Skip to content

พลิกปฐพี 117-4

ตอนที่ 117-4

ปีศาจจากตระกูลไหนกัน

ศิษย์ชุดขาวยืดตัวตรง และพูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าเดินตามกันขึ้นไป สามารถเดินไปถึงชั้นที่เท่าไรก็เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องฝืน หากคิดว่าไม่ไหวแล้วก็จงยืนอยู่ที่เดิม และหลังจากที่การทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว จะมีคนส่งพวกเจ้าลงมาเอง” ทันทีที่เขาพูดจบ ก็สั่งให้ทุกคนเดินเข้าไปที่ทางเดินชั้นสอง

เว่ยกว่านกว่านเดินไปอยู่ข้าง ๆ มู่ชิงเกอ และพูดอย่างตื่นเต้นว่า ะ “มู่เกอ จะทดสอบความแข็งแกร่งของปัญญาการหยั่งรู้โดยวิธีอันใดหรือ”

มู่ชิงเกอเม้มปากไม่พูดอะไร คามแข็งแกร่งของการหยั่งรู้ที่ว่านี้ บางทีอาจจะเป็น ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณอย่างที่นางเคยรู้จัก แต่ทว่าจะทดสอบได้อย่างไรนั้น จากที่ศิษย์ชุดขาวพูดก็ ไม่ได้ความอันใดมากนัก เห็นทุกคนเดินเข้าไปด้วยท่าทางที่ดูกังวลใจ มู่ชิงเกอทำได้เพียงพูดกับพี่น้องตระกูลเว่ยว่า “พวกเจ้าจงเดิน ตามข้ามาอย่าได้เว้นระยะห่างมากนัก ก็เหมือนที่ศิษย์พี่ท่านนั้นได้กล่าวเอาไว้ หากรู้สึกว่าเกินกำลังก็จงบอก อย่าได้ฝืน”

เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านพยักหน้าอย่างแรง ทั้งสองยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของมู่ชิงเกอ

สุ่ยหลิงยืนอยู่ในระยะที่ห่างออกไป ข้างๆ นาง มีฟู่เทียนหลงที่เฝ้าอยู่ไม่ยอมห่าง

พอถึงคราวที่พวกเขาต้องขึ้นไปยังชั้นสอง มู่ชิงเกอก็ปัดแขนเสื้อของตนเองทีหนึ่ง แล้วเข้าไปยังทางเดินขึ้นชั้นสองพร้อมความสงสัย พี่น้องตระกูลเว่ยตามไปในทันที

หลังจากที่เข้าไปแล้ว นางก็รู้สึกว่าทุกอย่างตรงหน้ามืดลง หลังจากที่สายตาปรับสภาพได้แล้วก็ราวกับจะเห็นขั้นบันไดที่ทอดยาวดั่งงูขนาดมหึมาลอยตัวอยู่กลาง อากาศ

“ที่นี่ที่ไหนกัน เรายังอยู่ในหอใช่หรือไม่” เว่ยฉีที่ยืนอยู่ข้างหลังถามขึ้นด้วยความสงสัย

“พวกเจ้ารีบตามมา” มู่ชิงเกอกำชับคำหนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนบันได

ข้างหน้าของนาง คนที่เข้าไปก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อนางหันกลับหลังไป นอกจากตัวนางและพี่น้องตระกูลเว่ยก็ไม่เห็นผู้ใดอีกเลย

‘ช่างเป็นสถานที่ที่แปลกนัก’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว พยายามทำจิตใจให้สงบ และก้าวเดินขึ้นบันไดไป

บนบันไดนี้ นางไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางความสงสัย นางยังคงก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ

พี่น้องตระกูลเว่ยตามนางไปติดๆ และไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าไหร่ บันไดยังคงไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยความเร็วของพวกเขา ควรจะถึงชั้นบนสุดตั้งนานแล้ว แต่ทว่า พวกเขายังคงรู้สึกว่าตนเองราวกับเดินอยู่กับที่ พี่น้องตระกูลเว่ยเริ่มรู้สึกเมื่อยล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

“มู่เกอ ข้ารู้สึกว่าขาของข้าหนักมาก” เว่ยกว่านกว่านหายใจหอบ

เว่ยฉีเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน “ข้ารู้สึกเมื่อยไปทั้งตัว ราวกับหลังแบกก้อนหินใหญ่ที่หนักนับพันจินเอาไว้อย่างนั้น”

มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน พลันหันไปมองพวกเขา ในสายตากระจ่างแฝงความสงสัย “เหตุใด ข้าจึงไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น”

พี่น้องตระกูลเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

เม้มปากคิดทบทวนครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอจึงพูดกับทั้งสองว่า “เดินไปข้างหน้าต่อ”

พี่น้องตระกูลเว่ยพยักหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และเดินตามมู่ชิงเกอต่อไป

ทั้งสามเดินอยู่บนบันได ราวกับเดินอยู่กลางอากาศและ ขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด

เวลาค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ

พวกเขาราวกับเดินมาเป็นเวลาหนึ่งปี สิบปี ร้อยปี

ฝั่งพี่น้องตระกูลเว่ยก้าวเดินลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเอวยังไม่สามารถจะยืดให้ตรงได้ ทำได้เพียงคอยช่วยเหลือกันในการเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงจากจอนผมของพวกเขาจนทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด

ในขณะนี้เองมู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงความเมื่อยล้าอย่างที่พี่น้องตระกูลเว่ยพูดถึง เพียงแต่ว่า นางยังสามารถทนได้ ยังไม่ถึงขั้นรู้สึกหมดเรี่ยวแรง

อีกครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าพี่น้องตระกูลเว่ยถึงขีดจำกัดแล้ว มู่ชิงเกอจึงพูดว่า “พวกเจ้าหยุดอยู่ที่นี่เถิด”

เว่ยกว่านกว่านพยักหน้าในขณะที่ร่างกายพิงเว่ยฉีอย่างไม่เหลือเรี่ยวแรงจะพูด ร่างกายอ่อนแอราวกับกิ่งหลิวที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างไรอย่างนั้น เว่ยฉีเองก็นั่งหน้าซีดอยู่บนขั้นบันได เงยหน้าขึ้นถามมู่ชิงเกอว่า “แล้วท่านล่ะ”

“ข้ายังพอทนได้ จะเดินต่อไป” มู่ชิงเกอตอบ

คำพูดนั้นทำให้พี่น้องตระกูลเว่ยพูดอะไรไม่ออกในทันที สายตาที่มองมู่ชิงเกอ ราวกับเห็นตัวประหลาด เดินมาจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะโง่เพียงใดก็ควรจะรู้แล้วว่า บันไดนี้ การทดสอบความแข็งแกร่งของการหยั่งรู้นี้ คือจะดูว่าใครสามารถเดินได้นานและไกลที่สุด

ที่นี่ ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นจากอะไร และมีเวทมนตร์ระดับไหนกันแน่

อย่างไรก็ตาม หากยิ่งมีปัญญาการหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งก็จะเดินได้ไกลกว่า หากปัญญาการหยั่งรู้น้อยก็จะถูกคัดออกอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้มู่ชิงเกอยังสามารถผ่อนคลายได้มากถึงเพียงนี้ แต่พวกเขากลับเหนื่อยประหนึ่งสุนัขตายอย่างนั้น

หากไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวดจริงๆ!

หลังจากที่ให้พี่น้องตระกูลเว่ยหยุดพักแล้ว มู่ชิงเกอก็ยังคงเดินต่อไป

นางกลับไม่รู้ว่า หลังจากที่พวกเขาเข้ามาแล้ว ณ ที่ใดที่หนึ่งของโรงโอสถ ได้มีกลุ่มอาจารย์ปรุงยามารวมตัวกัน และจับจ้องหินแกรนิตเนื้อแก้วที่ลอยอยู่กลางอากาศ

บนหินแกรนิตเนื้อแก้วมีแสงประกายวิบวับ บ้างก็ส่องแสงอยู่กับที่ บ้างก็สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เพียงครู่หนึ่ง แสงประกายที่หยุดการเคลื่อนไหวก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่กำลังวิ่งขึ้นก็พลันน้อยลงเรื่อยๆ จนแทบจะหาไม่เจอ

“เด็กใหม่รุ่นนี้ ก็ยังถือว่าไม่เลวนัก” ผู้เฒ่าผมขาวท่านหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าสุดพยักหน้าอย่างพอใจ

เขากำลังจะออกคำสั่งให้ผู้อาวุโสนำตัวเด็กใหม่ออกมา แต่ทว่ากลับได้ยินเสียงแปลกใจดังมาจากคนข้างๆ

“หืม? ยังมีคนเดินขึ้นไปได้อยู่หรือ”

ท่านผู้เฒ่าผมขาวหรี่ตาลง และหยุดสายตาบนแสงที่อยู่สูงที่สุดดวงนั้น

จุดแสงนั่น ราวกับเป็นดวงดาวที่โดดเดี่ยวอย่างนั้น ยังคงปีนป่ายขึ้นไปอย่างช้า ๆ ทิ้งห่างแสงจุดอื่น ๆ ไว้ข้างหลัง

“ดูสิ! เขากำลังจะทำลายสถิติของศิษย์พี่เหมยแล้ว” ท่ามกลางลูกศิษย์ที่ยืนมองอยู่ในโรงโอสถ มีคนพูดขึ้นพร้อมความแปลกใจ คำพูดของเขา ทำให้สายตาของคนจำนวนไม่น้อยต่างรวมกันที่ศิษย์กลุ่มหนึ่งที่ดูโดดเด่นที่ยืนอยู่ตรงข้าม

ที่นั่นมีผู้โดดเด่นของโรงโอสถยืนอยู่

หากมู่ชิงเกออยู่ที่นี่ แน่นอนว่าจะจำทั้งสี่คนที่อยู่ ณ ที่ แห่งนี้ได้ เพราะได้มีโอกาสพบกันที่ทะเลสาบชุ่ย

นอกจากสี่คนนี้แล้ว ยังมีอีกหกคนที่ล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นของโรงโอสถ ในตอนนี้ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางรูปโฉมหล่อเหลาที่ยืนอยู่ข้างๆ ซางจื่อซูกำลังมองแสงดวงนั้นอย่างเงียบๆ ราวกับไม่ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์รอบข้าง

จ้าวหนานซิงมองเขาแวบหนึ่งแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่เหมย ดูเหมือนว่าในบรรดาศิษย์น้องชายหญิงในรุ่นนี้ ท่านจะเจอคู่แข่งเสียแล้ว”

ใบหน้าอันงดงามและไร้ซึ่งความรู้สึกของเหมยจื่อจ้งไม่แสดงอาการอันใด สำหรับการเยาะเย้ยของจ้าวหนานซิง เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ไม่แสดงอารมณ์

“ทำลายสถิติแล้ว! ทำลายสถิติแล้ว! คนผู้นี้เป็นใครกัน ที่มีปัญญาการหยั่งรู้มากกว่าศิษย์พี่เหมย” มีคนอุทานอย่างฉายความฉงนใจ ทันใดนั้น หินแกรนิตเนื้อแก้วก็ดึงดูดความสนใจจากทุกคนอีกหน

ภายในตึก มู่ชิงเกอยังคงเดินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ความจริงแล้ว ขาทั้งสองของนางนั้นหนักอึ้งราวกับถูกแช่อยู่ในนํ้ามาตั้งนานแล้ว ไหล่ทั้งสองข้างรู้สึกหนักราวกับแบกภูเขาเอาไว้ แต่ทว่า ความแน่วแน่ของนางยังคงผลักดันให้นางเดินขึ้นไปทีละก้าวๆ

“ฮู——-ฮู——”

ข้างหูราวกับได้ยินเสียงหายใจของตนเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version