Skip to content

พลิกปฐพี 107-1

ตอนที่ 107-1

คุณชายตระกูลมู่ผู้มีชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน!

“มู่เกอ ท่านดูสิ ข้างหน้าก็ถึงเมืองถัวของเราแล้ว !” เว่ยกว่านกว่านชี้ไปยังบ้านเรือนที่เลือนรางอยู่ข้างหน้าอย่างตื่นเต้น พลางแนะนำให้กับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ และหันไปมองกำแพง เมืองอันใหญ่ยักษ์ดั่งสัตว์ร้ายที่ขยายอยู่เต็มพื้นที่

เมืองถัว เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงของแคว้นลี่

ชายแดนที่ติดกับบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นลี่ ก็เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเมืองอวี๋มากที่สุด

กำแพงเมืองสีเทาเข้มเกือบดำ ไม่ได้หรูหรามากนัก แต่ดูเข้มงวดน่าเกรงขาม

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ มู่ชิงเกอก็รู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งที่พุ่งเข้ามา!

เว่ยฉีขี่อยู่บนหลังม้าและเคลื่อนตัวไปอยู่อีกข้างของมู่ชิงเกอ เพราะม้าของเขาไม่กล้าเข้าใกล้เพลิงรัตติกาล เขาจึงจำเป็นต้องรักษาระยะห่างจากมู่ชิงเกอ

บิดขี้เกียจบนหลังม้า เว่ยฉีพูดอย่างผ่อนคลายว่า “ในที่สุดก็ถึงบ้านแล้ว! มู่เกอ ท่านมาถึงเมืองถัวของเรา ก็ต้องไปพักที่จวนของเรา ถ้าไม่เช่นนั้นก็ถือว่าไม่เห็นแก่มิตรภาพของเรา”

“ใช่ๆๆ! มู่เกอ ท่านก็กลับจวนไปพร้อมกับเรา ข้าอยากจะให้ท่านพ่อได้พบกับท่าน” ในขณะที่เว่ยกว่ากว่านพูด ก็ได้แสดงท่าทางเขินอายดุจสาวน้อย

มู่ชิงเกอไม่ได้สังเกตว่านํ้าเสียงของนางมีอะไรแอบแฝง แต่เว่ยฉีกลับสัมผัสได้

สายตาของเขามืดมนลงและเดินช้าลงหลายก้าว จากนั้นเดินอ้อมไปอยู่ข้างหลังเว่ยกว่านกว่านก่อนจะดึงแขนเสื้อของนาง เพื่อให้นางหันหลังกลับมา

เห็นถึงความฉงนใจที่ซ่อนอยู่ในแววตาของน้องสาว เว่ยฉีพูดเบาๆ ว่า “ข้าว่า เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้นกับมู่เกอเลย เขาไม่เหมาะสมกับเจ้า”

“ไม่เหมาะสมกับข้าหมายความว่าอย่างไร” เว่ยกว่านกว่านขมวดคิ้วในทันที ทันใดนั้น นางก็หันกลับมา พลันยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “ไม่เหมาะสมกับข้า

แสดงว่าเหมาะสมกับเจ้าอย่างนั้นหรือ ไอ้ต้วนซิ่วน่าตาย ออกไปให้ไกลจากมู่เกอของข้านะ!”

พูดจบ นางก็ดึงแขนเสื้อของตนเองกลับไป แล้วกระทุ้งท้องม้า ตามมู่ชิงเกอไป

“เฮ้ย! ข้าไม่ใช่ต้วนซิ่วนะ!” เว่ยฉีแก้ตัวด้วยความโกรธ

แต่ทว่า คำพูดของเขากลับปลิวกระจายและหายไปกับสายลม

เว่ยกว่านกว่านได้มาหยุดอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ และยังคงตั้งคำถามไม่เลิก “มู่เกอ ท่านยังไม่ได้ตอบข้าเลย” รอยยิ้มของนางหวานละมุนและแฝงกลิ่นไออันน่าดึงดูด

มู่ชิงเกอมองนางและคิดทบทวนแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ตอบตกลงคำเชิญชวนของพี่น้องตระกูลเว่ย

เพื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอตอบตกลง รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยกว่านกว่านก็สดใสกว่าเดิม

สายตาของนางเห็นทางพี่ชายกำลังเข้ามาใกล้มู่ชิงเกอ จึงได้กระซิบข้างหูเพื่อเตือนว่า “มู่เกอ ท่านต้องอยู่ห่างๆ ไอ้เว่ยฉีเอาไว้ เมื่อก่อนข้ายังไม่รู้ แต่หลังจากที่พบกับท่าน ข้าจึงได้รู้ว่าเขาเป็นพวกต้วนซิ่ว!”

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก เคยชินกับนางที่คอยจิกกัดกันของทั้งสองพี่น้อง

เว่ยฉีจะเป็นต้วนซิ่วหรือไม่นั้น นางไม่สนใจและไม่มีทางเข้าไปยุ่ง

“ก่อนหน้านี้ เจ้าเคยบอกว่าท่านแม่ของเจ้าป่วยและไม่มีทางรักษาใช่หรือไม่”

เว่ยกว่านกว่านอึ้ง ราวกับคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงพยักหน้า เมื่อพูดถึงท่านแม่ ท่าทางตื่นเต้นก่อนหน้านี้ของนางก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว ในแววตามีนํ้าตาคลออยู่ และแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“ไม่รู้ว่าท่านแม่ของข้าเป็นโรคประหลาดอะไร ทำได้เพียงแค่ใช้ดอกทานตะวันลั่วรื่อมาบรรเทา เมื่อเห็นท่าทางอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของท่านพ่อที่คอยเฝ้าท่านแม่ทุกวันคืน ข้ารู้สึกปวดใจอย่างเป็นที่สุด”

‘ดูเหมือนว่า เว่ยหลินหลางจะเป็นคนที่บูชาความรัก’ มู่ชิงเกอแอบคิดในใจ

ตั้งแต่ที่นางฝึกการปรุงยาจากตำรา ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของยาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อาการป่วยอันแปลกประหลาดของท่านแม่ของพี่น้องตระกูลเว่ย ได้ทำให้นางเกิดความสงสัยไม่น้อยและอยากจะไปดูอาการ แต่ทว่าหากจะขอตรงๆ เช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

“มู่เกอ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ถามถึงท่านแม่ของข้า” เว่ยกว่านกว่านมองนางด้วยความแปลกใจ

มู่ชิงเกอเองก็ไม่มีความคิดที่จะปกปิด และพูดตรงๆ ว่า “ที่ข้าออกมาผจญภัยในครานี้ เพื่อที่จะไปเรียนรู้ที่โรงโอสถแคว้นอวี๋ เมื่อทราบอาการของท่านแม่ของเจ้าแล้ว ก็อยากจะไปดู าโรคนั้นมีวิธีการรักษาที่ยากเพียงใด จึงทำให้ปรมาจารย์แห่งการปรุงยาและอาจารย์โอสถจำนวนนับไม่ถ้วนต้องยอมแพ้”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง’’ เว่ยกว่านกว่านพยักหน้าเพื่อแสดงความเข้าใจ “ข้ากับพี่ชายคุยกันแล้วว่า จะไปเรียนที่โรงโอสถพร้อมกับท่าน เพื่อที่จะช่วยชีวิตท่านแม่ หากถึงบ้าน ข้าจะพาท่านไปพบท่านแม่ของข้า”

ในขณะที่พูด แก้มของนางก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ นํ้าเสียงก็เบาลงมาก “หากท่านแม่ของข้าได้พบกับท่านคงต้องดีใจแน่ๆ”

“อะไรนะ” เพราะฟังไม่ถนัด มู่ชิงเกอจึงทำได้เพียงขอให้พูดอีกรอบ

เว่ยกว่านกว่านกลับรีบส่ายหน้าและปฏิเสธด้วยความตื่นตระหนกและความกระวนกระวายดั่งสัตว์ตัวน้อยที่ถูกทำให้ตกใจ “ไม่ ไม่มีอะไร”

มู่ชิงเกอไม่ได้สงสัยอะไร เพียงพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรต่อ

ท่ามกลางเสียงพูดคุย คนกลุ่มหนึ่งก็ได้เดินทางมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเมืองถัว

กำแพงเมืองถัว มีทหารเฝ้าอยู่ ทั้งคนเข้าและคนออก ต่างก็มีบัตรผ่าน หากยังไม่มีบัตรผ่าน จะต้องกรอกชื่อ ที่มาและตระกูล รวมทั้งเหตุผลที่เข้ามาภายในเมือง จะมาอยู่นานเท่าไหร่และอีกมากมาย…

ความเข้มงวดในการจัดการ ทำให้มู่ชิงเกอแอบพยักหน้าและชื่นชมในปรีชาสามารถของเว่ยหลินหลางอีกครั้ง

“มู่เกอ เรารออยู่ที่นี่ก่อน” เว่ยฉีเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอแล้วพูด

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ลุงโจวพาทั้งสองเดินเข้าไปก่อนและหนึ่งในนั้นคือมั่วหยาง

“พวกท่านเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ได้ทำบัตรผ่าน ลุงโจวจะไปช่วยพูด ถ้าไม่เช่นนั้น พวกเขาก็จะปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด และอาจจะกักตัวท่านและมั่วหยางเอาไวให้กรอกข้อมูล แล้วตรวจสอบก่อนจะปล่อยตัวไป” เว่ยฉีอธิบาย

เว่ยกว่านกว่านเองก็พยักหน้าเห็นด้วย พลันเบ้ปากและพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ใช่ ท่านไม่รู้หรอกว่าพวกเขาอยู่ในกฎระเบียบมากเพียงใด ครั้งก่อน ข้าให้นางกำนัลของตนเองออกจากเมืองไปทำธุระแทนข้าแท้ๆ เพราะความเร่งรีบจึงไม่ได้พกบัตรผ่าน ตอนขากลับไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมให้นางเข้า เมือง เดือดร้อนข้าให้ต้องออกจากจวนมารับนางด้วยตนเอง”

มู่ชิงเกอฟังจบก็ขมวดคิ้วในทันทีและแสดงความคิดเห็นของตนเอง “แต่ข้ากลับคิดว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดี”

ก่อนมา นางได้ศึกษาตำแหน่งที่ตั้งของเมืองถัวมาแล้ว และเข้าใจถึงเหตุผล ว่าเหตุใดจึงต้องเข้มงวดในการตรวจสอบ

เมืองถัวตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของชายแดนแคว้นลี่ มีอาณาบริเวณอยู่ติดกับเมืองอวี๋ ในขณะเดียวกัน ก็อยู่ติดกับผืนป่าที่มีชื่อเสียงของแคว้นลี่ ได้ยินมาว่า ภายในผืนป่าแห่งนั้น มีสัตว์ที่มีวิญญาณชนิดสัตว์ปีกอยู่มากมาย หากไม่ใช่เพราะประชาชนแคว้นลี่ไม่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมสัตว์ตอนนี้พวกเขาอาจจะมีกองทัพทหารที่บินอยู่บนท้องฟ้าสักกองทัพหนึ่งแล้ว

เพราะการนำขบวนของลุงโจว การลงทะเบียนเข้าเมืองได้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เดินมา ลุงโจวได้พูดว่า “บัตรผ่านจะเสร็จในวันพรุ่งนี้ ถึงตอนนั้นจะมีคนไปส่งให้ถึงจวน ขอให้คุณชายมู่ทนรอสักวัน”

“รบกวนลุงโจวด้วย” มู่ชิงเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version