Skip to content

พลิกปฐพี 109-4

ตอนที่ 109-4

ฟ่งอวี๋กุยแย่แล้ว!

อืม นางชอบคนที่ดื้อดึงจนถึงวินาทีสุดท้าย เช่นนี้!

ไม่ได้สนใจฟ่งอวี๋กุย มู่ชิงเกอมองเว่ยหลินหลาง พร้อมพูดอย่างแนบนิ่งว่า “พี่เว่ย ท่านรู้หรือไม่ว่า ข้ามีความเคยชินหนึ่งในการปรุงยา นั่นคือมักจะสลักสัญลักษณ์เล็กๆ เอาไว้ในผลงานเพื่อไม่ให้มีผู้ใดทำการเลียนแบบ อีกทั้งสัญลักษณ์นั่นก็เล็กนัก เพราะข้าได้สลักอย่างละเอียด จนคนรอบข้างยากจะตรวจพบได้ทันทีที่สิ้นเลียงนี้ ในขณะที่เว่ยหลินหลางยังไม่ได้สติ ฟ่งอวี๋กุยก็รีบก้มลงมองโอสถที่อยู่บนฝ่ามือของตนเองราวกับกำลังจะตรวจสอบว่าสิ่งที่มู่ชิงเกอพูดนั้น เป็นจริงหรือไม่

ท่าทางเช่นนี้ ราวกับเป็นการอธิบายทุกอย่างแล้ว

หากเขาเป็นคนปรุงโอสถนี้ แล้วเหตุใดจึงได้มีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้

ทันใดนั้น ทุกคนจึงได้กระจ่างในทันที

มู่ชิงเกอยิ้ม หลังพลิกมือ บนฝ่ามือของนางก็มีโอสถที่มีลักษณะคล้ายกับโอสถในมือของฟ่งอวี๋กุย ปรากฏขึ้นอีกเม็ดหนึ่ง ทันทีที่โอสถนั้นปรากฏขึ้น กลิ่นหอมภายในห้องโถงก็มากขึ้นกว่าเดิม

อีกประการหนึ่ง กลิ่นหอมของโอสถนี้ หากไม่ได้มีปัญหาด้านการรับกลิ่น ต่างก็สามารถแยกแยะได้ ว่าเป็นกลิ่นหอมชนิดเดียวกัน อีกทั้งถือเป็นการบ่งบอกว่าใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกัน

ภาพนี้ ทำให้ฟงอวี๋กุยตกใจเป็นอย่างมาก

ให้ตาย เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า มู่ชิงเกอยังมีโอสถชนิดนี้ในครอบครอง! จูลี่บอกว่า ‘โอสถนี้มีเพียงเม็ดเดียวบนโลกมิใช่หรือ!’ ความแค้นปะทุขึ้นในใจของฟ่งอวี๋กุย แต่ในขณะนี้ เขาจำเป็นต้องรีบหาทางออก

ตอนนี้ มู่ชิงเกอกลับยื่นโอสถในมือให้กับเว่ยหลินหลาง

อีกฝ่ายรับและมองนางด้วยความแปลกใจ

มู่ชิงเกอพูดอย่างเบิกบานว่า “พี่เว่ยเป็นคนยุติธรรม ข้าเชื่อในตัวท่าน นี่เป็นโอสถเก้าชีวิตหวนคืน ที่ข้าได้ปรุงขึ้นเองกับมือ หากไม่เชื่อ ท่านลองเอาไปเทียบกับโอสถในมือขององค์ชายสาม ก็จะพบสัญลักษณ์ที่เหมือนกัน”

เว่ยหลินหลางพยักหน้าแล้วมองฟ่งอวี๋กุย

แต่ทว่า เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ฟ่งอวี๋กุยก็รีบเก็บมือ และอุทานอย่างเย็นเยียบว่า “ข้าอุตส่าห์เอาโอสถมาให้ หากท่านเจ้าเมืองไม่ต้องการก็ช่างมันเถิด”

พูดจบ เขาก็หันหลังและเดินจากไปพร้อมฝีเท้าที่เร่งรีบจนยากจะอธิบาย

“นี่! องค์ชายสาม พระองค์ทรงตรัสว่าคืนนี้ จะพักที่จวนกระหม่อมมิใช่หรือ” ทางด้านหลัง มีเว่ยฉียื่นคอออกมาตะโกน

ทันทีที่เขาพูดจบ ความเร็วที่ฟ่งอวี๋กุยเดินออกไปก็ดูเหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิม

ครู่หนึ่ง บริเวณประตูก็มีข่าวมารายงานว่า ฟ่งอวี๋กุยได้นำกำลังคนของตนเองออกจากจวนไปอย่างเร่งรีบแล้ว

หลังจากที่ได้ข่าวเช่นนี้ เว่ยหลินหลางก็โล่งใจ และยื่นโอสถในมือให้แก่มู่ชิงเกอ พลางพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “น้องมู่ช่างกล้าหาญยิ่งนัก! พี่เลื่อมใส จริงๆ!”

ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินแคว้นลี่ ยังกล้าที่จะขัดแย้งกับองค์ชายแห่งแคว้นลี่ หากไม่เรียกว่าใจกล้า แล้วจะเรียกว่าอะไร

มู่ชิงเกอผลักโอสถกลับไป แล้วพูดว่า “โอสถนี่ ถือเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้แก่ท่านพี่เว่ย หากพี่เว่ยไม่รังเกียจก็โปรดรับเอาไว้”

ยกโอสถระดับสูงให้กับคนอื่นโดยง่ายเช่นนี้ ใจกว้างเช่นนี้ ทำให้เว่ยหลินหลางตกตะลึงอยู่กับที่

“ท่านพ่อ มู่เกอนานๆ จะใจกว้างเช่นนี้ยังไม่รีบรับไว้อีก!” เว่ยกว่านกว่านมองเว่ยหลินหลางเพื่อส่งสัญญาณ

มู่ชิงเกอได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เหตุใดจึงได้พูดราวกับว่านางเป็นคนตระหนี่มากเช่นนั้น

ด้วยการคะยั้นคะยอของเว่ยกว่านหว่าน เว่ยหลินหลางก็รับโอสถไว้อย่างงงๆ ยังไม่ทันได้แสดงการขอบคุณกับความใจกว้างของมู่ชิงเกอ ก็ได้ยินเสียงแสดงความชื่นชมจากเว่ยฉี “หึ องค์ชายสามแล้วอย่างไร โชคดีที่มู่ชิงเกอได้สลักสัญลักษณ์เอาไว้บนยา แม้จะใหญ่โตมีอำนาจเพียงใดก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้”

ในห้องโถง ผู้คนที่อยู่ในจวนตระกูลเว่ย ต่างก็พยักหน้าชื่นชมความละเอียดอ่อนของมู่ชิงเกอ

เพียงแต่ว่า บนใบหน้าขององครักษ์เขี้ยวมังกรและโย่วเหอ ฮวาเยวี่ยกลับเต็มไปด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

มู่ชิงเกอเอามือลูบจมูกและพูดอย่างขัดเขินว่า “ข้าโกหกน่ะ”

“โกหก? หา เช่นนั้น…ท่านหลอกเขาอย่างนั้นหรือ?!” เว่ยฉีกระจ่าง ตกใจจนลิ้นพันกัน

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากพลางอธิบายว่า “ข้าไม่ใช่เทพเซียน จะรู้ได้อย่างไรว่าจะเจอกับเรื่องเช่นนี้ ข้าเพียงแค่ลวงเขา แต่เพราะเขาเองที่ร้อนตัว เลยหนีไปโดยไม่กล้าพิสูจน์”

ทุกคนต่างตกใจ พวกเขาขอแก้ความรู้สึกชื่นชมเมื่อครู่นี้ คุณ

ชายท่านนี้ ไม่เพียงแค่ละเอียดรอบคอบ แต่ยังใจกล้าอย่างที่สุดด้วย!

เว่ยหลินหลางสูดหายใจเข้าลึกๆ พลัน ประสานหมัดและพูดกับมู่ชิงเกอว่า “น้องมู่ช่างเป็นผู้ที่กล้าหาญยิ่งนัก” เว่ยหลินหลางหยุดไปครู่หนึ่ง

แล้วสุดท้ายก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างสมคำรํ่าลือจริงๆ !”

คุณชายตระกูลมู่แห่งแคว้นฉิน หากไม่ขวัญกล้าเทียมฟ้า แล้วจะสามารถกวาดล้างราชวงศ์และสังหารจนแคว้นถูต้องหวาดผวาได้อย่างไร

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างอายๆ พลันสะบัดมือและพูดว่า “เพียงแต่ว่า เรื่องในวันนี้ได้เตือนข้าว่า ข้าควรจะทำสัญลักษณ์เพื่อป้องกันการเลียนแบบเลียแล้วจริงๆ”

“มู่เกอช่างเก่งกาจที่สุด!” ในสายตาที่ส่องประกายของเว่ยกว่านกว่านราวกับมีดวงดาวผุดออกมา

เว่ยหลินหลางดีดลงตรงศีรษะของเว่ยกว่านกว่านทีหนึ่ง พลันจ้องลูกสาวและเตือนว่า “มู่เกออะไรกัน ให้เรียกว่าท่านอามู่ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่!”

“…………… “… มู่ชิงเกอ

“……………….. ” เว่ยฉี

“……………………… ” เว่ยกว่านกว่าน

“……………………………… ” ทุกคนที่อยู่ในจวนตระกูลเว่ย

เว่ยหลินหลางเก็บโอสถที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง ไม่ทันได้เห็นว่าเพราะคำพูดของเขา ทำให้มู่ชิงเกอหน้านิ่วไป

งานเลี้ยงในจวนตระกูลมู่วันนี้ ไม่ได้รับผลกระทบประการใดจากการปรากฏตัวและการจากไปของฟ่งอวี๋กุย

ในทางกลับกัน ในช่วงท้ายบรรยากาศในงานเลี้ยงกลับคึกคักเป็นอย่างมาก

ผู้คนในจวนตระกูลเว่ยต่างก็ชนแก้วกับมู่ชิงเกอ ที่แสดงตัวว่าไม่เมาไม่กลับอย่างไม่ขาดสาย

ดื่มจนถึงกลางดึก ในห้องโถงก็มีผู้คนนอนระเนระนาดอยู่ สายตาของมู่ชิงเกอเองก็เริ่มพร่ามัว แก้มแดงกํ่า เว่ยหลินหลางสะบัดแขนเสื้อเพื่อเป็นการประกาศว่างานเลี้ยงได้จบลง

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างเดินเข้าไปพยุงมู่ชิงเกอ เดินมุ่งเข้าไปภายในเรือนซึ่งเป็นที่พักของนาง

ทันทีที่เข้าไปภายในเรือน มู่ชิงเกอก็ผลักสาวใช้ทั้งสองออก เดินตุปัดตุเป๋พุ่งไปทางห้องของตนเอง

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรีบตามไป ฮวาเยวี่ยยังพูดอย่างร้อนใจว่า “คุณชายนี่นะ เหตุใดจึงได้ดื่มเหล้ากับผู้ชายหยาบๆ เหล่านั้นอย่างไม่รู้จักปฏิเสธ”

“ข้าไม่เมา แค่รู้สึกเวียนหัว” ด้านหน้ามีเสียงอ้อแอ้แก้ตัวของมู่ชิงเกอดังลอยมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version