ตอนที่ 316 เสี่ยวหง
สงครามหมอกนภาล่าเชมันใกล้เข้ามาแล้ว!
เวลาสองเดือนสำหรับซูหมิงสั้นยิ่งนัก มีความเป็นได้สูงมากว่าการรู้แจ้งในครั้งนี้ เวลาจะผ่านไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งเวลานั่งฌานยังไม่ค่อยพอ
อีกอย่างนี่มิใช่สองเดือนแล้ว จะให้พูดจริงๆ คือประมาณหนึ่งเดือนครึ่ง
ทั้งสำนักเหมันต์สวรรค์กำลังเงียบสงบก่อนมรสุมจะเกิด สภาพแบบนี้มิใช่ว่าผู้คนสงบ แต่เป็นสภาพจิตใจ เป็นความรู้สึกของพวกเขา
เพียงแต่ว่าคนที่จะเข้าร่วมสงครามหมอกนภาล่าเชมันในครั้งนี้ ล้วนเตรียมตัวกันอย่างแข็งขันเป็นครั้งสุดท้าย บางทีอาจมีคนรอสร้างผลงานชั้นเยี่ยมในสงคราม บางทีก็อาจต้องตายนอกบ้านเกิด
สงครามล่าเชมันทุกหนึ่งร้อยปี มักจะต้องมีโลหิตสดนองหมอกนภา…..
หลังจากกลับมาถึงยอดเขาลำดับเก้า ซูหมิงก็ตัดสินใจว่าก่อนสงครามหมอกนภาล่าเชมัน เขาจะไม่ออกจากยอดเขาของตนอีก อยากจะเตรียมตัวครั้งสุดท้ายในช่วงเวลานี้
เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ
การหลอมรวมของเหอเฟิงมาถึงช่วงสำคัญแล้ว การผลัดเปลี่ยนครั้งสุดท้ายนี้ หากสำเร็จเหอเฟิงจะกลายเป็นองครักษ์ผู้แข็งแกร่งของซูหมิงในสงครามล่าเชมัน
และยังมีการหลอมโอสถชิงวิญญาณ ตอนนี้มีวัตถุดิบเพียงพอแล้ว ซูหมิงต้องการเพียงพลังความตายเพื่อใช้มันหลอมโอสถชิงวิญญาณ เมื่อเตรียมสิ่งนี้มากพอแล้วก็จะเข้าร่วมสงครามล่าเชมัน
นอกจากนี้แล้ว เขายังต้องศึกษาหม้อฮวงที่เพิ่งได้มา ถึงอย่างไรหากเปิดไม่ออก หม้อนี้ก็ไม่อาจหลอมโอสถชนิดอื่นๆ และสงครามล่าเชมันอาจกินเวลาหลายปีหรืออาจนานกว่านั้น ฉะนั้นจึงต้องเตรียมโอสถจำนวนมาก มิเช่นนั้นแล้วหากเกิดอะไรขึ้นอาจถึงแก่ชีวิต
อีกทั้งยังมีการฝึกฝนของตัวเขาเองอีก เกราะแม่ทัพเทพต้องใช้ประสบการณ์ที่มากกว่านี้เพื่อให้หมอกดำสร้างเป็นวงแหวนอาคม และทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
รูปแบบที่สองของการสร้างภาพวาด ความเร็วในระดับนกใหญ่ทองคำก็ต้องฝึกฝนร่างกายให้มากกว่านี้ เมื่อนั้นเขาถึงจะทนรับความเร็วที่เพิ่มขึ้นได้
อีกอย่างที่ซูหมิงรู้สึกคือ ถ้าจะให้ขั้นพลังชำระล้างตอนปลายของเขาทะลวงสู่ชำระล้างมหาสมบูรณ์ เขาต้องไปรับซวินที่ซ่อมเสร็จกลับมา แล้วบรรเลงบทเพลงจากภูเขาทมิฬ ใช้สิ่งนี้ทะลวงสู่ขั้นชำระล้างมหาสมบูรณ์
เรื่องเหล่านี้ซูหมิงต้องตระเตรียม ส่วนซือหม่าซิ่น เขาไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว
ซือหม่าซิ่นปลูกเมล็ดพันธุ์หมานพลาด ตอนนี้คงไม่มีความกล้าพอจะมาต่อสู้กับซูหมิงซึ่งๆ หน้าแล้ว
“ไป๋ซู่…” ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินนอกถ้ำ ในความคิดผุดร่างไป๋ซู่ ร่างนี้ค่อยๆ เลือนรางในความคิดจนหายไป
เมื่อสงบจิตใจแล้ว ในยามกลางดึกดวงจันทร์ลอยสูง ซูหมิงหยิบถุงเล็กสีขาวมาจากอกเสื้อ มองมันด้วยสีหน้าเศร้าโศก
ความเศร้านี้หยั่งลึกยิ่งนัก เวลาปกติจะซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจซูหมิง มีแค่บางครั้งที่จะปรากฏออกมา และทุกครั้งจะทำให้รอยแผลเป็นบนใบหน้าเขาดูเหมือนเป็นสีโลหิต
ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงตบถุงเบาๆ พลันมีหมอกลอยมาจากข้างใน ภายในหมอกมีเสียงโซ่เหล็กดัง ขณะเดียวกันก็มีเงาร่างสีแดงทึบพุ่งตัวออกมาด้วยความเร็วในระดับสายตามองเห็นไม่ชัด
เงาร่างสีแดงทึบพลันหยุดห่างจากตรงหน้าซูหมิงหลายจั้ง เผยให้เห็นรูปร่าง มันคือวานรเพลิงตัวนั้น กำลังนั่งยองจ้องซูหมิงเขม็ง นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้นและเกลียดชัง ทั้งยังมีความดื้อรั้นอย่างแรงกล้า
จากแววตาของมัน ซูหมิงเห็นความหยิ่งยโสในใจและความเกลียดชังต่อสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง เห็นได้ชัดว่าตอนมันอยู่กับเด็กชายคนนั้นต้องพบเจอกับการทรมานอันแสนเจ็บปวดนับครั้งไม่ถ้วน จึงทำให้มันไม่เชื่อฟังใคร อีกทั้งยังมีจิตสังหารบ้าคลั่งกับทุกคน
ต่อให้เป็นซูหมิงที่มีแววตาต่างออกไป ในความคิดมันยามนี้ก็ชั่วร้ายอย่างยิ่งเช่นกัน หากมีโอกาสจะต้องถูกมันฉีกร่าง
จื่อเชอยืนขึ้นอยู่ไกลๆ จ้องวานรตัวนั้นอย่างเย็นชา เดินออกมาหลายก้าว เขารู้สึกถึงความบ้าคลั่งและดุร้ายอย่างรุนแรงจากในตัววานร หากมิใช่ว่ามันถูกโซ่ล่ามเอาไว้ เกรงว่าคงกระโจนใส่ซูหมิงทันที เมื่อสังหารแล้วก็จะเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าแล้วหนีไป
อีกทั้งในตัววานร จื่อเชอยังรู้สึกถึงอำนาจคุกคามที่แข็งแกร่ง แม้ยามนี้วานรจะอ่อนแอ ทว่าในตัวมันกลับมีความน่าเกรงขามเทียบเท่าขั้นเซ่นไหว้กระดูก แม้บอกว่าความน่าเกรงขามนี้อ่อนแอ แต่ก็มีอยู่จริงๆ เห็นได้ชัดว่าหากวานรนี้สมบูรณ์เต็มร้อยจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะความเร็วเมื่อครู่ ยิ่งทำให้จื่อเชอตะลึง
แทบจะเป็นช่วงที่จื่อเชอเดินเข้าไปอย่างระวัง วานรตัวนั้นหมุนตัวกลับ ดวงตาสองข้างแดงก่ำ จ้องจื่อเชอ ก่อนไหวตัวพุ่งไปทางเขาพร้อมกับพลังชั่วร้ายมหาศาล ร่างสีแดงทึบเข้าถึงตัวจื่อเชอในระยะไม่ถึงสามจั้งในชั่วพริบตา
เสียงโครมดังขึ้น โซ่เหล็กขึงตึง ทำให้วานรตัวนั้นหยุดชะงัก กรงเล็บคว้าอากาศห่างจากตรงหน้าจื่อเชอสองจั้ง แม้ไม่โดนเขา แต่ลมจากกรงเล็บกลับทำให้จื่อเชอตกตะลึง ลมนั้นกระทบใบหน้าอย่างรุนแรงจนรู้สึกเจ็บนิดๆ
วานรเพลิงถูกโซ่ล่ามเอาไว้ที่คอ ยามนี้เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงมันเล็กแหลม จำใจ และยังไม่ยอมแพ้ กระทั่งตรงคอมันถูกผูกตายเอาไว้ ขนตรงคอจึงเป็นแผลเหวอะหวะ
“จื่อเชอ ถอยไป” ซูหมิงมองวานรเพลิงพลางกล่าวเบาๆ
จื่อเชอโค้งคำนับแล้วถอยไปหลายก้าว ทว่าก็ยังจ้องวานรเพลิงอย่างตื่นตัวตลอดเวลา กลิ่นอายเหี้ยมโหดเช่นนี้น่าตะลึงอย่างยิ่ง คิดดูว่าหากมันหลุดจากโซ่แล้วเป็นอิสระอีกครั้ง จะต้องเกิดหายนะเป็นแน่
หลังจากจื่อเชอถอยไป ความบ้าคลั่งในแววตาวานรมิได้ลดน้อยลง กลับเข้มข้นมากขึ้น จากสีหน้ามันจะรู้ว่ามันไม่เชื่อใจผู้ใด มีความเคียดแค้นชิงชังทุกอย่างรอบตัว ใช้ความบ้าคลั่งและดุร้ายมาปกปิดความโดดเดี่ยวในใจมัน
นี่คือสิ่งที่ซูหมิงเห็น
“ข้าเคยมีสหายอยู่ตัวหนึ่ง” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
ช่วงที่กล่าว วานรเพลิงพลันหมุนตัวกลับมาจ้องซูหมิง นัยน์ตาเปล่งแสงสีแดงอีกครั้ง เผยความชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็หมุนตัวแล้วนั่งยองลงทั้งสีหน้าดุร้าย
“มันชื่อว่า…” ซูหมิงเพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ จื่อเชอที่อยู่ไม่ไกลหน้าเปลี่ยนสี
วานรตัวนั้นแผดเสียงคำรามแหลม พุ่งตัวเข้าใส่ซูหมิงด้วยความเร็วจนทิ้งเศษเสี้ยวเงาเอาไว้ มันรวดเร็วอย่างยิ่ง มาปรากฏตัวอยู่หน้าซูหมิงในชั่วพริบตา สองมืองอเป็นกรงเล็บ ทะลวงใส่หน้าอกซูหมิง ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนอยากฉีกหน้าอกเขาแล้วควักหัวใจออกมากิน
ซูหมิงมีสีหน้าเศร้าโศก พอวานรเพลิงเห็นความเศร้าโศกนั้น มันไม่เพียงไม่ลดความเร็วลง กลับเร่งความเร็วมากขึ้น หากแต่ตอนที่สัมผัสกับตัวซูหมิง วานรพลันร้องโหยหวน โซ่ตรงคอมันรัดแน่นจนหายใจไม่ออก อีกทั้งโซ่ยังสะบัดเหวี่ยงมันใส่ผนังหินด้านข้าง ส่งเสียงดังโครมก้องกังวาน
ผนังหินเกิดรอยร้าว วานรเพลิงล้มลง แต่ก็ตะกายขึ้นทันใด แล้วแผดเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่งและดุร้ายใส่ซูหมิง
“อาจารย์อา ระวัง!” ยามนี้ เสียงจื่อเชอเพิ่งดังแว่วเข้ามา ทุกอย่างก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
“…เสี่ยวหง…” ซูหมิงไม่หยุดเอ่ย พูดยาวจนจบ เหตุการณ์เมื่อครู่หากจะให้บรรยายก็เกิดขึ้นระหว่างซูหมิงกล่าว
“ตอนพวกเรารู้จักกัน ข้าเป็นเด็กหนุ่มทึ่มทื่อ ส่วนมันอยู่ในป่า….” ซูหมิงกล่าวเบาๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง และเหมือนพูดให้วานรเพลิงฟัง
วานรตัวนี้เกรี้ยวกราดยิ่งนัก เหมือนไม่เข้าใจคำพูดของซูหมิง มันพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง แม้รู้ว่าไม่มีประโยชน์ก็ยังทำ
มันเข้าใกล้ในชั่วพริบตา ยังไม่ทันใช้กรงเล็บ โซ่ตรงคอก็สะบัดอีกครั้ง เหวี่ยงมันกระแทกกับพื้น
ยามนี้จื่อเชอถอนหายใจโล่งอก ถอยหลังไปหลายก้าวและมองอย่างตื่นตัว ความแข็งแกร่งของวานรตัวนี้สร้างความตะลึงให้แก่เขา ไม่เพียงแต่มีความว่องไวอย่างยิ่ง มันยังมีพละกำลังมหาศาล กระทั่งบาดเจ็บเช่นนี้แล้วยังมีพลังชั่วร้ายเข้มข้น
“แรงข้าน้อย นอกจากร่างกายปราดเปรียวแล้วก็ไม่มีข้อดีอื่นๆ อีก…ทว่าข้าชำนาญในป่าเขา ฉะนั้นพอวิ่งไปวิ่งมาก็รู้สึกว่าว่องไวยิ่งยัก…จนกระทั้งมาเจอกับเสี่ยวหง…” ขณะซูหมิงพึมพำ วานรเพลิงร้องเสียงแหลม พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ทว่าก็ยังถูกโซ่สะบัดออกไปเหมือนเดิม เสียงโครมดังก้องกลบเสียงของซูหมิง
“ข้ายังจำได้ว่าครั้งแรกที่พวกเราพบกัน มันนั่งยองอยู่บนต้นไม้ ในมือถือเมล็ดผลไม้ มองข้าแล้วหัวเราะเยาะ…ขนมันเป็นสีแดงเพลิงเหมือนกับเจ้า…” นัยน์ตาซูหมิงหวนคิดถึง ขณะกล่าววานรเพลิงเข้ามาอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่รอมันอยู่คือการกระเด็นถอยไป ครั้งนี้มันกระอักเลือด
ทว่าความบ้าคลั่งและดุร้ายยังไม่ลดน้อยลง
“ตัวมันสวยมาก ข้าชอบนัก….ข้าอยากจับมัน แต่มันรวดเร็วยิ่งนัก…บางทีอาจเป็นโชคชะตา จากนั้นทุกครั้งที่ข้าเข้าป่าก็จะเจอมัน…” ซูหมิงยิ้มหวนรำลึก ตกอยู่ในห้วงความทรงจำ
ตอนที่ยิ้ม วานรเพลิงพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เมื่อเข้ามาใกล้ซูหมิงแล้วเห็นรอยยิ้มอ่อนโยน มันกลับหยุดชะงัก
มันมีสติปัญญาสูงส่ง แยกออกว่าคนไหนดีหรือเลว ขณะเดียวกัน รอยยิ้มของมนุษย์ก็ดี คำพูดก็ดี มันไม่เคยเชื่อมาก่อน เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา มันเจอกับเรื่องแบบนี้มาเยอะยิ่งนัก
มันไม่เชื่อใจใคร มันเชื่อเพียงความรู้สึกของตัวเอง
ฉะนั้นก่อนหน้านี้มันฟังคำพูดของซูหมิงรู้เรื่องแต่ไม่สนใจ และใช้ความดุร้ายมาต่อต้าน ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของซูหมิง กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดรอยยิ้มนั้นถึงกระตุ้นจิตใจที่ซ่อนอยู่หยั่งลึก
รอยยิ้มนั้นไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่น้อย และมิได้ยิ้มให้มัน…
ทว่าในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความจริงใจ ทั้งยังมีเศร้าในความสุข
วานรเพลิงหยุดชะงัก นั่งยองห่างจากซูหมิงหนึ่งจั้งพลางมองบุคคลตรงหน้า ในความดุร้ายทางสีหน้ามีความลังเลใจ
“เสี่ยวหง ชื่อนี้ข้าเป็นคนตั้งให้มันเอง…” ซูหมิงพึมพำแล้วหลับตาลง