Skip to content

สู่วิถีอสุรา 488

ตอนที่ 488 โม่ซู!

นี่คือความน่าเกรงขามอย่างหนึ่ง หนึ่งนิ้วทำลายฝ่ามือ หนึ่งประโยคหยุดการเข่นฆ่าสังหาร หนึ่งสายตาเพียงพอจะเขย่าขวัญชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์!

“ข้าก็เป็นคนนอกเผ่าเช่นกัน” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์บนท้องฟ้า มองชาวเผ่าเส้นทองบนจุดสูงสุดของท้องฟ้าที่ยามนี้สีหน้าเปลี่ยนอย่างรุนแรง

กลิ่นคาวเลือดและการเข่นฆ่าที่นี่ ภาพเหล่านี้ทำให้ซูหมิงมีสีหน้าทะมึน หากเขามาช้าอีกนิดเดียว เกรงว่าที่นี่คงจะไม่มีใครรอดชีวิต เมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องที่เขาอยากรู้ก็ต้องสูญเปล่า

อีกทั้ง…แม้คนที่ตายไปเป็นเผ่าเชมัน ทว่าพวกเขาก็เหมือนกับคนเผ่าหมาน แม้วิชาการฝึกฝนต่างกันก็เป็นเผ่ามนุษย์ไม่ต่างกัน เพียงแต่สิ่งมีชีวิตบนท้องฟ้าเหล่านี้มีปีกดุจค้างคาว เห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าอื่นของที่นี่

รูปร่างหน้าตาของพวกมันพิลึกยิ่งนัก แต่ในสายตาซูหมิงกลับมีส่วนคล้ายกับค้างคาวจันทราอยู่บ้าง

ซูหมิงแค่นเสียงหึ ขณะชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์หน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว เขาเดินอากาศขึ้นไป ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองบนท้องฟ้าจึงร้องคำรามเสียงเล็กแหลม

ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์โดยรอบพากันตรงไปยังซูหมิงด้วยสีหน้าดุร้ายและบ้าคลั่ง โดยเฉพาะชาวเผ่าที่มีเส้นม่วงสิบกว่าตัว พวกมันนำอยู่หน้าสุด ตรงไปยังซูหมิง

ซูหมิงยังคงมีสีหน้าตึงเครียด แสงทองโอบล้อมทั้งตัว เขาไม่ใช้วิชาอะไร เพียงยกมือขวาขึ้นกำหมัดแล้วชกไปด้านหน้า!

ตอนนี้กระดูกหกส่วนในร่างเขากลายเป็นกระดูกหมาน เพียงคาดเดาความแข็งแกร่งของตนเอาไว้คร่าวๆ เท่านั้น ในสายตาเขา ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นตัวทดสอบขั้นพลังของตนพอดี

เมื่อชกหมัดใส่มวลอากาศ ทั้งผืนดินพลันสั่นสะเทือน ร่างซูหมิงเปล่งแสงทองสว่างจ้าทันใด ราวกับกลายเป็นดวงตะวัน วินาทีที่ชกหมัดออกไป มวลอากาศเกิดรอยแยกแล้วกลายเป็นน้ำวนยักษ์ดำมืด น้ำวนนี้ลอยขึ้นไป ตอนที่ปะทะกับชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ พวกมันต่างพากันร้องโหยหวน ร่างพลันถูกดูดเข้าไป ก่อนระเบิดกระจุยพร้อมกับเสียงร้องน่าเวทนา

ซูหมิงเดินหน้าอีกหนึ่งก้าว หนึ่งก้าวนี้ฟ้าดินสั่นสะเทือน อากาศใต้เท้าเกิดรอยร้าวของมิติคล้ายไม่อาจรับไหว ยามส่งเสียงแกรกๆ แผ่กระจายออกไป ขณะเดียวกันชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงสิบกว่าตัวก็เข้ามาใกล้แล้ว

ซูหมิงไม่หลบ เขาเพียงลากนิ้วมือขวาไปข้างหน้า กดตัวชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงตัวหนึ่งไว้ มันผู้นี้ร้องคำรามพร้อมกับยกมือขวากดไปทางนิ้วของซูหมิง คิดจะใช้ความแกร่งจากร่างกายเข้าต้าน ส่วนห้านิ้วมือซ้ายงอเป็นกรงเล็บแล้วคว้าไปทางหน้าอกฝ่ายตรงข้าม

มันเตรียมตัวมาอย่างดี เตรียมเสียร่างไปครึ่งหนึ่งแล้ว ในความคิดมัน แม้จะเสียร่างไปครึ่งหนึ่งก็ขอสร้างบาดแผลให้อีกฝ่าย เพียงแต่สิ่งที่มันคิดไม่ถึงคือช่วงที่มือขวาสัมผัสกับนิ้วของซูหมิง มันรู้สึกถึงพลังที่ไม่อาจบรรยายระเบิดปะทุอยู่ในมือขวา ชั่วพริบตาเดียวมันก็ไม่รู้สึกตัว และตกอยู่ในห้วงนั้นไปชั่วนิรันดร์

ในสายตาคนอื่น ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงตัวนี้เพียงถูกซูหมิงกดนิ้วใส่ ทั้งตัวก็พลันระเบิดกระจุยกลายเป็นเศษเนื้อกองใหญ่ ราวกับว่าพลังในนิ้วของซูหมิงเพียงพอจะทำลายฟ้าดิน

หนึ่งนิ้วสังหารชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงหนึ่งตัว เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนิบช้า แต่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เร็วมากจนชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองหรี่ตา ชาวเผ่าเชมันด้านล่างเห็นแล้วก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างดุเดือด

ทว่าเสียงโห่ร้องเพิ่งดังขึ้นก็พลันเงียบกริบ เพราะคนข้างล่างเห็นกับตาว่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงที่สหายตายไปหนึ่งตัวนั้น เข้ามาใกล้ร่างสีทองที่พวกเขาจับจ้องอยู่อย่างรวดเร็ว แล้วโจมตีเข้าใส่พร้อมกัน

ซูหมิงไม่หลบหลีก เขาปล่อยให้ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงเหล่านี้โจมตีใส่ตัวเอง พวกมันล้วนมีสีหน้าดุร้าย เผยจิตสังหารอย่างคลุ้มคลั่ง ทว่าความดุร้ายและจิตสังหารกลับหายไปในพริบตาเดียว

“อ่อนแอเกินไป” ซูหมิงส่ายศีรษะ ด้วยระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาจึงไม่รู้สึกอะไรมากนักกับการโจมตีเช่นนี้ เพียงแค่เลือดลมเดือดพล่านเล็กน้อยเท่านั้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กระดูกหมานทั้งหมดในร่างกายปะทุพลังออกมาทั้งหมด นี่คือพลังจากกระดูกเซ่นไหว้ และเป็นพลังที่แกร่งที่สุดของร่างกายเขาตอนนี้!

วินาทีที่พละกำลังปะทุขึ้นมา แสงสีทองจากตัวซูหมิงแผ่ปกคลุมหนึ่งร้อยจั้ง ท่ามกลางเสียงโครมครามและเสียงร้องโหยหวน ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงที่โจมตีซูหมิงเมื่อครู่กระอักเลือด ร่างกระเด็นถอยไป อีกทั้งร่างกายยังฉีกขาดรุ่งริ่ง

ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ เขายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงที่กระเด็นถอยไปตัวหนึ่งตรงเข้ามาหาโดยไม่อาจควบคุมตัวเอง ซูหมิงบีบคอเบาๆ ทั้งตัวมันก็บิดเบี้ยวและสิ้นใจไป

“ปวกเปียกเช่นนี้ แค่กระบวนท่าเดียวยังรับไม่ไหว” ซูหมิงคลายมือออก ทันทีที่ศพค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นม่วงดิ่งลงสู่พื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองที่อยู่สูงสุดบนท้องฟ้าและยามนี้มีสีหน้าดำทะมึน ประโยคที่ซูหมิงกล่าว เหมือนกับตอนค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองตัวนี้เอ่ยกับเผ่าชะตาชีวิตเหล่านี้ไม่มีผิดเพี้ยน

ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยตัวที่คิดจะพุ่งเข้าไปมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดและพากันร่นถอยไป ไม่มีตัวใดกล้าเดินหน้าต่อแม้แต่ครึ่งก้าว

“เจ้าเป็นใคร!” ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองกล่าวด้วยความเย็นเยียบ

แม้ซูหมิงเงยหน้ามอง ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองกลับรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายมองจากจุดที่สูงกว่า ทำให้ใจมันตื่นตะลึง การปรากฏตัวของซูหมิง รวมถึงพลังและการสังหารอันน่าสะพรึงของอีกฝ่าย ทำให้ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองเกิดความรู้สึกว่าหายใจติดขัด เหตุที่มันพาชาวเผ่าจำนวนมากมาหุบเขาที่เผ่าเชมันอาศัยในครั้งนี้ เป้าหมายคือเพื่อยึดครองแท่นบวงสรวง

ทว่าเรื่องการยึดครองแท่นบวงสรวงจะทำก่อนหรือเอาไว้ทีหลังก็ได้ อีกทั้งที่นี่เป็นโลกซึ่งเชื่อมสามเผ่า ตามสัญญาของเผ่าวิญญาณหยินในตอนนั้น ต้องไว้ชีวิตเผ่าเชมันไว้สักเล็กน้อย

ฉะนั้นเผ่าเชมันจึงมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด เผ่าเชมันจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่จะไม่ถูกสังหารจนสูญสิ้นในเวลาสั้นๆ เพียงแค่จะค่อยๆ กลายเป็นทาสและเหยื่อเท่านั้น

ทว่าที่มันเลือกมาในตอนนี้ ความจริงแล้วมีสาเหตุที่ลึกซึ้งมากอยู่ข้อหนึ่ง

สาเหตุนี้คือจันทร์ดวงที่สิบหายไป

ขณะเดียวกับที่จันทร์ดวงที่สิบหายไป ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองสี่ตัวที่เหลืออยู่ทั้งเผ่าก็รู้สึกถึงการเรียกหาจากบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ของพวกมัน

ในเสียงเรียกนั้นมีความต้องการอยู่ชัดเจน ความต้องการนั้นคือกระหายเครื่องเซ่นไหว้ด้วยวิญญาณและเลือดเนื้อของพวกนอกเผ่า!

ความกระหายนี้อาจเป็นของคนคนเดียว หรืออาจเป็นของหนึ่งเผ่าพันธุ์ การบ่งบอกนี้เลือนรางอยู่เล็กน้อย ฉะนั้นจึงต้องทำสงครามสังหารในครั้งนี้

วิญญาณที่ตายไปทั้งหมดจะถูกค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เก็บไปอย่างลับๆ ต่อให้เป็นเศษเนื้อก็เช่นกัน

เพียงแต่เมื่อซูหมิงปรากฏตัวและเกิดการแปรเปลี่ยนเช่นนี้ขึ้นอย่างฉับพลัน ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองตัวนี้จึงหน้าเปลี่ยนสี มันรู้สึกรางๆ ว่าความกระหายของบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์อาจไม่ใช่คนนอกเผ่าทั้งหมด แต่เป็นผู้แข็งแกร่งบางคนในกลุ่มคนต่างเผ่า!

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่สนใจค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทอง แต่หันไปมองชาวเผ่าเชมันหลายร้อยที่อึ้งตะลึงมองตนอยู่ข้างล่าง เขากวาดสายตามองคนเหล่านี้ แล้วไปหยุดอยู่ที่หนานกงเหิน

ชาวเผ่าเชมันที่สบตากับเขาล้วนมีแววตาฮึกเหิม แต่ละคนพากันก้มหัวลงด้วยสีหน้าเคารพ แม้พวกเขาไม่รู้ว่าซูหมิงเป็นใคร ทว่าซูหมิงช่วยชีวิตพวกตนเอาไว้ โดยเฉพาะการลงมือเมื่อครู่ พวกเขาก็ยิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่

หนานกงเหินก็เช่นกัน ตอนที่ซูหมิงมองมา เขารีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม

“หนานกงแห่งเผ่าชะตาชีวิตคารวะผู้อาวุโส ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเผ่าข้าเอาไว้จากอันตราย”

“เผ่าชะตาชีวิต…สหายหนานกง ไม่เจอกันหลายปี ตั้งแต่วันนั้นที่แยกกัน ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันตอนนี้ ความรู้สึกเปลี่ยนไปมากจริงๆ” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า ปลงอนิจจังเล็กน้อย

“ผู้อาวุโสคือ…” หนานกงเหินได้ยินซูหมิงกล่าวก็อึ้งงันอยู่ตรงนั้น เบิกตากว้างมองอีกฝ่ายอย่างละเอียด จากสีหน้าสับสนเปลี่ยนเป็นสงสัย จากสงสัยกลายเป็นลังเลใจ จนกระทั่งหน้าเปลี่ยนสีไปโดยสิ้นเชิง เผยอาการเหลือเชื่อ

“โม่ซู…..จะ….เจ้าคือโม่ซู!” หนานกงเหินตะลึงงัน เกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจ เสียงพูดหายไปอย่างเหลือเชื่อ

ซูหมิงในตอนนั้นสวมหน้ากาก ส่วนตอนนี้ไม่สวมหน้ากากและเผยใบหน้าแท้จริง ทว่าเสียงของซูหมิงกับคำพูดเมื่อครู่นี้ ทุกอย่างปานสายฟ้าแล่นผ่านความคิดหนานกงเหิน

“ข้าควรจะนึกออกนานแล้ว ตอนนั้นเจ้าพาเด็กหนุ่มเด็กสาวสองคนออกจากลานพนันสมบัติ น่าจะไปจุดฝังกระดูกของจู๋จิ่วอิน จากนั้นเจ้าก็หายตัวไป แล้วปรากฏดวงจันทร์ดวงที่สิบบนท้องฟ้า….” มีเสียงอื้ออึงดังในความคิดหนานกงเหินขณะพึมพำกับตัวเอง

“โม่ซู ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเขา ข้ายังจำชื่อนี้ได้อยู่ งานพนันสมบัติในครั้งนั้นข้าก็อยู่ด้วย เหตุการณ์น่าอัศจรรย์เหล่านั้น ถึงตอนนี้ข้ายังไม่ลืม! ทว่าเขา…เหตุใดตอนนี้ถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้!”

“ข้านึกออกแล้ว ตอนนั้นเขาสู้สูสีกับผู้อาวุโสเถี่ยมู่ แต่ยังเป็นเพียงเชมันระดับกลางอยู่เลย…ตอนนี้…ไม่อยากเชื่อว่าจะแข็งแกร่งเพียงนี้!”

เสียงฮือฮาดังมาจากชาวเผ่าเชมันหลายร้อยคน การปรากฏตัวของซูหมิง ฐานะของซูหมิง ทำให้พวกเขาเหลือเชื่อ ร่างเงาในตอนนั้นกับบุคคลตรงหน้าในตอนนี้ยากจะซ้อนทับกันได้

ซูหมิงยิ้มน้อยๆ เขามาเห็นหนานกงเหินอยู่ที่นี่ได้ ก็รู้ว่าเวลาในโลกอมตะกับโลกภายนอกต่างกันจริงๆ น่าจะผ่านไปไม่นานมากนัก มิเช่นนั้นด้วยเวลาหนึ่งพันปีดุจความฝัน ไม่เพียงแต่โลกภายนอกจะเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง เกรงว่าหนานกงเหินคงกลายเป็นโครงกระดูกและเถ้าธุลีลอยหายไปแล้ว

“โม่ซู! ดีนัก เรื่องในวันนี้ไม่จบลงแน่ พวกเราต้องได้พบกันอีก!”

ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองบนท้องฟ้ากัดฟัน แล้วกระพือปีกบินไกลออกไป

“พวกเรากลับ!” กล่าวจบ ค้างคาวศักดิ์สิทธิ์โดยรอบล้วนโล่งอกในใจ เจอกับความน่ากลัวของซูหมิง จิตใจพวกมันสั่นไหวไปหมดแล้ว ยามนี้จึงรีบร้อนกระพือปีกจากไปอย่างรวดเร็ว

“จะไปทั้งอย่างนี้รึ?” ซูหมิงหมุนตัวกลับ มองค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะบินจากไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version