Skip to content

พลิกปฐพี 105-4

ตอนที่ 105-4

สายเลือดแห่งเปลวเพลิง

ชูเซิงรีบเข้าไปรับอย่างตื่นตระหนกและอ่านเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้น

ทันใดนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เขามองตานเฉินจื่อด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนจะร้องไห้ “เจ้านายทำตามใจตนเองเช่นนี้จะดีหรือ”

“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ หืม ~!” น้ำเสียงของตานเฉินจื่อเต็มไปด้วยความกลุ้มกังวลใจ พลันเงยหน้าขึ้น

เขาเองก็ไม่เข้าใจ เจ้านายจำเป็นต้องทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองจื้อคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหอสสรรพสิ่งอย่างนั้นหรือ แม้ว่าความเย่อหยิ่งของเขา จะทำให้เขาขี้เกียจอธิบาย แต่อย่างน้อยก็ควรจะใช้สติปัญหาอันเฉียบแหลมของตนเองในการจัดการมิใช่หรือ

‘เจ้าจัดการเอง’ อย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไร

หลังจากที่เห็นคำพูดสุดท้ายใบกระดาษแผ่นนั้น ตานเฉินจื่อก็มีความคิดที่อยากจะหนีออกไปให้พ้น

ในตอนนี้หอสรรพสิ่งกลายเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจทั่วทั้งเมืองจื้อ เขาจะจัดการอย่างไรได้ โยนภาระทั้งหมดให้แก่เขา ตนเองกลับหนีไปอย่างสง่างาม มีเจ้านายเช่นนี้ด้วยหรือ

ชูเซิงวางกระดาษลง มองตานเฉินจื่ออย่างทุกข์ใจ “ท่านผู้เฒ่าตาน หากความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจเมืองจื้อยังไม่ดีขึ้น รายได้ก็จะลดน้อยลง เมื่อถึงเวลา ต้องส่งรายได้ เราจะอธิบายกับสำนักงานกลางอย่างไร”

ตานเฉินจื่อพูดอย่างหมดกำลังใจว่า “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร !”

ในครานี้ หอสรรพสิ่งถือเป็นการยกก้อนหินขึ้นแล้วโยนลงเท้าของตนเอง! ไม่เพียงแค่ไม่ได้รับประโยชน์อันใด แต่ทว่ากลับสร้างปัญหาให้กับตนเอง

‘สหายน้อยมู่เอ๋ยสหายน้อยมู่ ข้าช่างชื่นชมในตัวเจ้าเสียจริง! ’ ตานเฉินจื่อถอนหายใจให้กับตัวปัญหาตัวจริง

แต่เขาก็รู้ดีว่า เรื่องนี้จะโทษมู่ชิงเกอคนเดียวก็ไม่ได้

เรื่องราวทั้งหมดที่เจ้านายของพวกเขาได้วางแผนเอาไว้ กลับถูกมู่ชิงเกอคลี่คลายอย่างง่ายดายจนตนเองก็เดือดร้อน เขาโทษเจ้านายของตนเองที่เลือดเย็นมากเกินไป ทิ้งปัญหาเอาไว้ให้เขาจัดการ กลัวว่าเขาจะอายุยืนเกินไปหรืออย่างไร

ในขณะที่หอสรรพสิ่งกำลังแย่ มู่ชิงเกอก็ได้อยู่ระหว่างทางไปเมืองฮ่วนแล้ว

นางต้องไปส่งหานฉายไฉ่ที่เมืองฮ่วนแล้วก็ไปรับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพญาเพลิงที่นั่น

ก่อนหน้านี้นางเคยคิดที่จะปฏิเสธเพราะ นางไม่เชื่อว่าด้วยความสามารถของหานฉายไฉ่ จะต้องการคนคอยปกป้องระหว่างทางไปเมืองฮ่วน หากไม่ใช่เพราะต้องการรักษาความปลอดภัย แล้วต้องการอะไร

แต่ทว่า ในขณะที่นางกำลังจะปฏิเสธ หานฉายไฉ่ราวกับอ่านใจนางออก แล้วจึงพูดว่า “สำหรับพญาเพลิง ข้าว่าใต้หล้านี้คงไม่มีใครที่จะรู้ดีไปกว่าข้าแล้ว และในมือของข้ามีข้อมูลของเบาะแสของพญาเพลิง ประเภทหนึ่ง”

คำพูดนี้ทำให้ความคิดที่จะปฏิเสธของมู่ชิงเกอหายวับไปทันใด

บางทีอาจจะเพราะว่าคำพูดในตอนแรกของหานฉายไฉ่อาจจะเกินจริงไปหน่อย มู่ชิงเกอเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าซือมั่วผู้ที่มีอายุอยู่ใต้หล้านี้นับพันปี และถือเป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดในหลินชวนจะต้องรู้จักพญาเพลิงดีกว่าหานฉายไฉ่

แต่ว่า ใครใช้ให้น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ใด้เล่า

คุณตัวประหลาดผีเข้าผีออก ในตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนใดของโลก และไม่รู้ว่าจะปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อไหร่ ส่วนนางเองก็ไม่อาจรออยู่เฉยๆ ต่อไปได้

และสิ่งที่ทำให้มู่ชิงเกอเปลี่ยนใจ คือคำพูดประโยคหลังของหานฉายไฉ่

นางต้องการพญาเพลิง!

และอีกประการหนึ่ง คือเบาะแสของพญาเพลิงชนิดหนึ่งจากทั้งสองประเภทที่นางต้องการ

แต่ว่า ในขณะที่นางถามหานฉายไฉ่ว่ามีพญาเพลิงประเภทใด เขากลับเก็บเป็นความลับไม่ยอมเปิด ปาก

และคำสุดท้ายที่พูดคือ ให้มู่ชิงเกอทำตามสัญญาก่อน หลังจากที่ส่งเขาจนถึงเมืองฮ่วน เขาจะบอกความจริงทั้งหมดกับนางเอง

เพราะฉะนั้น สุดท้ายมู่ชิงเกอจึงพากำลังคน และม้าของหานฉายไฉ่มาร่วมเดินทาง

พวกเขาแทบจะไม่ได้ค้างในเมืองอวี้จื้อเลยแม้แต่คืนเดียว หลังจากที่พวกเขาออกเดินทางอย่างเร่งรีบ พี่น้องตระกูลเว่ยที่อยากจะพบกับนางที่เมืองอวี้จื้อก็เสียแผนไป

เมื่อไม่อาจจะทำอะไรได้ทำได้เพียงเดินทางไปหามู่ชิงเกอที่เมืองฮ่วน

เมืองอวี้จื้อคือระยะทาง 1 ใน 2 จากเมืองจื้อไปเมืองฮ่วน โดยใช้เวลาไปประมาณ 7 วัน และทั้ง 7 วันนี้ ทุกคนต่างเร่งเดินทางแต่ระหว่างทางจากเมืองอวี้จื้อไป ยังเมืองฮ่วนนั้นทุกคนต่างเดินทางช้าลงมาก

เหตุผลนั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้านายอย่างหานฉายไฉ่ ในทุกครั้งที่ เจอทิวทัศน์ที่สวยงามก็จะขอให้ทุกคนหยุดพักที่นั้น รอให้เขาชื่นชมจนพอใจแล้วค่อยเริ่มเดินทาง

เพราะฉะนั้น ระยะทางที่สามารถถึงเป้าหมายได้ภายใน 10 วัน ถูกเขายื้อเอาไว้จนย่างเข้าสู่วันที่ 11 ก็ยังคงเดินทางอยู่

ในตอนนี้ ระยะห่างของพวกเขากับเมืองฮ่วนหากเร่งเดินทาง ใช้เวลาอีกเพียงไม่ถึง 1 วันแล้ว

แต่ว่า ในขณะที่บังเอิญเจอน้ำตก 3 ชั้น หานฉายไฉ่ก็พลันเกิดความสนใจแล้วก็สั่งให้ขบวนหยุดลง

“ทิวทัศน์ที่นี่งดงามตระการตายิ่งนัก ช่างเหมาะสำหรับการนั่งดื่ม” ในขณะที่หานฉายไฉ่พึมพำ ลูกน้อง ทั้ง 4 ของเขาก็ได้หาที่ๆ เหมาะสมที่สุดที่หนึ่ง พลันปูพรมอย่างคล่องแคล่วและจัดวางอุปกรณ์สุราทั้งหมดเอาไว้รอเขา

มู่ชิงเกอมองหานฉายไฉ่ที่เดินพุ่งไปยังบริเวณพรมแดงโดยไม่พูดอะไร ท่าทางนั้นเย็นชาเป็นอย่างมาก

ในระหว่างทาง ไม่ได้พบกับการลอบทำร้ายอันใดเลยและไม่ได้มีอุบัติเหตุอันใดอีกด้วย ยิ่งทำให้นางไม่เข้าใจว่าเป้าหมายที่หานฉายไฉ่ให้มาคุ้มกันคืออะไร

สำหรับหานฉายไฉ่ นางจำเป็นต้องคอยระวัง

พวกเขาไม่ได้เป็นเพื่อนกันและตามหลักแล้ว ยังถือว่าเป็นศัตรู

อีกประการหนึ่ง หานฉายไฉ่และนางต่างก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก สิ่งเดียวที่แตกต่างกัน นางจะเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ก็ต่อเมื่อมีศัตรูให้ไปต่อสู้ แต่หานฉายไฉ่กลับต่างกัน ราวกับว่าความเคยชินของเขาจะเป็นเช่นนี้

หากไม่อยากจะถูกเขาลอบโจมตี สิ่งที่ทำได้คือ คอยระมัดระวังตัวอย่างมีสติ

แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางไปพร้อมๆ กัน แต่ก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ในตอนนี้ มู่ชิงเกอและคนของนาง ยืนอยู่ในระยะอันไกลจากหานฉายไฉ่

“น้องมู่ ทิวทัศน์ที่นี่ไม่งดงามหรืออย่างไร เหตุใดไม่มาร่วมดื่มกับข้า ไม่งดงามและไม่วิเศษหรือ” ในระยะอันไกลออกไป เสียงโทนต่ำอันฉายแววความเกียจคร้านดังขึ้น

เมื่อได้ยินคำสรรพนามนี้ มู่ชิงเกอพลันไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร

“ไม่จำเป็น” ตอบกลับด้วยใบหน้าอันเย็นชา มู่ชิงเกอหันกลับไปอย่างไม่เกรงใจและไม่สนใจหานฉายไฉ่อีก

หากเป็นคนอื่นที่เสียมารยาทเช่นนี้กับเขา คงจะตายจนไม่เหลือแม้กระทั่งซาก แต่ว่าใครใช้ให้คนที่ทำเช่นนี้กับเขาคือน้องมู่

คนที่งดงามเหมือนๆ กับเขา ต้องเอาใจให้มากถึงจะถูก

หานฉายไฉ่กระตุกรอยยิ้ม ในดวงตาอันเรียวยาวที่ฉายแววความงดงาม มองแผ่นหลังอันสง่าผ่าเผยของมู่ชิงเกอ เขายกมือขึ้นและเทเหล้าในแก้วเข้าปาก

โย่วเหอที่ไปตักนํ้า เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ และยื่นกระบอกนํ้าให้กับนาง

มู่ชิงเกอรับมาดื่มคำหนึ่ง นํ้าอันเย็นชื่นใจไหลลงลำคอของนาง ลบล้างความเบื่อหน่ายในใจของนางลงไปบ้าง

“คุณชาย ท่านหานคิดจะทำการใดกันแน่” เรื่องที่แม้กระทั่งมู่ชิงเกอยังดูไม่ออก โย่วเหอเองก็สงสัย

ใบหน้าของมู่ชิงเกอฉายแววความเคร่งขรึม ส่งนํ้าคืนให้กับโย่วเหอพลางพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้องสนใจหรอก เมื่อถึงเมืองฮ่วนและได้รับเบาะแส คนเหล่านี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรา”

โย่วเหอพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะถอยออกไป

ใช้เวลาอยู่ที่นํ้าตก 3 ชั้นเป็นเวลาครึ่งวัน หานฉายไฉ่เริ่มหมดความสนใจและสั่งให้เดินทางกันต่อ

ในที่สุดก็ถึงที่หมาย มู่ชิงเกอถอนหายใจเพื่อปลดปล่อยความทุกข์

ระยะทางที่ต้องใช้เวลาเพียง 1 วันถูกยื้อออกไป ถึงตอนเที่ยงของวันที่ 2 จึงได้มองเห็นกำแพงเมืองฮ่วน

เมืองฮ่วน เมืองหลวงของแคว้นลี่ ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ต้องไม่น้อยเป็นแน่ เมื่อเทียบกันแล้วถือว่าคึกคักกว่าลั่วตู

เช้าสู่ประตูเมืองฮ่วนโดยสวัสติภาพ มู่ชิงเกอยืนดักรถม้าของหานฉายไฉ่เอาไว้

รถม้าค่อยๆ หยุดลง หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอเห็นกับตา ก็คงจะไม่เชื่อว่าภายในรถม้าสีรัตติกาลเช่นนี้ คนที่อยู่ภายในกลับเป็นจอมหลงตัวเอง

และมู่ชิงเกอก็เพิ่งจะกระจ่างว่าที่รถม้าคันนี้ สามารถเปิดออกได้ดั่งดอกไม้ เพราะมีกระบวนการอันชาญฉลาด

ประตูยังไม่ทันจะถูกเปิดออก มีเพียงเสียงที่เกียจคร้านของหานฉายไฉ่ก็เปล่งออกมา “น้องมู่มีเรื่องอันใดหรือ”

“ถึงเมืองฮ่วนแล้ว สัญญาระหว่างเราก็ถือว่าเสร็จสิ้นตามสัญญา เจ้าต้องทำตามที่ได้กล่าวเอาไว้” ใบหน้าของมู่ชิงเกอเย็นชา น้ำเสียงเคร่งขรึม

“เหตุใดน้องมู่จึงได้รีบถึงเพียงนี้” หานฉายไฉ่พูด อย่างช้าๆ

‘แน่นอนว่าเจ้าไม่รีบ’ มู่ชิงเกอแอบเถียงในใจ แต่มิได้พูดอะไร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version