ตอนที่ 118-1
อันดับหนึ่งแห่งโรงโอสถ ศิษย์พี่เหมย!
ตื่นจากความมึนงง มู่ชิงเกอรู้สึกถึงความเย็นเยียบไปทั่วทั้งร่างกาย จึงรีบลุกขึ้นเพื่อสังเกตรอบ ๆ ตัว
ที่นี่ไม่ใช่หอแห่งสติปัญญา แต่เป็นเหมือนถํ้าแห่งหนึ่งที่อยู่ในโพรงต้นไม้ ภายในถํ้าไร้ซึ่งแสง บนกำแพงแขวนไปด้วยเถาวัลย์สีเขียว
บนพื้นดิน เต็มไปด้วยยาสมุนไพรแห้งหลากหลายชนิด กระทั่งแผ่ความอบอุ่นเป็นริ้วๆ ออกมา
มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิมหมุนไปรอบ ๆ รอบหนึ่ง ที่นี่ไม่ได้มีแค่นางผู้เดียว ผู้คนที่รับบททดสอบล้วนอยู่ที่นี่ แต่ว่าจำนวนคนราวกับลดน้อยลงไปบ้าง
ไม่นาน นางก็มองเห็นพี่น้องตระกูลเว่ยท่ามกลางผู้คน พวกเขาทั้งสองนั่งหลับตาและขัดสมาธิอยู่บนพื้นเหมือนกับคนอื่น ๆ
ราวกับกำลังฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณที่ได้สูญเสียไปก่อนหน้านี้
แต่ทว่า ตอนนี้นางกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างเป็นที่สุด ราวกับได้หลับอย่างเต็มอิ่ม
‘เกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ข้าสลบมันแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่’ มู่ชิงเกอถามตนเองในใจ
ทันใดนั้น สายตาของนางก็หยุดอยู่ที่ยาสมุนไพรที่อยู่ใต้เท้าของนาง
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาที่วนเวียนอยู่ตรงปลายจมูกทำให้นางนั่งลง และยื่นมือออกไปเก็บยาสมุนไพรแห้งเหล่านั้นขึ้นมาดม
“นี่มันดอกเก้าสุริยะ’’ มู่ชิงเกอตาเป็นประกายแวบหนึ่ง
จากนั้น นางก็วางดอกเก้าสุริยะที่อยู่ในมือลง แล้วจึงเก็บยาสมุนไพรอีกชนิดขึ้นมาพินิจ
“หญ้าโพธิสัตว์”
“หญ้ารวมหิมะ”
“รากถีหู”
“ล้วนเป็นยาบำรุงที่ช่วยฟื้นฟูพลังจิต”
วางยาสมุนไพรในมือลง มู่ชิงเกอค่อย ๆ ยืนขึ้น
สายตาพินิจมองครู่หนึ่ง นางจึงมั่นใจว่า ที่นี่ยังคงอยู่ภายในโรงโอสถ การทดสอบความสามารถปัญญาการหยั่งรู้ได้จบลงแล้ว คนที่ยังเหลืออยู่ที่นี่ กำลังได้รับการฟื้นฟูพลังจิตเพื่อเตรียมรับมือกับการทดสอบในขั้นต่อไป
ส่วนคนที่หายไป ก็เท่ากับถูกคัดออกจากการทดสอบ เพราะอยากจะรู้รายละเอียด มู่ชิงเกอก็เริ่มค้นหาท่ามกลางผู้คนอีกครั้ง…………….
แน่นอนว่า ฟ่งอวี๋กุย ฟู่เทียนหลงและสุ่ยหลิงเองก็อยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนโชคดีที่ผ่านมาได้อีกด่าน มู่ชิงเกอกลับผิดคาดเพราะในตอนแรกนางไม่คิดว่าองค์ชายสามฟ่งแห่งแคว้นลี่ที่แข่งกับนางไปเสียทุกเรื่องผู้นี้จะผ่านบททดสอบนี้ เพราะอย่างไรท่าทางของเขาก็ไม่เหมือนอาจารย์ปรุงยา
“คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ อย่าดูคนจากภายนอก คำพูดนี้ยังคงใช้ได้เสมอ” มู่ชิงเกอพึมพำเบาๆ
ในตอนนี้ ฟ่งอวี๋กุยที่หลับตาอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และสบกับสายตาที่กำลังพินิจของมู่ชิงเกอโดยบังเอิญ
ทันทีทีเขาเห็นมู่ชิงเกอ ในตาก็มีแววสงสัยวาบผ่าน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นอันแสนสาหัส
ในตอนนี้ เขาราวกับไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง ของตนเองอีกต่อไป
“หึ ไม่คิดว่าเจ้าจะฟื้นก่อนข้า มู่เกอ เจ้าเดินไปถึงชั้นที่เท่าไหร่เล่า” ฟ่งอวี๋กุยกวาดสายตามองรอบ ๆ น้ำเสียงฟังดูได้ใจ แต่ว่า เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอฟื้นตัวก่อนตนเอง แววตาก็นิ่งขรึมลง
มู่ชิงเกอไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขา ราวกับว่า สิ่งที่องค์ชายผู้นี้รู้คงจะมากกว่าที่นางวิเคราะห์ออกมาได้อยู่มาก
เมื่อเห็นว่านางเงียบ สายตาของฟ่งอวี๋กุยก็ลำพองขึ้นมาในทันที “เจ้าคงยังไม่รู้ว่า หอแห่งสติปัญหานี้ทดสอบเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของพลังจิต ในหอนี้ ยิ่งเดินได้ไกลเท่าไหร่และสูงมากเท่าไหร่ ก็บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งด้านพลังจิต อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วระดับความแข็งแกร่งด้านพลังจิตของลูกศิษย์แห่งโรงโอสถจะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในหอได้นานแค่ไหน และระยะเวลาของการฟื้นตัว ข้าได้อดทนอยู่ในหอเป็นเวลานาน และในตอนนี้ก็ฟื้นตัวไวกว่าคนอื่น ๆ แล้วเจ้าล่ะ หรือเป็นเพราะว่ายอมแพ้ไปแต่เริ่ม จึงฟื้นตัวได้ไวถึงเพียงนี้”
มู่ชิงเกอแอบมองเขาอย่างขบขัน แล้วกระตุกยิ้มจางๆ “เคยบอกท่านหรือไม่ว่าการคิดเองเออเองเป็นโรคโรคหนึ่ง ท่านที่รัก อย่าได้ถอดใจจะรักษาล่ะ!”
“เจ้า!” ในสายตาของฟ่งอวี๋กุยฉายความเย็นเยียบ ตาทั้งสองข้างหรี่ลงอย่างอันตราย แววตาเต็มไปด้วยไอสังหาร
แต่ทว่า ไอสังหารที่มากมายจนไม่อาจจะปกปิดได้นี้ มู่ชิงเกอกลับเลือกที่จะทำเหมือนไม่เห็น
หันหลังกลับไปพินิจบริเวณรอบ ๆ อีกหน ในครานี้ นางได้สังเกตเห็นว่า ในถํ้านี้ไม่เห็นมีทางออก
ไม่มีทางออก แล้วพวกเขาเข้ามาได้อย่างไรเล่า
มู่ชิงเกอรู้สึกฉงนใจ ในขณะเดียวกันก็แอบคิดวิเคราะห์คำพูดของฟ่งอวี๋กุย
นางทนได้นานเท่าไหร่นั้น นางจำไม่ได้แล้ว แต่รู้เพียงว่าตนเองเดินจนถึงเส้นชัยของบันไดและเห็นแสงวงกลมดวงหนึ่ง
หลังจากนั้น นางก็จำอะไรไม่ได้อีก
นางอดทนจนถึงที่สุด แต่กลับฟื้นตัวเป็นคนแรก เช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน
เพราะอย่างไร ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ไอ้คนร้ายกาจอย่างฟ่งอวี๋กุยคาดการณ์เอาไว้เป็นแน่
‘เจ้านาย ที่นี่มนต์ต้องห้ามชั้นสูง และมนต์เช่นนี้ต้องเปิดจากข้างนอกเท่านั้น คนข้างในไม่สามารถออกไปได้นะ!’ อยู่ ๆ ใต้จิตสำนึกของมู่ชิงเกอก็มีเสียงของเหมิงเหมิงดังขึ้น
บทสรุปนี้ ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
แต่ว่า นางก็ไม่ได้รีบออกไป เพียงแค่สงสัยก็เท่านั้น
หันหลังกลับไป มู่ชิงเกอเห็นฟ่งอวี๋กุยที่ยังคงมองนางอย่างโหดเหี้ยม ก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจทีหนึ่ง นางเดินมานั่งขัดสมาธิบนที่ว่างที่ค่อนข้างกว้างที่หนึ่ง แล้วหลับตาลงพักผ่อน
บางที ถํ้าที่ถูกปิดตายแห่งนี้ คงต้องรอให้ทุกคนฟื้นขึ้นมาก่อนจึงจะสามารถเปิดได้
ในตอนนี้ ถือว่าเป็นอกาสที่ดีที่นางจะใช้เวลาในการศึกษาเรื่องการหลอมสร้างอาวุธ
ในตอนนี้ สายโลหิตได้ถูกกระตุ้นแล้ว รวมทั้งประสบการณ์การสร้างอาวุธจากที่ผ่านมา คงจะทำให้นางสร้างอาวุธที่เก่งกาจมากขึ้นได้แล้วใช่หรือไม่
ในใจของมู่ชิงเกอ ยังคงอาลัยอาวรณ์อาวุธเมื่อชาติที่แล้ว
หากสามารถสร้าง*ปืนกรีเนทลันเชอร์ในโลกนี้ได้ แน่นอนว่าจะเป็นการเพิ่มความสามารถด้านการรบต่อตัวนางและองครักษ์เขี้ยวมังกรได้!