ตอนที่ 112-5
ลูบคลำก้นท่านมั่ว
“เก่งกาจเป็นอย่างมาก!” ใบหน้าของมู่ชิงเกอฉายความตะลึง ซือมั่วพูดเช่นนี้ นางจึงรู้สึกว่าพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนไม่ใช่ขยะ แต่เป็นสมบัติอันลํ้าค่า!
แต่ทว่า สิ่งที่ซือมั่วทำให้นางอึ้งไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หลังจากที่เขาชื่นชมรอยยิ้มอันแฝงความตะลึงของมู่ชิงเกอเรียบร้อยแล้ว ก็ได้พูดต่อว่า “ในตอนนี้มันเพิ่งแรกเกิด หากว่าเจ้าได้รับความเชื่อใจจากมัน ก็จะสามารถเก็บสะสมมันและสร้างสัมพันธ์อันดีกับมันได้ หากความสัมพันธ์อันดีได้เกิดขึ้นจริงก็จะร่วมทุกข์ร่วมสุข ทั้งเจ้ายังสามารถช่วยเหลือมันในการตามล่าพญาเพลิงเพื่อให้มันกลืนกิน และในทุกๆ ครั้งที่มันได้กลืนกิน ก็จะเป็นผลดีต่อเจ้า”
ปัง———-
อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็ปล่อยหมัดลงบนโต๊ะ ทำให้ซือมั่วหยุดพูดอย่างกะทันหัน
ซือมั่วมองนาง รู้สึกเพียงว่าในดวงตาทั้งสองข้างของนางราวกับมีเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ จากนั้น นํ้าเสียงอันแน่วแน่ของนางก็ได้ดังขึ้น “สรุปไปเลยว่า! พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนต้องเป็นของข้า!”
ซือมั่วพูดอย่างรู้สึกขบขันว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์รู้หรือไม่ว่าพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนอยู่ที่ใด” มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก ความปรารถนาอันแรงกล้าได้ถูกซือมั่วสาดด้วยนํ้าเย็นใส่จนดับสูญ และมีควันไฟผุดออกมา นางค่อยๆ หันหน้าไปมองซือมั่วที่ใบหน้าฉายความร้ายกาจมากกว่าเคย แล้วกัดฟันพูดว่า “ท่านรู้มิใช่หรือ” หากว่าเขาไม่รู้ แล้วจะพูดกับนางมากมายเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
ซือมั่วกระตุกมุมปาก ในส่วนลึกของดวงตาสีนํ้าผึ้งแฝงความไม่เข้าใจ เขามองมู่ชิงเกอ แล้วอ้าแขนทั้งสองข้างออก “แน่นอนว่าข้ารู้ แต่เหตุใดข้าจึงต้องบอก”
ในใจของมู่ชิงเกอมืดครึ้มในทันที และเริ่มสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม
ดูเหมือนว่า เจ้านี่คิดฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนโก่งราคา!
“ท่านคิดจะแลกเปลี่ยนอย่างไร” มู่ชิงเกอถามด้วยใบหน้าอันเย็นชา สำหรับการกระทำของซือมั่ว นางไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย หากสลับบทบาทกัน นางเองก็จะทำเช่นนี้ อย่างไรเสีย ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน ไม่มีเหตุผลที่จะให้ข้อมูลเรื่องนี้โดยไม่หวังผลตอบแทน แต่เพราะท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของซือมัว ทำให้นางยังตั้งตัวไม่ทัน
เมื่อก่อน สิ่งที่ซือมั่วทำทั้งหมด ไม่เคยพูดถึงเรื่องค่าตอบแทนเลยแม้แต่คำเดียว
แต่ทว่า นางก็ได้สติในไม่นาน นางไม่มีเหตุผลที่จะให้ซือมั่วให้อะไรนางโดยไม่หวังผลตอบแทน
“ง่ายมาก เพียงแค่เสี่ยวเกอเอ๋อร์รับปากกับข้าเรื่องหนึ่งก็เป็นพอ” ซือมั่วยื่นนิ้วมืออันเรียวยาวออกไปกระดิกไปมาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ
“พูด” มู่ชิงเกอส่งเสียง
ซือมั่วกระตุกมุมปากแล้วพลิกมือกลับไปชี้ริมฝีปากดั่งกลีบดอกอิงของตนเอง “เสียวเกอเอ๋อร์เพียงแค่จูบตรงนี้ทีหนึ่ง”
พรวด!
มู่ชิงเกอลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ใบหน้ามืดมนลง จ้องซือมั่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหาร นางยกมือที่สวมปลอกนิ้วหลิงหลงขึ้นมา พลันพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบว่า “ให้ข้ากรีดมันจะดีกว่า”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่างทำได้ลงคอ” ในส่วนลึกของดวงตาสีน้ำผึ้งแสดงว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
สีหน้าของมู่ชิงเกอกลับไม่ได้ดูดีขึ้นเพราะเหตุผลนี้
นางหันกลับไปพูดว่า “หากท่านไม่อยากบอก ก็ไม่ต้องบอก ข้าจะไปหาด้วยตัวเอง”
“ข้อเสนอนี้ของข้า ทำให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ยากที่จะยอมรับเพียงนั้นเชียวหรือ” ซือมั่วค่อยๆยืนขึ้นมา พลางพูดพลางมองแผ่นหลังอันแข็งแรงและสง่าผ่าเผยของมู่ชิงเกอ
ยากที่จะยอมรับอย่างนั้นหรือ
มู่ชิงเกอคิดทบทวนอย่างรอบคอบ จูบซือมั่วทีหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ในใจนางไม่ได้ปฏิเสธมากนัก แต่ทว่า นางไม่อยากจะใช้วิธีการเช่นนี้ในการแลกข้อมูล
ราวกับว่า เมื่อนางได้ตอบตกลงไปแล้ว ศักดิ์ศรีของนางก็จะหายไปต่อหน้าซือมั่ว
นางหันไปข้างๆ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “สำหรับท่านอาจจะไม่ แต่สำหรับข้านั้นใช่”
พูดจบ นางก็คิดจะจากไป เมื่อเห็นว่านางราวกับจะโกรธจริง ซือมั่วจึงรีบพูดว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าเพียงล้อเล่น สิ่งที่เจ้าต้องการและเรื่องที่เจ้าอยากรู้ข้าจะไม่ขออะไรเป็นการตอบแทนเลย” เขาเพียงแค่ล้อเล่นจริงๆ แต่ทว่า การล้อเล่นนี้ได้แฝงการลองใจ เขาอยากจะรู้ว่าในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกอย่างไรกับเขา
เสียดาย ฉากจบเช่นนี้ราวกับจะเป็นที่น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ใจของเจ้า เมื่อไหร่จะเปิดรับข้าบ้าง’ ซือมั่วอุทานในใจ
มู่ชิงเกอหันไปมองเขา สีหน้ายังไม่ได้ดูดีขึ้น “การล้อเล่นเช่นนี้ของท่านไม่ตลกเลย”
“ใช่ใช่ไม่ตลกเลยจริงๆ เพื่อเป็นการไถ่โทษ ข้าเล่าเรื่องตระกูลแห่งเปลวเพลิงให้เจ้าฟังดีหรือไม่” ซือมั่วรีบขอโอกาส หากว่าเขาทำให้มู่ชิงเกอโกรธจริงๆ เขาจะเดินทางไปเมืองอวี๋กับนางได้อย่างไร และจะทำตามแผนของตนเองได้อย่างไร
มู่ชิงเกอเม้มปาก รู้สึกราวกับว่ามีอะไรผิดปกติ
สุดท้าย เพราะความสงสัยในใจ ทำให้นางนั่งลงบนเก้าอี้อีกหน
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอยอมนั่งลง ซือมั่วก็โล่งอก “เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดว่าเจ้าคงจะดูออกแล้ว ในหลินชวน ไม่ได้มีตำราสายโลหิตแห่งปรมาจารย์อันใด นั่นเป็นเพราะว่า ในหลินชวนไม่มีตระกูลของสายโลหิตแห่งปรมาจารย์’
มู่ชิงเกออึ้งไปในทันที สำหรับการคาดเดาเกี่ยวกับความเป็นมาของท่านแม่ ราวกับจะมีเหตุผลมาส่งเสริมมากยิ่งขึ้นแล้ว
หากว่าท่านแม่ไม่ใช่คนในหลินชวน ถ้าเช่นนี้ในตอนนี้ท่านแม่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“ตระกูลหานแห่งหอสรรพสิ่ง ไม่ได้เป็นคนดั้งเดิมของหลินชวน แต่มาจากที่อื่น หากจะอธิบายให้เข้าใจนั่นก็ คือสายโลหิตแห่งปรมาจารย์ของพวกเขาถูกละทิ้ง และห่างไกลจากต้นตระกูล มาอยู่และตายที่หลินชวน ในส่วนภายนอกหลินชวน เต็มไปด้วยตระกูลต่างๆ หนึ่งในนั้นถูกถือว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ พวกเขาล้วนมีสายโลหิตอันแตกต่าง และตระกูลอื่นๆ เกิดขึ้นภายหลัง และไม่ได้มีสายโลหิตที่ว่านี้ แต่ทว่าในตระกูลเก่าแก่ ก็มีการแบ่งระดับความสามารถสูงตํ่า มีช่วงที่ตระกูลรุ่งเรืองและมีช่วงที่ล่มจม แต่ไม่ว่าอย่างไร โลกใบนั้นยังคงมีชื่อมาจากตระกูลของพวกเขา จึงถูกเรียกว่าโลกแห่งยุคกลาง” ซือมั่วอธิบายอย่างช้าๆ
ราวกับว่า เพื่อให้มู่ชิงเกอเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
“โลกยุคกลาง” มู่ชิงเกอพึมพำ คำพูดของซือมั่วราวกับเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับพื้นที่อันแตกต่างให้กับนาง และนางเองก็มีความรู้สึกว่า วันหนึ่งนางจะต้องไปอยู่ในพื้นที่แห่งนั้นไปเห็นโลกภายนอกหลินชวนให้เห็นกับตาของตนเอง
“เพียงแต่ว่า สิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจคือ ในร่างของเสี่ยวเกอเอ๋อร์มีสายโลหิตแห่งปรมาจารย์ ตระกูลมู่เป็นคนหลินชวน ไม่มีสายโลหิตนี้ ความเป็นไปได้อย่างเดียว คือสายโลหิตในตัวของเจ้ามาจากท่านแม่” ซือมั่วไขความลับทั้งหมดในใจของมู่ชิงเกอ
ชายผูนี้รู้ความลับมากจนเกินไป มู่ชิงเกอราวกับไม่แปลกใจแล้ว
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาพลางถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่า ในโลกยุคกลาง มีตระกูลใดที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างอาวุธหรือไม่”
ในครานี้ซือมั่วไม่ได้ปฏิเสธคำถามของนาง แต่พยักหน้าและพูดว่า “มีตระกูลซางแห่งซีโจว”
“ตระกูลซางแห่งซีโจวอย่างนั้นหรือ” ตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่ลงในทันที ท่านแม่แช่ซาง ดูเหมือนว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซางแห่งซีโจว!
ครู่หนึ่งนางจึงสงบลง และถามซือมั่วด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดจึงเล่าเรื่องราวให้ข้าฟังมากมายเช่นนี้” นางจำได้นางเคยถามคำถามเช่นเดียวกันนี้ แต่กลับถูกซือ มั่วปฏิเสธโดยการเอาลูกกวาดยัดปาก
ซือมั่วพูดพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ห่างจากสายม่วงเพียงเสี้ยวเดียว สำหรับหลินชวนแล้ว สายม่วงคือเส้นชัย แต่ทว่าในโลกแห่งยุคกลาง กลับเป็นเพียงจุด เริ่มต้นและหลินชวนมิได้เป็นพื้นดินแต่เกิดจากการทับซ้อนของแร่ธรรมชาติ ในโลกแห่งยุคกลาง จึงถูกเรียกว่า อาณาจักรหลินชวน”
มู่ชิงเกอตกใจไม่น้อย และนางก็ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แล้วจะเดินทางไปยังโลกแห่งยุคกลางได้อย่างไร”