Skip to content

พลิกปฐพี 106-4

ตอนที่ 106-4

ไอหยา ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!

ในยามค่ำคืน ภายในวังหลวงแคว้นลี่ ณ ตำหนักบรรทมขององค์ชายสามฟ่งอวี๋กุย มีเสียงร้องครางต่ำที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านดังลอยออกมา

เสียงที่สอดรับประสาน ทำให้ผู้คนต่างคิดจินตนาการไปต่างๆ นานา ทำให้ทั้งตำหนักบรรทมเจือแทรกไปด้วยกลิ่นอายวาบหวาม

พักใหญ่ เสียงนั้นจึงค่อยๆ จางหายไป

ณ ตำหนัก ภายในแท่นบรรทมขนาดใหญ่ ร่างขาวบริสุทธิ์สองร่างยังคงก่ายกอดแนบชิดกันอยู่

ในอ้อมกอดของฟ่งอวี๋กุยมีร่างของหญิงสาวงดงามเย้ายวนนอนอยู่ ใบหน้าของนางไม่ได้ถือว่างดงามที่สุด แต่ดูมีเสน่ห์น่าดึงดูด เพียงแค่ยกมือขึ้น ก็ดูยั่วยวน เพียงสายตาหนึ่งก็สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้

สำหรับความน่าเย้ายวนที่มาจากภายในแล้ว สำหรับผู้ชายมันคือการดึงดูดอย่างเป็นที่สุด

ฟ่งอวี๋กุยก็เป็นคนหนึ่งที่โปรดปรานความน่าเย้ายวนที่มาจากภายในเช่นนี้ ทำให้หลงใหลนางมากยิ่งกว่าเดิม แม้กับน้องชายของนางเขายังเอาใจเป็นอย่างมาก

“ฝ่าบาท วันนี้เหม่ยเอ๋อร์ปรนนิปติท่านได้ดีหรือไม่” จูเหม่ยยังคงอยู่ภายใต้อ้อมแขนของฟ่งอวี๋กุย ปลายนิ้วของเขากวาดผ่านหน้าอกของนางราวกับตั้งใจและไม่ตั้งใจในขณะเดียวกัน

สีหน้าของฟ่งอวี๋กุยราวกับยังไม่ได้รับความพอใจ “แค่นี้ก็เพียงพอแล้วหรือ เหม่ยเอ๋อร์ดูถูกข้ามากไปหรือเปล่า” ในขณะที่พูด เขาก็ขึ้นมาทาบทับบนตัวนางอีกครั้ง

ในตอนนี้ภายในแท่นบรรทมก็มีเสียงหัวเราะอันน่าเย้ายวนชวนหลงใหลของจูเหม่ยเอ๋อร์ดังออกมาอีกครั้ง

หลังลมฝนที่โหมกระหนํ่าผ่านพ้นไป เมื่อจูเหม่ยสัมผัสได้ว่า ในครานี้ฟ่งอวี๋กุยสมดั่งปรารถนาแล้วจริงๆ จึงขอความช่วยเหลือให้แก่น้องชายของนาง “ฝ่าบาท เหม่ยเอ๋อร์มีน้องชายเพียงคนเดียว ตระกูลจูก็มีลูกชายเพียงคนเดียว ท่านได้โปรดช่วยเหม่ยเอ๋อร์ดูแลเขาด้วย!”

เมื่อพูดถึงจูลี่ ฟ่งอวี๋กุยก็ขมวดคิ้วเบาๆ “น้องชายคนนั้นของเจ้าช่างก่อเรื่องเก่งเสียจริง เรื่องในครานี้เกี่ยวข้องกับประมุขแห่งหอสรรพสิ่งด้วย ด้วยอำนาจของหอสรรพสิ่งนั้นยิ่งใหญ่มากนัก แม้เสด็จพ่อเองก็ไม่อยากจะเป็นศัตรูกับเขา ก็ให้จูลี่อดทนหน่อยเถิด”

เมื่อไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ในส่วนลึกของสายตาของจูเหม่ยก็ลุกวาบด้วยโทสะ แต่ก็ยังคงพูดด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แล้วเขาจะทำอย่างไรได้โดนมันหลอกจนสิ้นเนี้อประดาตัว องครักษ์ในจวนก็ตายเกือบหมดและต่างตื่นกลัวจนต้องมาพึ่งบารมีของฝ่าบาท”

เมื่อพูดเช่นนี้ คิ้วของฟ่งอวี๋กุยก็ผูกเป็นปมมากขึ้นกว่าเดิมและพูดด้วยนํ้าเสียงที่เหลือทน “ถ้าเช่นนั้นก็ให้เขาอยู่ที่เมืองฮ่วนไปก่อน ข้าจะเลี้ยงเขาไม่ได้เชียวรึ”

เมื่อสัมผัสได้ถึงนํ้าเลียงที่เริ่มจะหมดความอดทนของฟ่งอวี๋กุย จูเหม่ยเอ๋อร์ก็รีบหยุดพูด และไม่ดื้อดึงอีกต่อไป

ปรนนิบัติฟ่งอวี๋กุยมานานถึงเพียงนี้ นางรู้จักนิสัยขององค์ชายองค์นี้เป็นอย่างดี ปกติแล้วหากไม่ยั่วโทสะเขา เขาจะเชื่อฟังเป็นอย่างดี แต่หากลํ้าเส้น เขาก็จะเลือดเย็นและไร้เยื่อใย

เรื่องของน้องชายนั้นสำคัญ แต่ก็ยังคงต้องรักษาตำแหน่งของตนเองในใจขององค์ชายสามเอาไว้ก่อน

จูเหม่ยเอ๋อร์จบบทสนทนานี้ลงอย่างรู้ความ และใช้ต้นทุนซึ่งก็คือร่างกายของตนเอง ในการดึงดูดฟ่งอวี๋กุยอีกครั้ง

ระยะเวลา 3 วันที่อยู่ในเมืองฮ่วน มู่ชิงเกอได้กระจ่างในที่ตั้งต่างๆ ของเมืองฮ่วน และสืบจนรู้ว่าในตอนนี้หานฉายไฉ่ไม่ได้อยู่ภายในหอสรรพสิ่ง

ไอ้จอมหลงตัวเองผู้นั้นไม่อยู่ ทำให้ความกดดันของมู่ชิงเกอลดน้อยลงไปมาก

อย่างไรก็ตาม ความสามารถของหานฉายไฉ่ นางเห็นแล้วหากในครานี้เขาอยู่ในหอสรรพสิ่ง แผนการของนางอาจจะไม่ราบรื่นนัก

ในคืนนี้ คือเวลาที่มู่ชิงเกอวางแผนว่าจะเคลื่อนไหว

ถือโอกาสในตอนท้องฟ้ามืดลงพร้อมทั้งสายลมที่พัดกระโชกแรง ชิงของเหลวเย็นมาครอบครอง แล้วเดินทางออกจากเมืองฮ่วนในทันที

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มู่ชิงเกอก็จึงลงมือด้วยตนเอง

ใช้การอำพรางตัวของท้องฟ้าสีรัตติกาลในยามค่ำคืน มู่ชิงเกอเดินทางมาถึงหอสรรพสิ่งแห่งเมืองฮ่วนอย่างรวดเร็ว จากที่ได้สังเกตก่อนหน้านี้นางรู้แล้วว่า หอสรรพสิ่งในเมืองฮ่วนมีระบบการทำงานเหมือนหอสรรพสิ่งในเมืองจื้อ

นางไม่รู้ว่า เป็นระบบการจัดการของหอสรรพสิ่งหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด สุดท้ายนางก็ได้เปรียบ

มู่ชิงเกอที่เคยเข้าออกหอสรรพสิ่งที่เมืองจื้อมาแล้วหลายต่อหลายครั้งได้เข้าใจในระบบการทำงานทั้งหมดภายในนั้น

เข้าไปภายในหอสรรพสิ่งได้อย่างง่ายดาย มู่ชิงเกอมุ่งไปยังตำแหน่งของคลังสมบัติ

ของเหลวเย็นที่นางต้องการต้องอยู่ภายในคลังสมบัติเป็นแน่

ภายในหอสรรพสิ่งเงียบสงบแม้จะมีคนลาดตระเวนที่ปรากฏโดยบังเอิญไม่กี่คน แต่เพียงแค่ทำงานของตัวเองเท่านั้น

มู่ชิงเกอเกิดความสงสัยว่า หอสรรพสิ่งมั่นใจว่า ของของตนเองจะไม่หายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

จนกระทั่งนางตรงไปยังหน้าคลังสมบัติของหอสรรพสิ่งและสัมผัสได้ถึงการกีดขวางข้างหน้าจึงกระจ่างว่าเป็นเพราะอะไร ความจริงแล้วหน้าคลังสมบัติของหอสรรพสิ่ง มีมนต์ต้องห้ามอยู่!

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง ยิ่งรู้จักก็ยิ่งรู้สึกว่าหอสรรพสิ่ง นั้นมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา

ในหลินชวน ผู้ที่รู้มนต์ต้องห้ามแทบจะไม่มีเลย หอสรรพสิ่งกลับใช้มนต์ต้องห้ามกับทั้งคลังสมบัติให้ปลอดภัยได้มากถึงเช่นนี้

อีกประการหนึ่ง มนต์ต้องห้ามนั้นเป็นการต้องห้ามระดับสูงและไม่ใช่สิ่งที่นางในตอนนี้จะสามารถแก้ได้

เมื่อคิดทบทวนแวบหนึ่ง มู่ชิงเกอก็คิดวิธีออก ทันใดนั้นกริชสีดำมืดเล่มหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในกำมือของนาง

นี่เป็นกริชที่ฟ่งเหนียงมอบให้เพื่อเป็นค่าตอบแทนนางล่วงหน้า ไม่คิดว่าจะได้ใช้มันในตอนนี้

เหมิงเหมิงเคยบอกว่าอาวุธกึ่งเทพนี้สามารถทำลายมนต์ต้องห้ามบางส่วนได้

และมนต์ต้องห้ามตรงหน้านี้ก็อยู่ในขอบเขตที่มันสามารถคลายได้…

มู่ชิงเกอกำกริชและเดินเข้าไปกรีดลง การป้องกันในตอนแรกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

‘น่าสนใจ!’ ตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอเป็นประกายและเร่งลงมือ

ในกลางดึก

ในขณะที่แสงเทียนถูกดับลง จะมีใครคิดหรือไม่ว่าจะมีคนก่ออาชญากรรมในคลังสมบัติแห่งหอสรรพสิ่ง

ในขณะที่มู่ชิงเกอออกจากหอสรรพสิ่งอย่างไม่ทิ้งร่องรอย นางยอมรับว่าตนเองเป็นโจรที่ไม่มีสัจจะ เพราะสิ่งที่นางขโมยมาไม่เพียงแค่ของเหลวเย็น แต่ยังมีสมบัติอีกมากมาย!

สมบัติอันลํ้าค่าที่รู้จักแต่ไม่อาจจะครอบครองได้ ในวันนี้นางมาพบเข้าแล้ว จะเพียงแค่ชื่นชมแล้วจากไปอย่างนั้นหรือ

มู่ชิงเกอเบ้ปาก นางไม่ได้เป็นคนดีมากขั้นนั้น ฝัน!

เมื่อได้ของเหลวเย็นไว้ครอบครอง ทันทีที่ฟ้าสว่าง มู่ชิงเกอก็ไปรวมตัวกับพี่น้องตระกูลเว่ยและออกจากเมืองฮ่วนพร้อมกัน

หลังจากที่พวกเขาออกจากเมือง ภายในคลังสมบัติหอสรรพสิ่งก็มีเสียงร้องโหยหวนตังออกมา!

“ของเหลวเย็นหายไป!”

“ยังมีพืช 7 ดารา! ผลหอม! เถาวัลย์อมตะ! บุปผาโลหิตมังกร! เหล็กกล้าเย็น! หินทองประกายม่วง! ห่วงไม้! แสงฟ้าคราม!”

“ขโมย———- !”

นอกเรือนรับรองอันเงียบสงบที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนเมืองฮ่วน หานฉายไฉ่ผู้งดงามดั่งดอกไม้นอนอยู่บนเตียง เสื้อตัวหลวมทำให้ร่างกายกำยำและหน้าอกอันกว้างใหญ่เผยออกมาภายนอก

นอกม่านเตียง ผู้ดูแลแห่งหอสรรพสิ่งคุกเข่า และตัวสั่นอยู่บนพื้น ศีรษะแทบจะจมเข้าไปในหน้าอก

“ขโมยอย่างนั้นหรือ”

เสียงอันแฝงความเกียจคร้านของหานฉายไฉ่ดังออกมา ร่างกายของผู้ดูแลกระตุกทีหนึ่ง

“ใช่…ใช่ เจ้านาย! ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอให้เจ้านายโปรดลงโทษ!” ผู้ดูแลรีบพูด

“อะไรหายไปบ้าง” หานฉายไฉ่ถามด้วยนํ้าเสียงที่คลุมเครือจนไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกได้

ผู้ดุแลรีบตอบว่า “สิ่งที่หายไปมีพืช 7 ดารา จำนวน3 ต้น ผลหอมจำนวน 10 ผล เถาวัลย์อมตะ 1 กิ่ง บุปผาโลหิตมังกรจำนวน 7 ดอก และยังมีของเหลวเย็นที่เจ้านายเก็บเอาไว้ภายในคลังสมบัติชั่วคราว…”

“พอเถิด ในเมื่อสะเพร่าในหน้าที่ ก็ไปรับโทษเองซะ” เสียงของหานฉายไฉ่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ตัดบทคำพูดของผู้ดูแล

ผู้ดูแลสะอึกทีหนึ่ง พร้อมถอยออกไป

สมบัติที่ถูกขโมยมีของเหลวเย็นรวมอยู่ด้วย ราวกับว่า เขาจะรู้แล้วว่า ผู้ร้ายคือใคร

ในดวงตาคู่เรียวยาวของหานฉายไฉ่ เป็นประกายทีหนึ่งและฉายแววอันตราย

ระหว่างทางไปเมืองถัว มู่ชิงเกอได้เข้าไปอยู่ในรถม้าของตนเอง

เว่ยกว่านกว่านก็เคยมีความคิดที่จะเข้าไปภายในรถม้า แต่ก็ถูกนางปฏิเสธ

เหตุผลก็ไม่ใช่อื่นใด เมื่อคืนเป็นหัวขโมยมาแล้วทั้งคืน ในตอนนี้ คุณชายตระกูลมู่ต้องการการพักผ่อน!

นอนอยู่บนรถม้าอันแสนสบาย ความนุ่มของเบาะ ทำใหัมู่ชิงเกอรู้สึกถึงความผ่อนคลายทั่วทั้งร่างกาย

ฮวาเยวี่ยนั่งอยู่ฝั่งศีรษะของมู่ชิงเกอเพื่อนวดให้กับนาง

และโย่วเหอจุดเครื่องหอม วางลงไปในกระถางกำยาน

รถม้าที่ภายนอกดูไม่มีอะไร แต่กลับหรูหราเป็นอย่างมาก มู่ชิงเกอสามารถทนรับความลำบากได้ สำหรับความสุขนั้นก็ไม่ปฏิเสธที่จะเสพสม

“คุณชาย หลายวันที่ผ่านมานี้ มั่วหยางได้ไปสืบข่าวคราวมาบ้างแล้ว” โย่วเหอปิดฝากระถางและพูดด้วยนํ้าเสียงอันอ่อนโยน

“ลองเล่ามาสิ” มู่ชิงเกอหลับตาทั้งสองข้างเบาๆ ดื่มดํ่าความผ่อนคลายจากการนวดของฮวาเยวี่ย

โย่วเหอหันมามองนาง กำหมัดทั้งสองข้าง ทุบน่องให้กับมู่ชิงเกออย่างเบาแรง แล้วตอบว่า “องค์หญิงใหญ่ของแคว้นลี่ ชื่อว่าฟ่งอวี๋เฟย ได้ยินมาว่าเป็นหญิงสาวที่ทั้งงดงามและเปี่ยมไปด้วยความสามารถ มีนิสัยที่ค่อนข้างใจร้อน เลือดร้อนอย่างชาย พูดคำไหนคำนั้น รักษาสัจจะ ตอนนั้น ในบรรดาโอรสธิดา นางได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมาก แต่ทว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว นางไปรักกับคนที่ไม่ควรรักเข้า จนทำให้เสด็จแม่ของตนเองถึงกับสวรรคต จากนั้นนางจึงถูกขับไล่ออกจากราชวงศ์และหายตัวไปในทันที”

“แล้วรู้หรือไม่ว่า คนรักของนางคือใคร” มู่ชิงเกอถาม

โย่วเหอส่ายหน้าเบาๆ แล้วได้สติในทันทีว่ามู่ชิงเกอหลับตาอยู่ไม่สามารถเห็นการกระทำของนาง จึงรีบพูดว่า “ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ บางทีนอกจากราชวงศ์แคว้นลี่แล้ว ก็ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังของคนผู้นั้นเลย เขาราวกับออกมาจากกลางอากาศ ทันทีที่เข้าสู่เมืองฮ่วน ก็แสดง ให้ทุกคนเห็นถึงฝีมือที่มากกว่าชายหนุ่มธรรมดา ดูเหมือนจะพบกับองค์หญิงใหญ่ในตลาด ตอนที่ม้าขององค์หญิงใหญ่เสียการควบคุม จึงพุ่งเข้าหาผู้คน เขาก็พลันปรากฏตัวขึ้นในทันที พร้อมทั้งสามารถทำให้ม้าหยุดลงได้จึงได้รู้จักกับองค์หญิงใหญ่”

“แค่นี้หรือ” มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้าง แล้วหลับลงไปใหม่ “เล่าต่อ”

โย่วเหอพูดต่อว่า “หลังจากที่ทั้งสองได้รู้จักกัน ยิ่งมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน ก็ยิ่งมีความรู้สึกดีๆให้แก่กัน ความรู้สึกนั้นเมื่อเกิดแล้วก็มิอาจห้ามได้ องค์หญิงใหญ่ได้บอกกับฮ่องเต้แคว้นลี่ด้วยตนเองว่าตนเองจะแต่งงานกับชายผู้นั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้แคว้นลี่ถึงได้ ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ถึงขั้นสั่งคนให้ไปตามจับตัวชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็ถือว่าเป็นคนมีฝีมือ ไม่เพียงแค่ไม่ถูกจับตัว ซํ้ายังฆ่าทหารองครักษ์จำนวนไม่น้อยของวังหลวง ได้ยินมาว่าในตอนนั้น มีคนเห็นแสงสีม่วงปรากฏขึ้นในขณะที่มีการต่อสู้”

“ยอดฝีมือสายม่วงอย่างนั้นหรือ”มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตานั้นแนบนิ่งเป็นอย่างมาก

“ไม่รู้ว่าใช่ยอดฝีมือสายม่วงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามเขาได้สังหารคนที่ไปตามจับเขาจนสิ้นซาก แล้วจากไปอย่างสง่างาม” โย่วเหอพูด

“หลังจากนั้นล่ะ” มู่ชิงเกอถาม

“เรื่องราวหลังจากนั้นไม่มีใครรู้อย่างไรเสียคนก็ได้จากไปแล้ว องค์หญิงใหญ่ก็ตัดขาดจากราชวงศ์ออกจากเมืองฮ่วนไปและไร้ซึ่งข่าวคราวจากนางนับจากนั้นเป็นต้นมา” โย่วเหอพูดจบ ก็ได้หยุดลงครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเสริมว่า “แต่ว่าหลังจากที่องค์หญิงใหญ่จากไปไม่นาน ราชวงศ์แคว้นลี่ได้สั่งคนให้ออกไปสืบข่าวคราวของนาง ใช้เวลานับปีก็ได้ยกเลิกการสืบหาไป”

มู่ชิงเกอฟังจบแล้วยังคงหลับตาและไม่พูดอะไร

ในหัว กำลังคิดอะไรบางอย่าง

ระหว่างองค์หญิงใหญ่ฟ่งอวี๋เฟยกับฟ่งเหนียงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แล้วเหตุใดฟ่งเหนียงจึงได้บอกว่าสามีของตนเองหายตัวในผืนป่าลั่วรื่อ อีกทั้งนางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ กลับไม่ยอมเข้าไปตามหาภายในผืนป่าด้วยตนเอง และขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ชายหนุ่มคนรักขององค์หญิงใหญ่ เป็นสายม่วงจริงๆ หรือ

หากเป็นสายม่วงจริงๆ ราชวงศ์แคว้นลี่จะยอมพลาดโอกาสการเพิ่มประชากรยอดฝีมือสายม่วงและขัดขวางทั้งสองไม่ให้อยู่ด้วยกันได้อย่างไร

ไม่มีเบื้องหลังที่ชัดเจน ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…หรือว่าชายคนนั้นจะไม่ใช่คนในหลินชวน

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเบาๆ นางค้นพบว่าเรื่องนี้ยิ่งสืบก็ยิ่งพบว่าเรื่องนี้มีคำถามเพิ่มขึ้นอีกมากมาย

ณ เมืองฮ่วน จูลี่ไล่หมอทั้งหมดออกจากจวนไปอย่างโมโห

เพียงแค่เจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายก็มากพอแล้ว แต่บนผิวหนังยังเต็มไปด้วยตุ่มหนอง ทั้งน่าขยะแขยงและน่ากลัว แม้แต่พี่สาวแท้ๆ มาเห็นยังกรีดร้องด้วยความตกใจ

หมอหลวงในวังหลวง หมอในชนบทต่างก็หมดวิธีที่จะรักษา

เพียงคาดเดาว่าเขารับประทานอาหารที่ไม่ดีเข้าไป

แต่ทว่าจูลี่กลับจำได้เป็นอย่างดี ว่าที่เขาเป็นเช่นนี้หลังจากที่พบกับไอ้คนแซ่มู่ที่โรงเตี๊ยมมหาเทพ

ตอนแรก ร่างกายของเขาเพียงแค่รู้สึกคันอย่างประหลาด บนผิวหนังมีตุ่มสีแดงมากมาย

จากนั้นก็หายคัน แต่กลับเจ็บปวดไปถึงกระดูก ตุ่มสีแดงก็ได้กลายเป็นตุ่มนํ้าที่มีหนองไหลออกมา

ทั้งใบหน้า ร่างกายของเขา ไม่เหลือส่วนดีเลย

“ออกไป! ออกไป!” จูลี่โยนของในห้องจนพัง และขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมออกไป

ดวงตาอันแดงก่ำ แฝงความโกรธอันชั่วร้าย จูลี่พยายามแคะเนื้อเน่าของตนเอง พลางพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ใช่เขา! ต้องเป็นเขาแน่ๆ! ไอ้แซ่มู่! ต้อง เป็นเจ้าแน่ๆ ที่ทำร้ายข้า! ข้าจะฆ่าเจ้าให้เจ้าไม่ได้ตายดี!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version