Skip to content

พลิกปฐพี 105-3

ตอนที่ 105-3

สายเลือดแห่งเปลวเพลิง

เมื่อผู้คนเมืองจื้อเห็นว่าเนี่ยซงที่เก่งกาจมากที่สุด ยังถูกทำร้ายจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ก็พลันรู้สึกตื่นตกใจจนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อ ต่างก็ไปหลบอยู่ข้างหลังของเนี่ยซง

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง การลงมือเมื่อครู่นี้ของหานฉ่ายไฉ่ทำให้นางตะลึง

พลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าความสามารถของหานฉายไฉ่จะมากกว่าที่คิดไว้เสียแล้ว

หากเป็นตัวนางจะทำเช่นนี้ได้หรือไม่

มู่ชิงเกอย้อนถามตนเอง

การต่อสู้หยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกคนจากเมืองจื้อต่างค่อยๆ ถอยหลัง และคิดจะหนีกลับเข้าไปในผืนป่าใหญ่ที่เพิ่งหนีออกมาเมื่อครู่นี้

ในตอนนี้หานฉายไฉ่ที่นั่งอยู่ ได้ยืนอยู่บนที่นอนที่ประดับไปด้วยลวดลายสีทองต่างๆ

ในขณะที่เขายืนขึ้นมู่ชิงเกอจึงลังเกตเห็นว่า ผู้ชายคนนี้สูงมาก

เขายืนอยู่ใจกลางดอกไม้ราวกับเป็นเกสร แต่ใบหน้าอันงดงามน่าเย้ายวนกลับทำให้กลีบดอกไม้สีชมพูที่มีกากเพชรสีทองตกแต่งอยู่ดูหมองหม่นลง

ชุดที่มีลายดอกไห่ถางปักอยู่ในตอนนี้โดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม

ความงดงามของหานฉายไฉ่แฝงความน่าเย้ายวนที่สะกดทุกความรู้สึก!

ในขณะที่เขายืนอยู่ ดวงตาฉายแววนิ่งเฉย ราวกับผู้คนจากเมืองจื้อ ล้วนเป็นดั่งมดตัวน้อยนิด

ท่าทางเช่นนี้ของเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว และไม่อยากจะเผชิญหน้าอีกต่อไป

โชคดีที่มู่ชิงเกอได้ ‘ประสบการณ์ จากไอ้ตัวประหลาดบางคนมาเป็นเวลานาน จึงมีภูมิต้านทานกับท่าทางเช่นนี้ อย่าว่าเพียงแต่ท่าทางของหานฉายไฉ่ในตอนนี้เลย แม้จะเป็นท่าทางดั่งเทพบุตรอันพลิกฟ้าของซือมั่วนางยังไม่แม้กระทั่งจะขมวดคิ้ว

“ตอนนี้ ถึงทีข้าบ้างแล้ว” หานฉายไฉ่พูดโดยไม่แสดงอาการใดๆ และไม่รอให้ทุกคนมีโอกาสได้โต้ตอบ

เขาก็ยกมือขึ้นกำหมัดแน่นแล้วพูดเบาๆ ว่า “สลาย!”

ทันใดนั้นร่างกายของเนี่ยซงก็ราวกลับมีตาข่ายสีนํ้าเงินปรากฏขึ้นและแยกร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ จำนวนนับไม่ล้วน

มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้างลงอย่างเย็นเยียบ พลันคิดในใจด้วยความตะลึง นี่มันทักษะสงครามอะไรกัน

ตาข่ายสีนํ้าเงินประกายม่วงนั้น ทำให้นางรู้ความสามารถของหานฉายไฉ่ว่าเทียบเท่ากับตัวนางคือ ห่างจากสายม่วงเพียงเอื้อมมือ

“สวรรค์!”

ท่ามกลางความตื่นตระหนก เสียงที่หวาดกลัวก็ได้ดังขึ้น

ผู้คนที่เผชิญหน้าอยู่กับเศษเลือดเนื้อเหล่านั้น ต่างถอยหนีออกไปไกล

“หนีเร็ว! ” ผู้นำบางคนพุ่งเข้าไปภายในผืนป่า อย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และดึงสติทุกคนกลับมาในทันที ต่างก็ทิ้งอาวุธในมือลงและพุ่งเข้าไปภายในผืนป่าอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าหานฉายไฉ่เป็นดงปีศาจร้าย หากหนีออกไปช้าแม้แต่ก้าวเดียวก็จะตายอย่างน่าอนาถ

ท่านเนี่ยมองหานฉายไฉ่ด้วยดวงตาสีโลหิตที่แฝงความโกรธแค้น แล้วจึงหันหนีเข้าไปภายในผืนป่า ในขณะนี้มือของเขายังคงเปือนเลือดของเนี่ยซง แต่เพราะรู้ว่าอยู่ต่อไปก็ไม่อาจจะแก้แค้นได้ ทุกอย่างล้วนต้องคิดการณ์ไกล

หานฉายไฉ่มองผู้คนที่วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงออกไปดั่งหนู ในแววตาพลันมีความเยาะเย้ยจางๆ เขาไม่ได้ลงมืออีกและไม่ได้ส่งใครออกไปตามฆ่า

แต่ทว่า ในขณะที่กวาดสายตามองแผ่นหลังของท่านเนี่ย กลับสั่งลูกน้องว่า “ตระกูลเนี่ยในเมืองจื้อกวาดล้างให้หมดสิ้น”

สิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดอันง่ายดายนนคือฉากพายุแห่งการกวาดล้างของวงศ์ตระกูลหนึ่ง

มู่ชิงเกอหันไปมองเขาและไม่ได้สั่งให้ตามฆ่าเช่นกัน นางไม่ได้เป็นปีศาจร้ายที่จะฆ่าล้างตระกูลเช่นนี้ ในตอนนี้ วามขัดแย้งระหว่างตัวนางกับผู้คนเมืองจื้อ ได้กลายเป็นปัญหาของคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ถือเป็นการแสดงการตอบโต้จากนางต่อแผนการของเขา

เรื่องระหว่างนางและเมืองจื้อได้จบลงแล้ว ที่ยังเหลือก็คือคุณชายจูที่ยังคงกัดนางไม่ปล่อย

ในส่วนลึกของสายตาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ มู่ชิงเกอไม่ได้คิดว่าตนเองจะเป็นคนดีอะไร!

“คุณชายมู่ เจ้าว่าหากข้าเหลือคนแซ่จูเอาไว้ให้เจ้า เจ้าคิดว่าจะดีหรือไม่” และในขณะนี้เอง เสียงเบาๆ ที่เกียจคร้านของหานฉายไฉ่ก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

มู่ชิงเกอหันกลับไปมองหานฉายไฉ่ กระตุกมุมปากราวกับยิ้มและไม่ยิ้มในขณะเดียวกัน “ไม่รีบ อย่างไรก็ต้องพบกันอีก”

หานฉายไฉ่เองก็ยิ้มและพูดว่า “ก็จริง คุณชายมู่ทำให้คนแซ่จูถูกคุณชายมู่หลอกเงินจนหมดตัว ลูกน้องก็ตายทั้งหมด บางทีหากหนีไปเช่นนี้ที่ๆ จะไปคงจะไม่ใช่เมืองจื้อแล้ว แต่เป็นเมืองฮ่วน”

“ดูเหมือนว่า คนที่ต้องการให้ข้าอารักขา คือ ท่านหานสินะ” มู่ชิงเกอพูด

หานฉายไฉ่ตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าเอง”

ทั้งสองต่างก็กำลังยิ้มแท้ๆ แต่สายตาที่สบกันกลับแฝงความอันตราย

ในสายตาของคนนอกแล้ว ราวกับเป็นจิ้งจอกสองตัวที่กำลังกล่าวต่อกันว่า ‘ขอบคุณๆ ไม่เป็นไรๆ’ อย่างนั้น

‘ท่านประมุข! หากท่านยังไม่กลับมา ภรรยาตัวน้อยที่ท่านหมายปองอาจจะเป็นที่หมายตาของผู้อื่นไปแล้ว’ ความเหมือนจนน่าประหลาดใจของทั้งสองทำให้กู่หยาที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่มืดปาดเหงื่ออย่างไม่รู้ตัวและเป็นกังวลแทนท่านประมุขของตนเอง

จนขนาดนี้แล้ว หากเขายังดูไม่ออกว่าท่านประมุขของเขากำลังหวั่นไหว ก็ควรจะหาต้นไม้สักต้นมาผูกคอตายได้แล้ว!

แต่ทว่า เพียงแค่เขาที่ดูออกไม่ได้มีประโยชน์อะไรหรอก!

เรื่องเช่นนี้ ต้องให้เจ้าตัวทั้งสองดูออกต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ

“เฮ้อ ~! เฮ้อ ~!”

หอสรรพสิ่งในเมืองจื้อ ได้ปิดทำการอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ตานเฉินจื่อที่นั่งอยู่ภายในอาคารจำไม่ได้แล้วว่าตนเองได้ถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เสียงถอนหายใจนั่นราวกับได้ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในกระถางได้ เหี่ยวแห้งและร่วงหล่นลง

ชูเซิงยืนอยู่ในบริเวณอันห่างไกลและไม่กล้าเข้าใกล้

แม้ตานเฉินจื่อจะจำไม่ได้ แต่เขากลับจำได้เป็นอย่างดีว่า ที่ตานเฉินจื่อมานั่งเหม่อและถอนหายใจอยู่ที่นี่ เริ่มต้นจากตอนที่เขาได้รับจดหมายจากเจ้านาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทำให้ท่านผู้เฒ่าตานผู้ดูแลหอสรรพสิ่งในเมืองจื้อทุกข์ใจได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ยืนอยู่พักหนึ่ง ชูเซิงจึงได้เดินเข้าไปใกล้อย่างลังเล และแอบย่องเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ตานเฉินจื่อ พลันยื่นชาร้อนให้กับเขาถ้วยหนึ่ง เมื่อท่านผู้เฒ่าตานรับไป เขาจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดและถามว่า “ท่านผู้เฒ่าตาน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เจ้านายมีคำสั่งว่าอย่างไร”

เมื่อเอ่ยถึงหานฉายไฉ่ในดวงตาที่เหม่อลอยทั้งคู่ของตานเฉินจื่อก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาและตะโกนว่า “อย่าพูดถึงเจ้านาย!”

โทสะที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ชูเซิงตกใจจนคอหดและเดินถอยหลังไปหลายก้าว

ในใจก็ยังคงรู้สึกฉงนไม่หยุด เจ้านายทำอะไรท่านผู้เฒ่าตานกันแน่ จึงได้ทำให้ท่านผู้เฒ่าตานเป็นทุกข์ได้มากถึงเพียงนี้

ตานเฉินจื่อระบายความโกรธออกมา

ท่านผู้เฒ่าตานถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า “เจ้านายจะกวาดล้างตระกูลเนี่ย”

กวาดล้างตระกูลเนี่ยอย่างนั้นหรือ

ฟู่ ฆ่าคนโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ช่างสมกับอุปนิสัยของเจ้านายเสียจริง

ชูเซิงไม่ได้รู้สึกตกใจกับการตัดสินใจของหานฉายไฉ่ แต่ฉงนใจที่เหตุใดท่านผู้เฒ่าตานจึงได้โกรธเคืองมากถึงเพียงนี้ “กวาดล้างก็กวาดล้างสิ ใช่ว่าเราจะไม่มีความสามารถนั้นเสียหน่อย”

“เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเนี่ยหรือ” ตานเฉินจี่อจ้องตาเขม็ง พลันพูดด้วยความโกรธว่า “ตระกูลเนี่ยมิได้มีความหมายอันใดเลย ไม่ เพียงแต่เนี่ยซงผู้มีความสามารถมากที่สุดยังถูกเจ้านายสังหาร ถึงแม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ ตระกูลเนี่ยก็มิได้ดูน่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย”

“ใช่ๆ! หากเลือกยอดฝีมือจำนวนหนึ่ง ก็จะสามารถกวาดล้างตระกูลเนึ่ยได้หากเป็นเช่นนั้น ท่านมาถอนหายใจอยู่ที่นี่เพราะเหตุใดกัน” ชูเซิงถาม

หนวดของตานเฉินจื่อกระตุกทีหนึ่ง แล้วยื่นกระดาษที่กำอยู่ในมือตลอดให้กับชูเซิง “เจ้าดูเองเถิด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version