ตอนที่ 107-4
คุณชายตระกูลมู่ผู้มีชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน!
ท่าทางของทั้งสองพี่น้อง ทำให้เว่ยหลินหลางสะดุดหางตาและติเตือนอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่”
ทั้งสองยืดตัวยืนตรงในทันที
เว่ยกว่านกว่านคิดทบทวนแวบหนึ่ง แล้วรีบพูดว่า “เรากำลังรอมู่เกอออกมา แล้วจะไปพบท่านแม่ด้วยกัน”
เว่ยหลินหลางจ้อง พลางพูดว่า “พวกเจ้าจะเข้าไปพบท่านแม่ของตนเองก็เข้าไปกันสิ รอมู่เกอเพื่ออะไรกัน” ภายในห้อง เขาได้ทำข้อตกลงกับมู่ชิงเกอเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าจะไม่เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของนางต่อทุกคน
ก็อย่างที่มู่ชิงเกอได้กล่าวเอาไว้หากฐานะที่แท้จริงถูกเปิดเผย จะมีอีกปัญหามากมายที่ไม่อาจจะรู้ได้ ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีตามมา
ในเมื่อมู่ชิงเกอบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องการจะปิดบัง แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำให้เสียเรื่อง
“มู่เกอมีความรู้เรื่องยา ข้าอยากจะให้เขาไปดูอาการท่านแม่” เว่ยกว่านกว่านพูดไปตามความจริง
ทันทีที่นางพูดจบ เว่ยหลินหลางกลับมองมู่ชิงเกอ ราวกับกำลังถามว่าที่นางพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ภรรยาถือเป็นจุดอ่อนไหวในใจของเขา ใครจะมาแตะต้องโดยง่ายไม่ได้
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ และพูดว่า “ข้าพอรู้ เรื่องยาเล็กน้อย และการเดินทางมายังเมืองถัวในครานี้ ก็เพื่อที่จะเดินทางไปยังโรงโอสถเมืองอวี๋ หากท่านเจ้าเมืองไม่ขัดข้องอันใด ข้าก็อยากได้พบกับฮูหยิน เพื่อ รักษาอย่างสุดความสามารถ”
เว่ยหลินหลางคิดทบทวน ก่อนจะถอนหายใจแล้วตอบว่า “ก็ได้ให้ฉีเอ๋อร์และกว่านกว่านพาเจ้าเข้าไปก็แล้วกัน” เขาราวกับไม่ได้มีความมั่นใจในตัวของมู่ชิงเกอแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
หลังจากที่บอกลากับเว่ยหลินหลางแล้ว เพราะการนำทางของพี่น้องตระกูลเว่ย มู่ชิงเกอจึงได้เดินเข้าไปภายในเรือน
ภรรยาของเว่ยหลินหลางสลบไสลไม่ฟื้นมาตั้งนานแล้ว ในทุกๆ วันจะมีสาวใช้มาปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง หากเว่ยหลินหลางว่างจากงาน เรื่องส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนดูแลด้วยตนเองทั้งหมด โดยให้สาวใช้คอยช่วยอยู่ข้างๆ ก็เท่านั้น
เดินมุ่งไปข้างหน้าครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอได้ผ่านเข้าไปในประตูจันทร์เสี้ยว แล้วก็เข้าไปในอีกบริเวณหนึ่ง ถึงจะเป็นสวนหย่อมที่ไม่ได้รับผลกระทบต่อความวุ่นวายภายนอก
ทันทีที่ทั้งสามปรากฏตัวภายในเรือนก็มีสาวใช้แห่งจวนตระกูลเว่ยหลายคนโค้งคำนับพี่น้องตระกูลเว่ย
หลังจากที่สั่งให้พวกเขาออกไปแล้ว เว่ยกว่านกว่านก็ดึงแขนเสื้อของมู่ชิงเกอให้เข้าไปภายในห้อง
“พวกท่านรอที่นี่ก่อน” เมื่อไปถึงหน้าห้องนอน เว่ยกว่านกว่านหันกลับไปพูดกับมู่ชิงเกอและเว่ยฉี ก่อนที่ตนเองจะผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
เว่ยฉีอธิบายว่า “อย่างไรก็ตาม เราก็ถือเป็นชาย กว่านกว่านเข้าไปก่อนดีกว่า”
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ครู่หนึ่ง เว่ยกว่านกว่านจึงเปิดประตูและพูดกับทั้งสองว่า “เข้ามากันเถิด”
มู่ชิงเกอเดินตามเว่ยฉีเข้าไป
ทันทีที่ เข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นทานตะวันลั่วรื่อที่ผ่านการต้มแล้ว
ห้องนอนถูกตกแต่งในรูปแบบดั้งเดิมเรียบง่าย และเย็นตาเห็นได้ชัดว่าเว่ยหลินหลางตั้งใจจะทำให้ภรรยาของตนเองรู้สึกสบาย ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถรับรู้ได้ก็ตาม
ในห้อง มีมามาท่านหนึ่งยืนอยู่และน่าจะเป็นคนรับใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินเว่ย
บนเตียง มีร่างผอมบางร่างหนึ่งนอนอยู่
ลมหายใจของนางนั้นอ่อนแรงและราวกับจะขาดไปได้ตลอดเวลา เพราะว่าการหลับใหลเป็นเวลานาน สีหน้าของนางดูขาวซีดเป็นอย่างมาก ใบหน้าอันงดงามก็ได้ลดลงหลายระดับ
“นี่คือท่านแม่ของข้า” เว่ยกว่านกว่านมองหญิงวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียง ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
แม้ว่าท่านแม่ของมู่ชิงเกอจะหายสาบสูญไปนานหลายปี แต่มู่ชิงเกอก็สามารถเข้าใจได้ถึงความรู้สึกของเว่ยกว่านกว่านในตอนนี้ การเห็นบุพการีของตนเองนอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ และคอยเป็นห่วงถึงการมีชีวิตรอดในทุกๆ วันของนางช่างเป็นเรื่องที่ทรมานยิ่งนัก
มู่ชิงเกอเดินเข้าไป ลดสายตาลงมองฮูหยินเว่ยที่นอนอยู่บนเตียง
ดวงตาทั้งสองข้างของนางปิดสนิท จนไม่อาจรู้ได้ว่านางเจ็บปวดหรือไม่ ราวกับนางเพียงแค่หลับไป แต่เพราะร่างที่ผอมแห้งลงไป ทำให้เมื่อมองนางแล้ว อดที่จะรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
มู่ชิงเกอแนบนิ้วสองนิ้วของตนเองลงบนข้อมือของฮูหยินเว่ยและตั้งใจฟังชีพจร
ภายในห้องเงียบสงบเป็นอย่างมาก ไม่มีใครส่งเสียงรบกวน
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านมองด้วยใบหน้าที่สะท้อนถึงการรอคอยและมั่นใจในตัวนางเป็นอย่างมาก
ครู่หนึ่งมู่ชิงเกอจึงคลายมือออก ในสายตาไม่แสดงความรู้สึกอันใด
เมื่อเห็นว่านางเงียบ เว่ยกว่านกว่านที่ใจร้อนก็รีบถามว่า “มู่เกอเป็นอย่างไรบ้าง ท่านมีวิธีการรักษาหรือไม่”
“ออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น มองประตู
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านรีบเดินออกมาพร้อมกับนางและไปหยุดอยู่ภายในสวน
“เส้นชีพจรทั่วร่างของฮูหยินเว่ยนั้นเสื่อมลงและตีบตัน อีกทั้งอาการในตอนนี้ก็ถือว่าแย่เป็นอย่างมาก ทานตะวันลั่วรื่อทำได้เพียงแค่ยืดเวลาการเสื่อมสภาพออกไป แต่ก็ไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้นแต่อย่างไร” มู่ชิงเกอบอกผลการวินิจฉัยของตนเองออกไป
เมื่อฟังจบแล้ว เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านไม่ได้แสดงความฉงนใจอันใด
เหมือนว่าผลลัพธ์นี้พวกเขาได้ยินมาจากคนอื่นๆ นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“หากจะต้องการรักษาจะต้องค้นหาต้นเหตุที่ทำให้เส้นชีพจรเสื่อมลง จึงจะสามารถรู้ว่าควรใช้ยาอะไรในการรักษา แต่ทว่าจากอาการของฮูหยินเว่ยในตอนนี้แล้ว เป็นเรื่องที่ยากมากหากต้องการจะหาสาเหตุ” มู่ชิงเกอพูด
โดยปกติแล้ว หากเป็นบาดแผลภายนอก อย่างน้อยก็สามารถวินิจฉัยและรักษาไปตามลักษณะของแผล
แต่หากเป็นปัญหาที่อยู่ภายในร่างกายก็ยากที่จะวินิจฉัยเพราะว่าอาจจะมีต้นเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย
แม้นจะเป็นในโลกที่มู่ชิงเกอคุ้นเคย ในยุคสมัยนั้นการที่จะวินิจฉัยโรคที่อยู่ภายในร่างกายก็จำเป็นต้องมีการตรวจซํ้าๆ การสังเกต แล้วจึงจะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาได้
และสภาพลูหยินเว่ยที่นางเจอในตอนนี้ อาการโรคของนางนั้นแสดงออกมาชัดเจนมากแล้ว แต่ก็ไม่อาจจะตอบได้ว่า สาเหตุเกิดจากอะไร จึงทำให้มีผลลัพธ์เช่นนี้
นางพูดไปตามความเป็นจริง แต่กลับทำให้สองพี่น้องตระกูลเว่ยที่มีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย ต้องผิดหวังอีกครั้ง
“แต่ทว่าก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการรักษา” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ได้เปลี่ยนประเด็น ทำให้ในดวงตาของสองพี่น้องเป็นประกายและจุดเปลวเพลิงแห่งความหวังขึ้นอีกครั้ง
“มู่เกอ ท่านบอกว่ามีวิธีอย่างนั้นรึ!’’ เว่ยกว่านกว่านพูดทวนเพื่อความแน่ใจด้วยนํ้าเสียงอันตื่นเต้น
เว่ยฉีเองก็สูดลมหายใจเข้าและพยายามทำให้ตนเองสงบลงและพูดว่า “มู่เกอ หากท่านมีวิธีช่วยท่านแม่ของข้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ชีวิตของเว่ยฉีขอมอบให้กับท่าน”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน” มู่ชิงเกอยกมือขึ้นตัดบทคำพูดของสองพี่น้อง แล้วขมวดคิ้วและเม้มปาก สุดท้ายก็เงียบลง
นางยืนอยู่ในสวน มองตรงไปราวกับกำลังชื่นชมทิวทัศน์อันรื่มรมณ์ภายในสวน
แต่ทว่า ทั้งสองกลับพยายามกลั้นหายใจ ไม่กล้ารบกวนนาง
ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอจึงหยุดสายตาที่พวกเขาทั้งสอง และพูดว่า “วิธีของข้ามีความเป็นไปได้เพียงครึ่งเดียว และวิธีการก็เจ็บปวดเป็นอย่างมาก หากไม่สามารถทนได้ บางทีฮูหยินเว่ยอาจจะไม่สามารถรักษาไว้ได้แม้แต่ชีวิต แต่หากสำเร็จ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะได้ท่านแม่ที่แข็งแรงคืนมา”
สีหน้าของเว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านเปลี่ยนไป ราวกับตกใจเพราะคำพูดของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเองก็ไม่เร่งรีบ เพียงแค่พูดกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าสามารถไปบอกท่านเจ้าเมืองเว่ยในสิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้า แต่จะเลือกอย่างไร ก็ล้วนมีพวกเจ้าเป็นผู้ตัดสิน”
พูดจบ นางก็ได้ถามที่พักของตนเอง ซึ่งเป็นเรือนรับรองตระกูลเว่ยจากคนใช้พร้อมออกจากสวน เหลือไว้เพียงแค่เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านสองพี่น้องที่ในตอนนี้ต่างก็ทำอะไรไม่ถูก
“ไปหาท่านพ่อก่อนเถิด”
ครู่หนึ่ง เว่ยฉีจึงได้พูดขึ้นมา เว่ยกว่านกว่านพยักหน้า แล้วทั้งสองพี่น้องก็เดินจากไป