Skip to content

พลิกปฐพี 129-1

ตอนที่ 129-1

ศิษย์น้องจูยังไม่ลงมืออีก?

ณ ผืนป่าหมีเมิ่ง ผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันตกของแคว้นอวี๋ ยึดพื้นที่ตะวันตกทั้งผืนเอาไว้

ข้ามผืนป่าหมีเมิ่งไปก็สามารถเข้าสู่อาณาเขตแคว้นปา ว่ากันว่า ชายแดนอีกด้านหนึ่งของผืนป่าหมีเมิ่งที่ลึกจนไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดนั้นก็คือขอบโลกของแผ่นดินหลินชวน…

“ศิษย์น้องมู่ เจ้ามองอะไรอยู่” จ้าวหนานซิงพบว่าข้างหลังตัวเองเงียบไป จึงได้หันไปมอง เห็นเพียงแค่มู่ชิงเกอกำลังมองอะไรบางอย่าง จนใจลอย

ตรงหน้ามู่ชิงเกอ เป็นหมอกที่ล้อมรอบผืนป่าเอาไว้ บดบังทางเดิน สร้างความลึกลับน่าคันหา เมื่อได้ยินคำถามของจ้าวหนานซิง นางจึงค่อยๆ เก็บสายตา และ พูดกับเขาว่า “ไม่มีอะไร”

“รีบตามมา จะได้ไม่หลงกัน” จ้าวหนานซิงไม่สนใจอะไร เพียงส่งเสียงเร่งคำหนึ่ง

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ แล้วตามหลังจ้าวหนานซิงไป

ตรงหน้าพวกเขา เงาของคนทั้งสามได้เลือนรางลง

ทั้งสองจึงมองหน้ากัน แล้วเดินอย่างรวดเร็วโดยมิได้นัดหมาย เพื่อตามทั้งสามไปให้ทัน ครู่หนึ่ง หลังจากที่เงาร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าชัดเจนขึ้นอีกครั้ง มู่ชิงเกอจึงพูดกับจ้าวหนานซิงว่า “ศิษย์พี่จ้าว ได้ยินมาว่า ผืนป่าหมีเมิ่งสามารถไปยังขอบแดนของอาณาจักรหลินชวนได้อย่างนั้นหรือ”

จ้าวหนานซิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าก็เคยได้ยินเรื่องเล่านี้หรือ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า

จ้าวหนานซิงหยุดสายตาบนร่างของทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าและตอบว่า “ในตำราอันเก่าแก่ของราชวงศ์อวี๋ของเรา มีการเอ่ยถึงอาณาจักรในอีกด้านของผืนป่าหมีเมิ่ง นั่นก็คือขอบแดนของอาณาจักรหลินชวน แต่ว่าพันปีมาแล้ว ก็ยังคงไม่มีใครสามารถไปถึงได้ หรือบางที อาจจะมีคนไปถึง แต่ว่าคนผู้นั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”

“ลึกลับเพียงนั้นเชียวหรือ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

จ้าวหนานซิงพยักหน้า พลันกวาดสายตาสังเกตรอบๆ ก่อนจะพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าดูสิ ที่ผืนป่าหมีเมิ่งมีชื่อว่าผืนป่าหมีเมิ่ง เป็นเพราะว่า ที่นี่มีหมอกตลอดปี หมอกเช่นนี้จะทำให้เจ้าเข้าไปแล้วหลงทิศได้โดยง่าย ถึงขั้นว่า หากสูดดมมากเกินไป จะทำให้เกิดภาพหลอน ก่อนที่โรงโอสถจะมาตั้งที่นี่ ในแต่ละปีจะมีคนหายมากมาย ต่อมาได้มีการก่อตั้งโรงโอสถ และทำสัญญากับราชวงศ์ของเรา ให้ผืนป่าหมีเมิ่งเป็นที่ของโรงโอสถ ทำให้คนหายลดน้อยลงมาก แต่ว่า แม้ลูกศิษย์โรงโอสถจะเข้าไปเด็ดสมุนไพรก็จะไม่เข้าไปลึกมากนัก และจะต้องกินยาป้องกันเหมือนที่เรากินก่อนเข้ามา เพื่อไม่ให้เกิดภาพหลอน การทดสอบในครั้งนี้ ต้องเดินไปถึงทะเลสาบเยวี่ย ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเลยจริงๆ”

จ้าวหนานซิงพูดจบ ก็เผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ

มู่ชิงเกอเงียบฟังจนจบ และอยู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “หากมีขอบแดนจริงๆ ถ้าเช่นนั้นนอกขอบแดนคือสิ่งใดกัน”

คำพูดนี้ ราวกับกำลังถามจ้าวหนานซิงและราวกับกำลังถามตนเอง

จ้าวหนานซิงหันกลับไปมองนาง และพูดกับนางว่า “หากว่าวันหนึ่ง ข้าฝึกจนทะลวงสู่สายม่วง ก็อยากจะออกนอกหลินชวนไป แต่ว่า ข้าจะไม่เลือกผืนป่าหมีเมิ่ง แต่จะเลือกทะเลแห่งความทุกข์ที่แคว้นกู่วูหรือไม่ก็ทะเลทรายท่องวิญญาณที่แคว้นตี๋”

มู่ชิงเกอหรี่ตาลงแล้วเงียบไป สถานที่ทั้งสองที่จ้าวหนานซิงพูดถึง นางเคยเห็นใน แผนที่อาณาจักรหลินชวน

ภายนอกหลินชวน ยังมีโลกอันกว้างใหญ่ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ เพียงแค่ว่า ผู้ที่สามารถออกไปได้นั้นมีน้อยมาก มันจึงค่อย ๆ กลายเป็นเพียงแค่ตำนาน

ในแผนที่อาณาจักรหลินชวนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หากอยากจะออกจากหลินชวน มีอยู่สองทางที่สามารถเลือกได้

ทางแรก คือทางทะเลแคว้นกู่วูที่อยู่ทางตอนใต้ที่สุดของอาณาจักรลึกลับและถูกปิดตาย ในทิศใต้ที่สุดของแคว้นนั้น มีทะเลที่ไร้ที่สิ้นสุด ถูกเรียกว่า ทะเลแห่ง ความทุกข์ ว่ากันว่า หากสามารถทะลุผ่านทะเลแห่งความทุกข์ไปได้ ก็จะสามารถไปยังอีกอาณาจักรได้

แต่ว่า ทะเลแห่งความทุกข์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด สามารถมองไปได้สุดสายตาต้องใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะสามารถผ่านไปได้ และในทะเลมีอันตรายอะไรรออยู่ ก็ไม่มีใครรู้

อีกทางหนึ่ง คือแคว้นตี๋ แคว้นระดับสองและเป็นจุดที่อยู่ทิศเหนือที่สุดของหลินชวน ในตำแหน่งที่เหนือกว่านั้นมีทะเลทรายที่ร้อนจนหาที่เปรียบไม่ได้และไร้ที่สิ้นสุดอยู่ มีคนบอกว่า ทะเลทรายนี้กว้างใหญ่กว่าอาณาจักรหลินชวน ทั้งอันตรายเป็นอย่างมาก

และมีคนพูดอีกว่า เพียงแค่สามารถผ่านทะเลทรายท่องวิญญาณผืนนั้นไปได้ ก็จะสามารถเข้าสู่โลกอีกใบได้

คำพูดของจ้าวหนานซิง มู่ชิงเกอสามารถเข้าใจได้ และเข้าใจเป็นอย่างดี

เพราะว่าทางเลือกสองทางนี้ เป็นทางออกจากหลินชวน ที่มีบันทึกอย่างละเอียด หากนางเป็นคนเลือกก็จะเลือก หนึ่งในสอง และไม่เลือกทางที่มีบันทึกอย่างคร่าวๆ

“ศิษย์พี่จ้าวไม่อยากสืบทอดราชบัลลังก์หรือ” มู่ชิงเกอถามด้วยความสงสัย

จ้าวหนานซิงยิ้ม “ข้ารู้ว่าข้าไม่เหมาะกับการเป็นฮ่องเต้ เมื่อเทียบกับการยุ่งวุ่นวายเพราะเรื่องการเมือง และทำการตัดสินใจมากมายอย่างเบื่อหน่ายให้กับแคว้น ข้ายอมที่จะอยู่อย่างเรียบง่าย และใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายดั่งนกน้อยนอกกรง’’

คำตอบของเขา ทำให้มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา “ข้ารู้จักกับองค์ชายที่ไม่อยากเป็นฮ่องเต้สองคน ศิษย์พี่จ้าว คือหนึ่งในนั้น”

“หืม อีกคนคือใคร ใครกันที่มีความคิดเช่นเดียวกับข้า ต้องพบกันเสียหน่อยแล้ว” จ้าวหนานซิงพูดด้วยความสงสัย

มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พูดอย่างคลุมเครือว่า “ต้องมีโอกาสได้พบแน่”

จ้าวหนานซิงเองก็ไม่ได้ถามอีก เพียงถอนหายใจและพูดว่า “ที่เรียนการปรุงยา ก็เพื่อในอนาคตออกไปท่องยุทธภพแล้วจะได้ไม่อดตาย หากวันหนึ่งศิษย์น้องมู่ อยากออกจากหลินชวน เรียกศิษย์พี่โง่ๆ คนนี้ด้วยล่ะ” พูดจบ เขาก็ขยิบตาให้มู่ชิงเกอหลายที

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างรู้สึกขัน “ศิษย์พี่จ้าวไม่อาลัยอาวรณ์ศิษย์พี่ซางหรือ”

สายตาของจ้าวหนานซิงฉายความเศร้าขึ้นมาในทันที และพูดอย่างใจกว้างว่า “หัวใจที่ข้ามีให้จื่อซู ทุกคนล้วนดูออก มีเพียงนางที่ไม่รู้ตัว แต่ก็เอาเถิด เรื่องของ ความรัก ขึ้นอยู่กับความยินยอมของทั้งสองฝ่าย หากในใจของนางไม่มีข้าอยู่ ข้าจะบังคับไปเพื่ออะไร”

“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่ รีบตามมา” ทันใดนั้น เหมยจื่อจ้งที่อยู่ข้างหน้าก็หันมาตะโกนกับทั้งสอง

จ้าวหนานซิงและมู่ชิงเกอมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม แล้วจ้าวหนานซิงจึงพูดว่า “ไปเถิด”

พอทั้งสองตามอีกสามคนทัน จ้าวหนานซิงก็พูดกับเหมยจื่อจ้งว่า “ข้านัดกับศิษย์น้องมู่ว่า หากวันหนึ่งเขาจะออกจากหลินชวน ให้ชวนข้า” พูดจบ เขาก็กวาดสายตา มองซางจื่อซูราวกับตั้งใจและไม่ตั้งใจในขณะเดียวกัน

แต่ว่า สาวงามกลับไม่แสดงอาการ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

เหมยจื่อจ้งเผยรอยยิ้มบางๆ ท่าทางการเคลื่อนไหวราวกับเทพเซียน เขามองมู่ชิงเกอและถามว่า “ศิษย์น้องมู่มีความฝันอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ด้วยหรือ’’

มู่ชิงเกอพยักหน้า “โลกใบนี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ข้าอยากไปเห็นกับตา”

รอยยิ้มของเหมยจื่อจ้งชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม อยู่ๆ เขา ก็พูดขึ้นอย่างแน่วแน่ว่า “หากมีวันนั้นจริง ศิษย์น้องมู่ชวนข้าด้วย”

มู่ชิงเกออึ้งและรู้สึกสงสัย

หากนางจำไม่ผิด เหมยจื่อจ้งน่าจะโตมาในโรงโอสถ ไม่เคยไปไหน จากความเป็นมาเช่นนี้ เขาควรจะสืบทอดวิชาของท่านปรมาจารย์ และอยู่ในโรงโอสถมิใช่หรือ

หรือว่า เขาเองก็มีหัวใจแห่งความบ้าบิ่นอยู่ด้วย?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version