มีเสียงอึกทึกดังมาจากในตัวเขา กำไลน้ำแข็งสิบหกวงบนเท้าระเบิดกระจุยสี่วง!

ตอนที่กำไลน้ำแข็งสี่วงระเบิด ความเร็วซูหมิงพลันทะยานขึ้นสูง ไล่ตามวานรเพลิงในชั่วพริบตา เมื่อเข้าใกล้ในระยะหนึ่งแล้ว ในตัวเขามีเสียงระเบิดดังมาอีกครั้ง กำไลน้ำแข็งอีกสี่วงระเบิดออก ความเร็วเพิ่มขึ้นประหนึ่งข้ามผ่านความว่างเปล่า ขณะเดินเงาร่างเหมือนค่อยๆ หายไป และมาปรากฏอยู่หลังวานรเพลิงไม่ถึงสิบจั้ง!

วานรเพลิงพลันหันกลับมามอง สีหน้าดูเหลือเชื่อ มันแผดเสียงร้องแหลมก่อนห้อเหยียดสุดกำลัง ข้างหูมันยังได้ยินเสียงระเบิดดังอีกสองครั้ง

กำไลน้ำแข็งบนตัวซูหมิงระเบิดอีกสองวง พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่หน้าวานรเพลิงและขวางมันเอาไว้

“ต้องทำตามกฏของข้า” ซูหมิงยิ้มกล่าว

วานรเพลิงเบิกตากว้าง แยกเขี้ยวก่อนล่าถอยทันใด ทำท่าจะห้อเหยียดไปอีกทาง พอซูหมิงเห็นมันกำลังถอย นัยน์ตาเขาฉายแววชื่นชม

แม้แต่วานรตัวนี้ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดมันต้องเปลี่ยนทิศทาง ไม่เหมือนตอนแรกที่จะเข้ามาฉีกซูหมิงอย่างดุร้าย บางทีคำพูดซูหมิงอาจมีประโยชน์ บางทีรอยยิ้มเขาอาจไปกระตุ้นมัน บางทีอาจเป็นเพราะเขาลูบหัวมัน ทำให้มันลังเลใจ และอีกหลายสาเหตุ…

ขณะเดียวกับที่วานรเพลิงเปลี่ยนทิศทาง ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวแล้วมายืนตรงหน้าวานรเพลิงอีกครั้ง จนกระทั่งวานรเพลิงเปลี่ยนทิศทางอีกหลายครั้ง ทว่าก็ไม่อาจหลีกซูหมิงพ้น ในที่สุดมันก็ยังเผยสีหน้าดุร้าย

ยามคำรามเสียงแหลม มันไม่เปลี่ยนทิศทางอีก ดวงตาบ้าคลั่งและแดงฉาน ง้างกรงเล็บพุ่งเข้าใส่ซูหมิง หมายจะฉีกคนที่ขวางหน้ามัน

แทบจะเป็นตอนที่สองกรงเล็บเข้าใกล้ มีหมอกดำหลั่งไหลมาโอบล้อมตัวซูหมิง สร้างขึ้นเป็นเกราะแม่ทัพเทพมายา เกราะนี้ดูเหมือนปกติ ทว่าหากมองอย่างละเอียดจะพบว่าหมอกดำรวมออกมาเป็นเส้นจำนวนมาก เส้นเหล่านี้ตัดสลับกัน เชื่อมเป็นเกราะอย่างสมบูรณ์

กรงเล็บวานรเพลิงปะทะเกราะบนตัวซูหมิง เกิดเป็นเสียงโครมดังกึกก้อง พลังมหาศาลปล่อยมาจากตัววานรเพลิงในฉับพลัน ความแข็งแกร่งมิใช่ขั้นชำระล้าง แต่เทียบเท่าขั้นเซ่นไหว้กระดูก!

นี่ขนาดตัวมันยังถูกรัดอยู่กับโซ่ อีกทั้งร่างกายอ่อนแรง หากเป็นมันในสภาพสมบูรณ์คงจะโจมตีรุนแรงกว่าตอนนี้

ภายใต้เสียงโครมดังสนั่น ซูหมิงถอยหลังหลายก้าว แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย วานรเพลิงไม่ได้โจมตีต่อ แต่อาศัยแรงกระแทกห้อเหยียดหนีไป เป้าหมายของมัน…ก็คือปลายยอดเขาลำดับเก้า!

ขณะห้อทะยาน วานรเพลิงมีสีหน้าลำพองใจ แม้ยังคงแยกเขี้ยวแต่ความลำพองใจกลับเด่นชัดยิ่ง ยามนี้ห้อเหยียดไปเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มาถึงปลายยอดเขาลำดับเก้าแล้ว มันยืนอยู่ตรงนั้น สองมือทุบอก กวาดสายตามองไปรอบๆ ท่าทางเหมือนอยากจะหาซูหมิงเพื่อโอ้อวด

ทว่าตอนมันเห็นซูหมิงกลับตะลึงงัน เพราะมันเห็นซูหมิงสองคน หนึ่งยืนยิ้มมองมันอยู่กลางอากาศไกลๆ อีกหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง เก็บโซ่อีกด้านหนึ่งที่รัดกับคอมันขึ้นมา

“เจ้าแพ้แล้ว…” ซูหมิงยิ้มพร้อมกับถือโซ่ ยามนี้เงาคนไกลๆ กลายเป็นหมอกดำ หมอกดำนั้นไหลเชี่ยวกรากกลายเป็นเงาภูตผีตรงไปยังแท่นราบนอกถ้ำซูหมิง ตอนที่เข้าใกล้ก็ส่งเสียงวิ้ง ก่อนกลายเป็นตรีศูลปักบนแท่นหิน

ภาพดังอยู่กล่าวในสายตาจื่อเชอ เขาเกิดความสงสัย เห็นอยู่ว่าคนที่ไล่ตามวานรเพลิงไปคือตัวซูหมิง ทว่ากลับมองไม่ออกว่าซูหมิงเปลี่ยนตัวกับตรีศูลภูตผีอย่างไร

วานรเพลิงมีสีหน้าโกรธแค้น หันไปมองซูหมิง จากนั้นแยกเขี้ยวแผดเสียงร้อง

“ไม่มีอีกครั้งแล้ว ข้าไม่ได้โกง” ซูหมิงยิ้มกล่าว เมื่อเอ่ยจบเขาพลันอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น

มิใช่แค่เขาที่อึ้ง แม้แต่วานรเพลิงก็ด้วย

ซูหมิงตะลึงงัน เพราะว่าเมื่อครู่นี้เสียงร้องของวานรเพลิงและท่าทางแยกเขี้ยว ทำให้เขาเข้าใจความหมายที่มันอยากจะสื่อด้วยตัวเอง เหมือนกับวานรเพลิงตัวนี้เป็นเสี่ยวหง

อยู่กับเสี่ยวหงมาหลายปี ระหว่างซูหมิงกับมันบรรลุถึงจุดที่เรียกว่ารู้ใจกันและกันผ่านทางสีหน้าและท่าทาง

ทว่ามัน…ไม่ใช่เสี่ยวหง…

วานรตัวนี้ตะลึงค้าง ในความทรงจำของมัน บนโลกใบนี้ไม่เคยมีใครรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ เหตุที่มันอึ้งงันเมื่อครู่ก็เพราะอยากให้เอาใหม่จริงๆ…

มันเริ่มเชื่อแล้วว่าบุคคลตรงหน้าต่างจากคนอื่นเล็กน้อย ราวกับว่าบุคคลที่มันไม่ได้ชิงชังเป็นพิเศษผู้นี้เคยมีเพื่อนนามเสี่ยวหงจริงๆ…

ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง เหม่อมองวานรเพลิงอยู่นาน ก่อนส่ายศีรษะ

“เจ้าแพ้แล้ว มาให้ข้าทำความสะอาดขนเจ้าเสียดีๆ” ซูหมิงกล่าวพร้อมเดินมาอยู่ข้างวานรเพลิง ขณะกำลังจะใช้เกล็ดหิมะล้างขนให้มัน วานรเพลิงหยุดชะงัก เห็นได้ชัดว่ายังไม่คุ้นชิน ทว่าพอลังเลครู่หนึ่งแล้วก็ปล่อยให้ซูหมิงนำหิมะมาถูบนตัวมัน

แต่เมื่อซูหมิงถูไปสองสามที จากหิมะสีขาวกลายเป็นสีดำไม่ว่า วานรเพลิงยังรู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง มันคำรามใส่ซูหมิงหลายครั้ง ถอยหลังไปหลายจั้ง นัยน์ตาขยับประกาย ทั้งตัวปานถูกจุดไฟ พลันมีเปลวเพลิงลุกโชนโอบล้อมวานรเพลิงเอาไว้

ส่งเสียงเปาะแปะดังกังวาน ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเปลวไฟดับ วานรเพลิงก็กลับมามีขนสีแดงเพลิงดังเดิม

ทว่าสีแดงเพลิงนี้กลับซ้อนทับกับสีแดงในความทรงจำซูหมิง…

ระหว่างที่ซูหมิงเหม่อลอย ทันใดนั้นมีเสียงคำรามดังแว่วมาจากในถ้ำของเขา เสียงคำรามเจ็บปวดและแฝงไว้ด้วยการต่อสู้ดิ้นรน เสียงนั้นเป็นของเหอเฟิง!

การหลอมรวมครั้งสุดท้ายมาถึงแล้ว!

ซูหมิงพลันได้สติกลับมา หมุนตัวมองไปทางถ้ำของตนแล้วเคลื่อนตัวไป วานรเพลิงข้างหลังมีสีหน้าไม่พอใจ แต่สายตาที่มองซูหมิงกลับต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง

ความต่างนี้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในความทรงจำของมัน

มันคือความคุ้นเคย ความไม่เข้าใจ ความลังเล คือความสับสนอย่างหนึ่งที่มันไม่เข้าใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version