ตอนที่ 104-3
จอมปีศาจหานฉายไฉ่
ตานเฉินจื่อที่ในตอนนี้กระจ่างทุกอย่างแล้วฝืนยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกสหายน้อยมู่เล่นงานอีกหน หากเขานำเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ไปรายงานกับเจ้านายของตนเอง ก็จะยิ่งทำให้เจ้านายเกิดความสนใจและต้องการพบสหายน้อยมู่ให้ได้มิใช่หรือ
ในตอนนี้ ตอนที่เขาเพิ่งจะมาสังเกตได้ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว
และเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ ตานเฉินจื่อก็ได้ส่งข่าวไปให้เจ้านายและไม่อาจจะเอากลับคืนมาได้อีกแล้ว
ตานเฉินจื่อทำได้เพียงแค่จุดเทียนเล่มหนึ่งในใจ พลางอธิษฐานว่า เจ้านายท่านคงต้องอธิษฐานอขอพรให้ตัวเองแล้วล่ะ! ไม่ว่าสหายน้อยมู่จะเอาคืนเจ้านายอย่างไร ก็ตาม แต่ขอให้ไว้ชีวิตท่านก็พอ!
วิธีการสังหารเหล่านั้น ทำให้ภายในใจของตานเฉินจื่อเกิดความหวาดกลัวขึ้น เขารู้สึกว่า แม้ว่าจะเป็นตัวเขาเอง หากถูกลอบสังหารเช่นนี้ ก็คงจะตายอย่างอนาถ และแม้ว่าเจ้านายของเขาจะเก่งกาจมากเพียงใด แต่อย่าลืมว่าสหายน้อยมู่เองก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวหรือลงมือสังหารเลย
และการที่สหายน้อยมู่มีองครักษ์เช่นนี้ได้ แล้วตัวเขาจะธรรมดาได้อย่างไร
ตานเฉินจื่อพลันรู้สึกว่ามู่ชิงเกอต่างหากที่ทั้งน่ากลัวและเหี้ยมโหดมากที่สุด!
ขบวนที่ตามล่ามู่ชิงเกอ ผลัดกันพักผ่อนท่ามกลางความหวาดผวา เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นอีก และในตอนนี้องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ได้มุ่งหน้าไปยัง ทางออกของผืนป่าแห่งนี้ตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ
เมื่อแยกออกมาจากผืนป่าที่พวกเนี่ยซงและจูลี่อยู่ องครักษ์เขี้ยวมังกรจากทั่วทุกสารทิศก็ได้มาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ
พวกเขากระโดดแผ่วเบาไปมาอยู่บนต้นไม้และทะลุผ่านพุ่มหญ้าแต่ละพุ่มอย่างคล่องแคล่ว ราวกับว่า ผืนป่าแห่งนี้เป็นดั่งสวนสนุกสำหรับพวกเขาอย่างนั้น กลิ่นอายบนร่างกายของพวกเขาได้หลวมรวมกับผืนป่า จนยากที่จะแบ่งแยกออกจากกันได้
“คุณชาย พวกเขากำลังพักผ่อนแล้ว” มั่วหยางพูดด้วยนํ้าเสียงอันเคร่งขรึม
“อืม” มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย “เวลาที่เหลือให้พวกเขาเที่ยวสนุกกันในผืนป่าไปก่อนเถอะ เราเดินทางออกไปก่อน เพื่อพบเจ้านายแห่งหอสรรพสิ่ง”
ทันทีที่สิ้นเสียงนี้ในดวงตาอันสว่างไสวของมู่ชิงเกอก็มีประกายเย็นเยียบวาบผ่านไป
ทุกคนลุกขึ้นยืนและเดินตามไปอย่างเงียบๆ คนทั้ง 20 กว่าคนเดินอยู่ในป่าอย่างคล่องแคล่วและมุ่งหน้าไปยังทางออกของผืนป่าแห่งนี้ นอกผืนป่าบริเวณชานเมืองอวี้จื้อ ในขณะที่มู่ชิงเกอนำคนของตนเองมุ่งหน้าไปยังที่นั้น ระหว่างทางก็มีรถม้าคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองอวี้จื้อเช่นกัน
ท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาล แสงประกายสีดำแสงหนึ่งกวาดผ่านท้องฟ้าไป
‘แกว๊กๆ———’
เสียงร้องของเหยี่ยวดังขึ้นบนท้องฟ้าเหนือรถม้า
รถม้าที่กำลังเคลื่อนตัว ภายในรถม้ามือข้างหนึ่งที่สามารถเห็นข้อต่อแต่ละท่อนได้อย่างชัดเจนงดงามสมบูรณ์แบบ ผิวละเอียดลออและขาวบริสุทธิ์ไร้ซึ่งริ้วรอยแม้แต่น้อยก็ยื่นออกมาจากรถม้า
เพียงแค่มือข้างนั้นปล่อยลงอย่างผ่อนคลาย แสงสีดำแสงหนึ่งก็ตกกระทบลงมาและมีเป้าหมายคือมืออันงดงามไร้ที่เปรียบนั้น
เพียงพริบตา เหยี่ยวตัวนั้นก็ได้หยุดอยู่บนนิ้วมือของมือข้างนั้น กรงเล็บอันแหลมคมเกาะนิ้วมือเอาไว้แน่น พลันใช้ปากแหลมจิกบนฝ่ามืออย่างแสดงความสนิทสนมหลายที
มือคู่ใหญ่นำเหยี่ยวเข้าไปภายในรถม้า
ครู่หนึ่ง หน้าต่างรถม้าก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เหยี่ยวกางปีก แล้วบินขึ้นสู่ท้องฟ้า หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับท้องฟ้าสีรัตติกาล
รถม้าที่กำลังขับเคลื่อน ยังคงมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ
ไม่นาน ในรถม้าก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ฉายแววเกียจคร้าน เสียงนั่นทำให้รู้สึกชาไปถึงกระดูก จนยากที่จะต่อต้าน คนที่ควบม้าติดตามมาสะดุ้งทีหนึ่ง แล้วรีบโน้มตัวเข้าใกล้หน้าต่างรถม้า
“ออกคำสั่งให้เดินทางกันเร็วขึ้นกว่าเดิม เจ้าหนุ่มนั่นน่าสนใจถึงเพียงนี้ข้าอยากพบเขาจนแทบจะทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว” เสียงทุ้มต่ำเกียจคร้านดังออกมาอีกครั้ง คนขี่ม้ารับคำสั่งและรีบสั่งสารถีว่า “เร่งความเร็ว!”
หลังจากที่สารถีได้ยินเช่นนั้น ก็ชูแส้ขึ้นสูงและฟาดลงบนหลังม้าอย่างสุดแรง กระตุ้นให้ม้าที่วิ่งอยู่บนถนนเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น
ทันทีที่รถม้าเพิ่มความเร็วขึ้น 4 คนที่ขี่ม้าตามมาจากข้างหลัง ก็รีบเพิ่มความเร็วเพื่อตามไปให้ทัน
“ไปผืนป่าที่อยู่แถวชานเมืองอวี้จื้อ” คนในรถพูดขึ้นอีก
ตอนแรก พวกเขาจะไปเมืองอวี้จื้อ แต่ในตอนนี้ได้เปลี่ยนแผน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในใจของทั้ง 4 คนที่ตามมาเกิดความสงสัย อะไรกันที่ทำให้เจ้านายผู้ที่ไม่เคย ยอมแพ้ต่อสิ่งที่ตนเองวางแผนเอาไว้ผู้นี้เปลี่ยนความคิด คน 2 กลุ่มมุ่งหน้าไปยังนอกผืนป่าที่อยู่บริเวณเมืองอวี้จื้อ
และคนอีกพวกหนึ่ง ยังคงค้นหาตัวมู่ชิงเกออยู่ภายในป่าด้วยความตื่นตระหนกและค่อยๆใกล้ทางออกผืนป่าแห่งนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ย่างสู่วันที่ 7 ที่เข้าสู่ผืนป่าแห่งนี้ มู่ชิงเกอนำองครักษ์เขี้ยวมังกรมารออยู่ที่บริเวณใกล้ทางออกของผืนป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็จะสามารถออกจากผืนป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้
“คุณชาย เรากำลังจะออกจากอาณาเขตของผืนป่าแล้ว” มั่วหยางพูดกับมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ มองทางออกที่มีแสงอาทิตย์ส่องอยู่ ด้วยท่าทางคลุมเครือ ยากที่จะคาดเดาว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ประสานมือทั้งคู่เอาไว้ข้างหลัง นางเดินเข้าหาทางออกอย่างผ่อนคลาย
องครักษ์เขี้ยวมังกรโย่วเหอและฮวาเยวี่ยเดินตามหลังนางมาติดๆ คนพวกนี้ราวกับกำลังจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน
และขบวนตามล่าที่ยังคงอยู่ภายในผืนป่า หลังจากที่ผ่านความกลัวมาหลายวัน ก็สัมผัสได้ว่า มันค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ และเดินตามออกไปยังทางออกของผืนป่าด้วยความมั่นใจอีกครั้ง
หางที่ตามมาจากข้างหลัง ราวกับไม่ต่อผลกระทบต่อจิตใจของมู่ชิงเกอเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่นางเดินออกจากผืนป่า แสงอาทิตย์สาดสว่างลงบนร่างกายของนาง ความรู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น พลางหลับตาลง เพื่อเสพความสุขจากความสบายของแสงอาทิตย์
ในอีกด้านหนึ่ง ระหว่างทางไปยังเมืองอวี้จื้อ รถม้ายังคงอยู่ในระหว่างการขับเคลื่อน เพราะแผนการที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่กำลังจะถึงเมืองอวี้จื้อ รถม้าก็ได้เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน มุ่งหน้าออกไปยังชานเมืองอวี้จื้อแทน
ท่ามกลางทั้ง 4 ที่ขี่ม้าอยู่ 1 ในนั้นรีบขี่ม้าตามพุ่งไปข้างหน้า พลันโน้มตัวลงพูดเสียงต่ำว่า “เจ้านาย ถึงที่หมายแล้ว แต่ตรงนั้นเหมือนจะมีคนอยู่” หน้าต่างที่ปิดสนิทถูกเปิดออก เผยให้เห็นถึงมือคู่ใหญ่ขาวบริสุทธิ์ที่สามารถเห็นข้อกระดูกแต่ละข้อได้อย่างชัดเจน
ในช่องว่างของหน้าต่างที่ถูกเปิดออก ดวงตาคู่เรียวงดงาม มองออกไปยังทิวทัศน์ข้างนอก ก่อนที่สายตาจะหยุดลงบนร่างของคนพูด
ในเขตชายป่าของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ร่างในชุดสีแดงหันหลังให้กับเขา เงาร่างอันสง่าผ่าเผย ทำให้อยากจะเห็นความงดงามในอีกด้านของเขา
ผมยาวสีดำดุจหมึกเหนือศีรษะมีเกล้าผมทองประดับหยกอันหนึ่งรวบผมเอาไว้และปล่อยหางผมลงให้ปลิวไปตามสายลม
ด้านหน้าตัวนาง ทั้งสองข้างมีองครักษ์หนุ่มกว่า 20 คนที่อยู่ในชุดและท่าทางอันเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้นอายุจะยังน้อย แต่ทว่า ไอสังหารที่สาดออกจากตัวของพวกเขานั้น ทำให้ไม่อาจจะดูหมิ่นได้เลย
นอกจากนั้น หญิงสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ในที่ไกลออกไปอย่างเงียบๆ ก็ทำให้ผู้คนไม่อาจลืมได้ลง
คนหนึ่งบริสุทธิ์ใสดั่งสายน้ำ อีกคนเฉิดฉันราวเปลวเพลิง หนึ่งความนิ่งสงบและหนึ่งความมีชีวิตชีวา งามบริสุทธิ์และงามหยาดเยิ้ม ช่างเป็นสินค้าระดับเยี่ยมที่หาดูได้ยาก
คนพวกนี้ แม้จะเอาไปอยู่รวมกับคนอื่นๆ ก็สามารถทำ ให้แบ่งแยกได้ในทันที อีกประการหนึ่ง ในตอนนี้คนที่ยืนอยู่บริเวณหน้าผืนป่าแห่งนี้มีเพียงพวกเขามิใช่หรือ
“หยุดก่อน” เสียงอันเกียจคร้านและทุ้มต่ำดังขึ้นจากภายในรถม้า
สารถีค่อยๆ หยุดลงในบริเวณที่ใกล้กับที่พวกมู่ชิงเกอยืนอยู่เพียงเล็กน้อย
ระยะทางนั้นไม่ใกล้และไม่ไกล สามารถเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจน ทั้งสามารถแสดงอำนาจของตนเองและสามารถรักษาระยะห่างต่อกันเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น รถม้าหยุดลงในทันที ทำให้คิ้วอันดกหนาของมู่ชิงเกอเลิกขึ้นเบาๆ ความฉลาดหลักแหลมของอีกฝ่าย ทำให้นางรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก
ค่อยๆ หันหลังกลับไป สายตากระจ่างของมู่ชิงเกอหยุดลงบนรถม้านั่น รถม้าทั้งคันมีสีดำสนิท ดูธรรมดามาก คล้ายกับรถม้าที่นางโดยสารตอนออกมาจากลั่วตู