Skip to content

พลิกปฐพี 13

ตอนที่ 13

รุ่ยอ๋องมาเยือนถึงจวนที่แท้ก็เพราะชาเขียว

“ท่านอาหรง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซีเยวี่ยทำเพื่อพี่มู่นั้น ซีเยวี่ยทำด้วยความเต็มใจ”

มู่เกอที่ยังคงสงสัยเกี่ยวกับคำพูดของมู่เหลียนหรง พอได้ยินคำพูดแม่พระของซีเยวี่ย ก็ทำให้เธอหันไปมองซีเยวี่ยโดยไม่รู้ตัว

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังสังเกตการณ์ของมู่เกอ ทำให้ป๋ายซีเยวี่ยยิ้มอย่างเขินอาย แต่มู่เกอรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทันที

เอ่อ…………..

เหมือนเพราะความอายจึงทำให้ป๋ายซีเยวี่ยไม่กล้ามองมู่เกออีก นางหันหลังกลับไปพูดกับมู่เหลียนหรงว่า “ท่านอาหรง ในเมื่อพี่มู่ไม่เป็นอะไร ซีเยวี่ยก็ขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมพี่มู่ใหม่”

“อีม ก็ใช่ เจ้าเป็นผู้หญิงมาเจอผู้ชายในตอนกลางคืนดูจะไม่เหมาะสม กลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่อีกสักพัก” มู่เหลียนหรงรีบพูดอย่างเข้าใจ

เมื่อมู่เหลียนหรงอนุญาตแล้ว ป๋ายซีเยวี่ยก็ค่อยๆ หันหลังกลับพร้อมกับสาวใช้

ท่าทางที่ดูมีการศึกษาและมีมารยาทแบบนี้ ทำใหัมู่เหลียนหรงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หลังจากที่ป๋ายซีเยวี่ยกลับไปแล้ว มู่เหลียนหรงก็บอกกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้านายพวกเจ้า พวกเจ้าไปเตรียมนํ้าอาบและสำรับเถอะ”

ทั้งสองไม่ได้ไปในทันทีแต่มองมู่เกอ พอมู่เกอพยักหน้า ทั้งสองจึงหันหลังเดินออกไป

“ท่านอาเชิญ” มู่เกอหลีกทางต้อนรับมู่เหลียนหรงเข้าไปภายในเรือน

พอมู่เหลียนหรงเข้ามาในเรือน ก็สั่งให้มู่เกอปิดประตู

ในเรือนเหลือแค่อาหลานสองคน

มู่เหลียนหรงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในเรือน ตอนนี้เทียนในเรือน ถูกจุดสว่างแล้ว ทั้งสองนั่งอยู่ระหว่างเปลวเทียนที่เต้นระริกไปมา มู่เหลียนหรงมองมู่เกอด้วยสายตาซับซ้อน พูดด้วยความโมโห “ชิงเกอ ครั้งนี้ทำไมเจ้าวู่วามขนาดนี้ เจ้าเป็นความหวังเดียวของตระคูลมู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับ เจ้า ตระกูลมู่ก็จบสิ้น ปกติเจ้าจะเหลวไหลยังไง ข้าก็ไม่เคยว่า เพราะว่าในลั่วตู ตระกูลมู่สามารถปกป้องเจ้า แต่เจ้าไม่ควรจะออกจากลั่วตูคนเดียว ทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายหรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าในแคว้นฉินนี้ มีคนมากมายเท่าไรที่หวังอยากให้เจ้าตาย”

คำพูดเหล่านี้ดูรุนแรงมาก แต่มู่เกอก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วง

มู่เกอไม่ได้ตอบ เหมือนยอมรับคำตักเตือนของมู่เหลียนหรงแต่โดยดี มู่เหลียนหรงถอนหายใจ สายตาซับซ้อน มองออกไปไกล มีทั้งความเจ็บปวดและเคียดแค้น “ทุกคนคิดว่าเมื่อ 10 ปีก่อนเพราะตระกูลมีดวงไม่ดีจึงเกิดเคราะห์ร้ายไม่จบไม่สิ้น แต่ความจริงน่ะรึ? ก็แค่มีคนทนเห็นตระกูลมู่มีหน้ามีตาไม่ได้ ตอนนั้นท่านอารองและท่านย่าสองประสบเหตุไม่คาดฝันร่วงตกเหว แต่ข้าโชคดีที่รอดมาได้ท่านปู่ของเจ้าจำเป็นต้องรีบปลีกตัวกลับมาจากสงคราม ทิ้งให้พ่อเจ้าต้องอยู่ต้านศึกเพียงลำพัง คิดไม่ถึงเมื่อกลับมาเหยียบลั่วตู ก็มีข่าวว่าพ่อเจ้าตายใน สงคราม ตายในสงครามหรือ หึ”

มู่เหลียนหรงพลันยิ้มเย็นชา นัยน์ตาที่เข้มแข็งปกคลุมไปด้วยความโกรธเกลียด “พวกนั้นเป็นแค่ชาวเขาที่มารวมตัวกันพ่อเจ้าออกสนามรบตั้งแต่อายุ 13 ไม่เคยมีประวัติพ่ายแพ้จะถูกพวกชาวเขาพวกนั้นตีแตกได้อย่าง ไร กระทั่งชีวิตก็ยังต้องเอาไปทิ้ง แม้แต่ศพก็ยังหาไม่เจอ”

แท้จริงแล้วตระกูลมู่ยังมีท่านอารองอีกคนแท้จริงแล้วพ่อของมู่ชิงเกอตายแบบนี้

แววตาของมู่เกอดูสับสนในใจกลับรู้สึกเห็นใจสิ่งที่ตระกูลมู่ต้องพบเจอ ยอมตายเพื่อชาติ หลังจากมีความดีความชอบแล้วกลับถูกฆ่าเพราะความอิจฉาของผู้นำ เรื่องพวกนี้เหมือนว่าจะเป็นกันทุกโลก

ทันใดนั้นมู่เกอก็รู้สึกว่ามือของเธอได้รับสัมผัสที่นุ่มนวลและอบอุ่นทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้น สบตากับสายตาที่ดูเป็นกังวลของมู่เหลียนหรง

“ขิงเกอ ท่านปู่อายุมากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นแค่ลูกสาว ในอนาคตตระกูลมู่ต้องพึ่งเจ้า ข้าไม่หวังให้เจ้าเป็นผู้ชายที่แกร่งกล้า ขอแค่ให้เจ้าอยู่รอดปลอดภัย” พูดจบ นางก็ดึงมือของตนเองออกจากหลังมือของมู่เกอ ปัดผมข้างหูเธอออก พูดเบาๆ ว่า “บางที การที่เจ้าเป็นแบบนี้ อาจทำให้คนพวกนั้นวางใจได้”

คำพูดของมู่เหลียนหรง เหมือนจะทำให้มู่เกอเข้าใจอะไรมากขึ้น

คนอย่างมู่ซงและฐานะอย่างตระกูลมู่ที่สามารถทนพฤติกรรมอันก้าวร้าวของมู่ชิงเกอข้างนอกได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้วเกรงว่าคงเพราะไร้ซึ่งทางเลือกแล้วจริงๆ พวกเขาจึงยอมที่จะเห็นอันธพาลที่ขายหน้าตระกูลมู่ ดีกว่าที่วันหนึ่งวันใดต้องเห็นศพของมู่ชิงเกอ ตระกูลมู่ที่ดูมีเกียรติยศ อำนาจล้นฟ้าในสายตาของทุกคนกลับต้องมีชีวิตอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานแบบนี้ ความโกรธแค้นปะทุขึ้นภายในใจของมู่เกอ ตอนนี้เธอก็แยกไม่ออกว่าความรูสึกแบบนี้มาจากตัวเธอเองหรือมาจากร่างที่เป็นของมู่ชิงเกอกันแน่ “และอีกอย่างป๋ายซีเยวี่ยเด็กคนนี้ก็ไม่เลวเลย ข้าเห็นว่านางจริงใจกับเจ้า แม้เจ้าจะไม่สามารถแต่งนางให้เป็นภรรยาเอกได้ แต่ให้นางได้เป็นอนุของเจ้าก็ยังดี เจ้าก็ลองคิดดู” อยู่ๆ มู่เหลียนหรงก็พูดแบบนี้

“…………………. ” มู่เกออึ้ง อะไรคือภรรยาเอก? อะไรคืออนุ?

หรือว่าจะให้เธอแต่งภรรยา แต่งอนุเพื่อช่วยตระกูลมู่สืบทอดทายาท?

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจมู่เกอ เธอตะโกนในใจ “ข้าทำลูกไม่ได้โว้ย!”

มู่เหลียนหรงไม่ได้อยู่ในเรือนนานนัก พอโย่วเหอยกสำรับเข้ามา นางก็ออกไปเลย แล้วมู่เกอก็รับประทานอาหาร อาบนํ้าให้สบายตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังไม่ทันได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็หลับไปแล้ว

ยามเข้า มู่เกอตื่นขึ้นเพราะเสียงอันไพเราะของฮวาเยวี่ย เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสะลืมสะลือ มีฮวาเยวี่ยและโย่วเหอเปลี่ยนเสื้อผ้าและสางผมให้ มู่เกอเพลียจนลืมตาไม่ขึ้น

“คุณชาย วันนี้เกล้าผมด้วยที่ครอบผมหยกเขียวที่แกะสลักเป็นดอกเหมยอันนี้ดีนี้ไหมเจ้าคะ?” ในมือของโย่วเหอถือที่เกล้าผมที่แกะสลักประณีตงดงามฝังด้วยอัญมณีสีแดงอ่อนขึ้นมา เอ่ยถามมู่เกอเสียงเบา

มู่เกอลืมตาขึ้นเพียงเล็กน้อย มองที่เกล้าผมในมือของโย่วเหอแล้วพูดเบาๆ “ฉูดฉาดเกินไป” พูดจบก็เลือกที่เกล้าผมบนโต๊ะส่งๆ ยื่นให้โย่วเหออันหนึ่ง : “อืม ! อันนี้ ค่อยยังชั่ว”

โย่วเหอขมวดคิ้วมองที่เกล้าผมที่มู่เกอเลือก ซึ่งเป็นที่เกล้าผมที่ธรรมดามาก ไม่มีการประดับตกแต่งด้วยเพชรพลอยใดๆ ที่เกล้าผมอันนี้ เธอที่เป็นสาวใช้ส่วนตัวก็จำไม่ได้ว่า เอาเข้ามาไว้ในเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่

โย่วเหอถือที่เกล้าผมไว้รู้สึกแปลกใจในการเลือกของมู่เกอ

ฮวาเยวี่ยเองก็มองที่เกล้าผมเรียบๆ ดูธรรมดาอันนั้น ปากไวพูดว่า “ทุกครั้งที่คุณชายไปพบรุ่ยอ๋องจะต้องแต่งตัวอย่างประณีตทุกครั้งไม่ใช่รึเจ้าคะ? ที่เกล้าผมนี้…มัน”

เมื่อรูสึกได้ถึงสายตาที่แผ่ไอเย็นเยียบออกมาของมู่เกอ โย่วเหอรีบจ้องฮวาเยวี่ย ฮวาเยวี่ยกลับแลบลิ้น ก้มหน้าไม่กล้าพูดต่ออีก และจัดเสื้อผ้าให้มู่เกออย่างตั้งใจ จากนั้นมู่เกอก็สวมชุดผ้าไหมสีแดงดั่งเปลวเพลิงทั้งตัว เดินออกจากสวนสระเมฆาไป บนศีรษะประดับด้วยที่เกล้าผมธรรมดาที่ไม่เข้ากับชุดอันร้อนแรงเลยแม้แต่น้อย เรือนหน้า โถงหลักของจวนตระกูลมู่ มู่ซงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานอยู่กับรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวที่มาเยี่ยม ทั้งคู่กำลังดื่มชาและสนทนากัน

การปรากฏตัวของฉินจิ่นห้าวไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเพราะเมื่อวานก่อนกลับเขาบอกว่าจะมาจวนตระกูลมู่ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินจิ่วห้าวมาเยี่ยมแต่เช้าตอนนี้มู่เกอก็คงจะยังไม่ตื่น

โย่วเหอ ฮวาเยวี่ยและมู่เกอมาถึงโถงหลัก กำลังตัดสินใจจะเดินเข้าไป กลับพบว่าป๋ายซีเยวี่ยที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่กลับยืนอยู่ข้างๆ มู่ซงและฉินจิ่นห้าว ชงชาให้พวกเขาดื่ม

มู่เกอเลิกคิ้ว ได้ยินเสียงพึมพำของฮวาเยวี่ยที่อยู่ข้างหลังว่า “แม่นางป๋ายช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทุกครั้งที่รุ่ยอ๋องมาที่จวน ก็จะปรากฏตัวขึ้นอย่างบังเอิญเสียทุกครั้ง”

ได้ยินแบบนี้ มู่เกอกวาดสายตามองป๋ายซีเยวี่ยและฉินจิ่นห้าว

“เกอเอ๋อร””ในเมื่อมาถึงแล้วเหตุใดไม่เข้ามา” มู่ซงเห็นมู่เกอยืนอยู่จึงถาม

มู่เกอเดินเข้าไป ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงขลาดกลัวอ่อนแอดังขึ้นว่า “พี่มู่มาแล้ว ข้า      ข้าไม่ได้จงใจมาปรากฏตัวต่อหน้ารุ่ยอ๋องนะเจ้าคะ ท่านปู่เรียกให้ข้ามาชงชา ชงชาเสร็จข้าก็จะไป”

เมื่อนางพูดจบ ทุกสายตาก็หยุดอยู่บนร่างนาง ไหล่ทั้งสองข้างสั่นระริกและท่าทางน่าสงสารนั้น เพียงพอที่จะกระตุ้นความต้องการจะปกป้องของเหล่าผู้กล้าขึ้นมาได้

“น่ารังเกียจ! ครั้งที่แล้วคุณชายก็แค่ตักเตือนว่าไม่ให้นางมาพบหน้ารุ่ยอ๋องอีก ตอนนั้นนางยังร้องห่มร้องไห้บอกว่าตนเองไม่ได้มีอะไรกับรุ่ยอ๋อง ตอนนี้เห็นนายท่านกับรุ่ยอ๋องอยู่ด้วยกันจึงเสแสร้งทำตัวน่าสงสาร”

คำพูดของฮวาเยวี่ย ทำให้มู่เกอพูดอะไรไม่ออก ที่แท้ความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอและป๋ายซีเยวี่ย มีเรื่องราวที่ซับซ้อนวุ่นวายแบบนี้ด้วยหรือ?

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? รุ่ยอ๋องแค่เอ่ยถึงฝีมือการชงชาของซีเยวี่ย ข้าจึงเรียกให้นางมาก็เท่านั้น” มู่ซงอธิบาย

แต่ตัวเอกของเรื่องอย่างรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวกลับไม่ได้อธิบายอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่สายตาที่มองป๋ายซีเยวี่ยนั้นแฝงด้วยความสงสารไม่เหมือนสายตาเย็นชาที่มองมู่เกอ

คำพูดของมู่ซง ยิ่งพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ป๋ายซีเยวี่ย

มู่เกอมองนางด้วยสายตาเสียดสี พูดยิ้มๆ กับมู่ซงว่า “ท่านปู่ ชิงเกอเหมือนจะยังไม่ได้พูดอันใดเลยนะ” พูดจบ เธอก็เดินผ่านป๋ายซีเยวี่ยไปนั่งตรงที่ว่างข้างมู่ซง

ป๋ายซีเยวี่ยหน้าซีด ก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ไม่มีใครเห็นว่าในสายตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของนางวาววาบไปด้วยความโกรธแค้น

เพิ่งนั่งลง มู่เกอก็พูดยิ้มๆ กับฉินจิ่นห้าวว่า “รุ่ยอ๋อง อุตส่าห์มีใจมาเยี่ยมกระหม่อม แต่ว่าเวลานี้จะไม่เช้าไปหน่อยหรือ?” หลังจากนั้นก็พูดต่อแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ขัน “หรือเป็นเพราะเอาแต่คะนึงถึงกลิ่นหอมใบชาที่จวน ระกูลมู่ไม่รู้คลาย จึงต้องรีบรุดมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้?”

คำพูดที่แฝงไปด้วยความนัยและหยอกเย้า ทำให้ใบหน้าของป๋ายซีเยวี่ยที่ก้มตํ่าอยู่แดงขึ้นมา ดวงตาแฝงความเขินอายและรอคอยแอบมองใบหน้าเย็นชาของฉินจิ่นห้าว

มู่ซงพูดตำหนิ “เกอเอ๋อร”’อย่าพูดเหลวไหล”

มู่เกอเบะปาก แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความสนุกสนาม ในดวงตาของฉินจิ่นห้าวมีความกรุ่นโกรธวาบผ่าน แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ “ก็แค่ตอนมาเยี่ยมจวนมู่ครั้งก่อน ได้มีโอกาสลิ้มรสชาฝีมือแม่นางป๋าย วันนี้มานั่งสนทนากับนายท่านผู้เฒ่าแล้วนึกถึงก็เท่านั้น”

สักพักฉินจิ่นห้าวก็พูดด้วยนํ้าเสียงรักใคร่ตามใจว่า“ข้ารับปากกับชิงเกอว่าจะเอาของเล่นมาปลอบใจ แต่หลังจากที่กลับถึงตำหนักเมื่อคืน พยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะเอาของขวัญอะไรมาดีจึงจะเหมาะสม ฉะนั้นวันนี้ตอนเช้าพอออกจากท้องพระโรง จึงมาพร้อมกับ นายท่านผู้เฒ่า คิดว่าจะชวนชิงเกอออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก หากเจอของขวัญอะไรที่ชอบขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก” ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้มองป๋ายซีเยวี่ยแม้แต่นิด ราวกับว่าตรงนี้ไม่มีคนๆ นี้อยู่อย่างไรอย่างนั้น

ป๋ายซีเยวี่ยที่แอบมองฉินจิ่นห้าวอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ในแววตาก็ยากจะปิดบังความผิดหวังและความริษยา

“อย่างนี้นี่เอง” มู่เกอยิ้ม มองป๋ายซีเยวี่ยแล้วถามว่า

“น้องซีเยวีย เจ้าอยากไปกับพวกเราไหม?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version