ตอนที่ 128-5
แผนร้ายของเตียวหยวน
ไม่ทันได้คิดอะไรมาก มู่ชิงเกอก็คว้าจูหลิงที่เสียสติเอาไว้ เพื่อหยุดไม่ให้นางทำร้ายตนเอง ในขณะเดียวกัน ก็เอายาเม็ดหนึ่งออกจากอกเสื้อ ให้นางกินเข้าไป
ยาเม็ดนี้ไม่ใช่ยาถอนพิษ แต่สามารถทำให้แมลงสงบลงได้ทั้งมีฤทธิ์ของยาชาที่สามารถควบคุมแมลงเอาไว้ได้
“ดูเหมือนว่า จะต้องรีบถอนพิษแล้ว” มู่ชิงเกอพึมพำ
ในตอนนี้สิ่งที่นางโชคดีคือ ตำราบนชั้นเจ็ดแม้จะเป็นยาพิษ แต่ก็มียาถอนพิษ มิเช่นนั้น ในตอนนี้นางก็คงกำลังคิดว่าควรจะผ่าตัดเปิดกะโหลกเพื่อช่วยชีวิตจูหลิง จูหลิงได้สลบไปแล้ว หลังจากที่มู่ชิงเกอวางนางลงอย่างระมัดระวังแล้ว ก็เข้าไปในช่องว่าง เพื่อปรุงยาถอนพิษหุ่นเชิดตามสูตรยา
เป็นอีกครั้งที่นางพึงพอใจกับปริมาณของสมุนไพรที่ไม่มีจำกัดในช่องว่างเป็นอย่างมาก
ในคืนนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้กลับที่พัก
ทำให้โหลวชวนป่ายเป็นห่วงเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเหมยจื่อจ้งและซางจื่อซูที่เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็เป็นกังวล สุดท้าย จ้าวหนานซิงบอกว่ามู่ชิงเกอไปหอ ตำรายา ไม่แน่ว่าอาจจะอ่านหนังสือเพลินจนลืมดูเวลา จึงทำให้พวกเขาวางใจลงบ้าง
คํ่าคืนผ่านพ้นไป รุ่งอรุณเข้ามาเยือน
มู่ชิงเกอยังคงไม่ปรากฏตัว โหลวชวนป่ายทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพูดกับเหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิงว่า “พวกเจ้าทั้งสองไปหอตำรายาและตามตัวศิษย์น้องของพวกเจ้ากลับมา”
เห็นว่าเวลาทดสอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิงเองก็พยักหน้า และเตรียมออกไปหามู่ชิงเกอ เพียงแต่ว่า พวกเขาเพิ่งจะหันกลับไป ก็เห็นมู่ชิงเกอเดินเข้ามา
“ศิษย์น้องกลับมาแล้วหรือ” ซางจื่อซูพูดอย่างแนบนิ่ง
เหมยจื่อจ้งมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอะไร ความตึงเครียดในดวงตาจึงค่อยๆ จางไป
จ้าวหนานซิงเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว และพูดว่า “ศิษย์น้องมู่ไม่กลับทั้งคืน ทำให้ท่านอาจารย์เป็นห่วงจนแทบแย่แล้ว”
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ และเดินไปอยู่ตรงหน้าโหลวชวนป่ายที่กำลังจ้องเขม็ง “อ่านหนังสือในหอตำรา จึงหลงลืมเวลา โชคดีที่กลับมาทัน”
“หึ” โหลวชวนป่ายอุทานคำหนึ่งและกล่าวโทษว่า “รักการเรียนรู้ก็ต้องระวังสุขภาพด้วย เจ้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะเริ่มการทดสอบ เมื่อคืนไม่พักผ่อนให้ดี วันนี้จะมีแรงได้อย่างไร”
“ศิษย์รู้สำนึกแล้ว” มู่ชิงเกอพูดเอาใจ
แต่ว่าโหลชวนป่ายกลับพูดด้วยความโกรธว่า “รู้บ้าบออะไร! ข้าว่าเจ้าฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่เก็บคำพูดของข้าไปคิดมากกว่า”
พูดจบ เขาก็พูดกับเหมยจื่อจ้งและคนอื่นๆ ว่า “เมื่อคืน ศิษย์น้องของพวกเจ้าไม่ได้พักผ่อน การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว พวกเจ้าต้องคอยระวัง วันนี้อย่าได้เข้าไปลึกนัก ให้เขาพักผ่อนให้ดีก่อนแล้วค่อยว่า”
“เข้าใจแล้วท่านอาจารย์’ เหมยจื่อจ้งโค้งคำนับ
“พอเถิดๆ ไปกันเถิด เห็นแล้วขัดตา!” โหลวชวนป่ายสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด
ทั้งสี่กล่าวลา และมุ่งไปยังสถานที่ทดสอบ
ระหว่างทาง มู่ชิงเกอได้พบกับเหมยจื่อจ้งและซางจื่อซู เมื่อวานพวกเขาทั้งสองบอกว่าจะไปเตรียมของ แต่กลับเห็นว่า บนร่างกายของพวกเขาไม่มีสัมภาระอันใด จึงไม่รู้ว่าได้เตรียมจริงหรือว่าไม่เตรียม
หรือบางที พวกเขาเองก็มีช่องว่างในการเก็บอาวุธอย่างนั้นหรือ
เพียงครู่หนึ่ง ทั้งสี่ก็ไปยังสถานที่ทดสอบ คือรอบนอกของผืนป่าหมีเมิ่ง ซึ่งใกล้กับทางเข้าผืนป่าหมีเมิ่ง
เมื่อพวกเขามาถึง ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมารออยู่แล้ว “ศิษย์พี่เหมย ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง ศิษย์น้องมู่!”
“ศิษย์พี่เหมย!”
“ศิษย์พี่จ้าว!”
“ศิษย์พี่ซาง!”
“ศิษย์น้องมู่!”
ทันทีที่ทั้งสี่ปรากฏตัว รอบข้างก็มีเสียงทักทายดังขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นมู่ชิงเกอ นํ้าเสียงของทุกคนก็พลันแฝงความหยั่งเชิงอยู่หลายส่วน ราวกับว่า ดาวรุ่งใหม่แห่งโรงโอสถผู้นี้ จะต้องทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากแน่
มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยเมื่อเห็นมู่ชิงเกอ เหมยจื่อจ้ง และจ้าวหนานซิงยืนอยู่ด้วยกัน ภาพอันงดงามทั้งสามนี้ ทำให้พวกนางหวั่นไหวเป็นอย่างมาก จึงมีท่าทางบิดไปมาด้วยความเขินอายในทันที
โชคดีที่มีซางจื่อซูที่เป็นดั่งภูเขานํ้าแข็ง เหล่าหญิงสาวจึงไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก
เหมยจื่อจ้งเคลื่อนไหวล่องลอยดั่งเซียน ราวกับไม่มีวันจะหยุดสายตาที่ใคร ซางจื่อซูท่าทางเย็นชา ดูสันโดษ จ้าวหนานซิงนุ่มนวลดั่งหยก และยืดอกรับคำทักทายจากคนรอบข้างอย่างเต็มอกเต็มใจและอ่อนโยน
ท่าทางอันสง่าและเด็ดเดี่ยวของมู่ชิงเกอ แฝงความขี้เล่น จึงไม่ได้ทำให้รู้สึกเข้าถึงยากมากนัก
ทั้งสี่เดินผ่านท่ามกลางผู้คน เพื่อไปยืนในที่ที่มีคนน้อย
ในบริเวณตรงข้ามพวกเขา ก็คือพวกของเตียวหยวน
แม้เทียบกับพวกของมู่ชิงเกอแล้ว พวกของเตียวหยวน จะไม่ได้เป็นที่สนใจมากนัก แม้ว่า เขาเองก็เป็นบุคคลต้นแบบอันดับสอง แม้ว่า ฝั่งของเขาจะมีนักปรุงยาระดับกลางถึงสิบคน
แต่ว่า แม้ฝั่งของเขาจะมีคนมากกว่ากี่เท่า ก็ไม่สามารถสู้รัศมีของพวกมู่ชิงเกอได้
เพราะว่า ท่ามกลางพวกเขา มีนักปรุงยาระดับสูงถึงสองคน!
การเปรียบเทียบอย่างชัดเจน เป็นดั่งฝ่ามือที่ตบหน้าเตียวหยวน ‘เพียะๆ’ อย่างไร้ความปรานี
สายตาของเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัว ราวกับอาบยาพิษทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ไอสังหารที่กระจายออกมากจากทั่วร่างกาย ทำให้อุณหภูมิรอบตัวเขาลดลงหลายองศา
ผู้คนที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของเขาในตอนแรก ล้วนถอยห่างออกไปหลายก้าวโดยมิได้นัดหมาย ราวกับ กลัวจะโดนลูกหลง
ท่ามกลางพวกเขา ซ่งอวี้ที่เคยประลองการปรุงยากับมู่ชิงเกอก็อยู่ด้วย เขาแอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง ความไม่จำยอมในสายตาแปรเปลี่ยนเป็นความกลัว
บางที เมื่อความสามารถและพลังได้รับการกดดันอย่างถึงที่สุด ก็จะทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวและอยากจะหนีไป
“เจ้าจะไปไหน” เมื่อสัมผัสได้ว่าซ่งอวี้กำลังถอยหลังไปเรื่อยๆ เตียวหยวนก็มองเขาด้วยสายตาอันเย็นเยียบและโหดเหี้ยม
แผ่นหลังของซ่งอวี้อาบเหงื่อขึ้นมาในทันที ใบหน้าขาวซีดและพูดว่า “ไม่…ไม่ไปไหน ”
“หึ” อุทานอย่างเย็นเยียบคำหนึ่ง เตียวหยวนกวาดสายตาอันคลุมเครือมองเหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอ สุดท้ายก็กวาดสายตามองร่างกายของซางจื่อซูอย่างหื่นกระหาย หลายหน
“หึ”
สายตาที่ไม่ปิดบังของเขา ทำให้จ้าวหนานซิงอุทานอย่างเย็นเยียบ
เขาเคลื่อนตัวมายืนอยู่ตรงหน้าซางจื่อซูด้วยใบหน้าอันแนบนิ่ง เพื่อบดบังสายตาของเตียวหยวน
ภาพนี้ทำให้สายตาของเตียวหยวนพลันเกิดไอสังหารขึ้นในทันที
“ศิษย์พี่” เสียงเรียกอันน่าหลงใหล ทำให้สายตาของเตียวหยวนเปลี่ยนไปและหันสายตาไปมองในทันที
ในระยะอันไกลออกไป มีเงาร่างหนึ่งท่าทางอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความน่าเย้ายวน สายลมพัดผ่าน ทำให้ชายเสื้อของนางพลิ้วไหว เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างกายอย่างชัดเจน ภาพเช่นนั้น ทำให้ชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยในโรงโอสถหวั่นไหวขึ้นมา
เตียวหยวนแอบมองจูหลิงที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้
เขาเห็นบริเวณไรผมของจูหลิง มีรอยชํ้าสีเขียวโผล่ออกมา ราวกับไปชนอะไรโดยไม่ระวัง
เตียวหยวนหรี่ตาลง และพูดกับจูหลิงว่า “ศิษย์น้องเหตุใดเจ้าจึงมาช้าถึงเพียงนี้”
จูหลิงยกมือขึ้นนวดขมับและพูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความเหน็ดเหนื่อยว่า “ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเผลอหลับทีก็หลับจนถึงตอนนี้ พอตื่นมา ก็พบว่าตนเองอยู่ในหอตำรา”
ที่แท้ก็ไปหลบอยู่ในหอตำรา!
เตียวหยวนแอบยิ้มอย่างเย็นเยียบในใจ คำตอบของจูหลิง ทำให้เขาเบาใจ จุดประสงค์ที่จูหลิงไปหอตำราคืออะไร แน่นอนว่าเขาเดาออก แต่ว่า แล้วอย่างไรเล่า
แม้ว่านางจะเจอสูตรยาถอนพิษ แต่ว่า นางมีเวลาเหลือ ไปขอความช่วยเหลือหรือ แล้วมีคนสามารถปรุงยามาถอนพิษให้นางในเวลาอันสั้นเช่นนั้นหรือไร
“ศิษย์น้องยังจำเรื่องเมื่อวานได้หรือไม่” เตียวหยวนแกล้งถาม
ใบหน้าของจูหลิงฉายความสงสัย “เรื่องอันใด”
เตียวหยวนหรี่สายตาอันโหดเหี้ยมลง จ้องปฏิกิริยาของจูหลิงเขม็ง และพูดออกมาทีละคำว่า “เมื่อวาน เจ้าบอกว่าจะไปอยู่กลุ่มเดียวกับศิษย์น้องซาง แล้วหวังให้ข้าอนุญาต”
“หา! ข้าพูดเช่นนั้นหรือ” จูหลิงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ พลันขมวดคิ้วคิด และพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “เหมือนว่าข้าจะเคยพูด แต่จำไม่ได้แล้ว”
“เจ้าเคยพูดจริงๆ” เตียวหยวนพูดพร้อมรอยยิ้มอันเย็นเยียบ
ใบหน้าของจูหลิงปรากฏความละอายใจ และพูดกับเตียวหยวนว่า “ขออภัยศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว มาขอร้องเช่นนี้ได้อย่างไร”
ท่าทางของนางจริงใจเป็นอย่างมาก
เตียวหยวนสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติ
อยู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้ม “ไม่ จะผิดได้อย่างไร ศิษย์น้องและศิษย์น้องซางสนิทกัน อยากจะอยู่กลุ่มเดียวกันก็ไม่แปลก ศิษย์พี่ไม่ห้ามหรอก”
“จริงหรือ!” สายตาของจูหลิงเผยความดีใจ แต่พูดอย่างลังเลในทันที “แต่ว่า แบบนี้คงไม่ดี อย่างไรท่านอาจารย์ของเราและทางฝ่ายท่านปรมาจารย์โหลวก็…”
“ศิษย์น้องคิดมากเกินไปแล้ว” เตียวหยวนขัดจังหวะคำพูดของนาง “เราล้วนเป็นลูกศิษย์ของโรงโอสถ จะแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายไปเพื่ออันใด เราจะต้องยึดความสำเร็จของภารกิจเป็นหลัก เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
“จริงดังที่ศิษย์พี่สั่งสอน จูหลิงเข้าใจแล้ว” จูหลิงโค้งคำนับให้กับเตียวหยวนหลายที
เตียวหยวนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และพูดอย่างได้ใจว่า “หากศิษย์น้องอยากจะอยู่กับศิษย์น้องซาง ก็รีบไปเถิด การทดสอบกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
“ได้ ศิษย์พี่ ถ้าเช่นนั้นศิษย์น้องก็ขออวยพรให้ศิษย์พี่สามารถได้รับชัยชนะเป็นคนแรก” จูหลิงพูดพร้อมรอยยิ้มอันร่าเริง
สายตาของเตียวหยวนฉายความได้ใจมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับคำอวยพรของจูหลิงไม่ได้เป็นเพียงคำอวยพร แต่เป็นความจริง
บอกลาเตียวหยวน จูหลิงก็หันหลังและเดินไปหาพวกของซางจื่อซู
จ้างหนานซิงมองนาง ด้วยสายตาที่แฝงความพินิจ แต่ก็ไม่ได้ห้าม
เมื่อจูหลิงเดินมาอยู่ตรงหน้าซางจื่อซู ซางจื่อซูจึงถามด้วยความสงสัยว่า “จูหลิง มีเรื่องอันใดหรือ”
จูหลิงยิ้มให้นาง แล้วเรียกเหมยจื่อจ้ง “ศิษย์พี่เหมย”
เหมยจื่อจ้งพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของจูหลิงน่าเย้ายวนมากขึ้นกว่าเดิม นางพูดกับซางจื่อซูว่า “จื่อซู ข้าร่วมกลุ่มไปกับพวกเจ้าจะได้หรือไม่”
“อะไรนะ!” ซางจื่อซูแปลกใจเป็นอย่างมาก เหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิงเองก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
กลับเป็นมู่ชิงเกอที่เพียงยิ้มจางๆ และพูดกับจูหลิงว่า “มีศิษย์พี่จูมาร่วมด้วย ช่างเป็นการเพิ่มพูนพลังอย่างมหาศาล”
จูหลิงมองมู่ชิงเกอ รอยยิ้มยังคงไม่ลดลง “ศิษย์น้องมู่ ชมเกินไปแล้ว”