Skip to content

พลิกปฐพี 12

ตอนที่ 12

ท่านอามาเยี่ยม แรกพบแม่นางดอกบัวขาว

พระจันทร์ส่องแสงสว่าง ประตูห้องยังคงปิดสนิท และไม่ได้เปิดออกเลย ในห้องไม่มีแม้กระทั่งแสงเทียนลอดมา มืดสนิท ราวกับไม่มีใครอยู่ สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์สองคนเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอดเวลา แม้ว่ารอบข้างจะไม่มีคนพวกนางก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ทั้งสองหันหลังไปมองประตูที่อยู่ข้างหลังด้วยความเป็นห่วงตลอดเวลาและสบตากันเพื่อเป็นการปลอบใจซึ่งกันและกัน คํ่าคืนนี้ลมกลางคืนพัดมาหนาวเย็น ทั้งสองที่ยังไม่ได้เข้าไปในห้อง รู้สึกว่าร่างกายหนาวเย็น อดกอดตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังแว่วมาจากนอกเรือน

พอสาวใช้ทั้งสองรู้สึกตัวก็สบตากัน แล้วพยายามดูว่า ใครมา

เขายังเดินมาไม่ถึงประตู โคมไฟในมือก็ส่องแสงสว่างบนตัวของโย่วเหอและฮวาเยวี่ย ทำให้ความมืดของบริเวณนั้นจางหายไป และช่วยขจัดความหนาวเย็นลงไปได้บ้าง

ใต้แสงเทียน ผู้หญิงตัวสูงท่าทางองอาจ สวมใส่เสื้อผ้า เครี่องแต่งกายของสตรี สวมเกราะอ่อน ใบหน้างดงามเด่นชัดของนางไร้ซึ่งการแต่งเติม ผมยาวรวบขึ้นสูงบน ศีรษะมีเพียงเครื่องประดับผมที่ดูสะดุดตาประณีต ผม ยาวปลิวไสว เพิ่มความสง่างามน่าดึงดูดให้นางได้อีกหลายส่วน

ตรงเอวของนางประดับด้วยกระบี่สั้นหนึ่งเล่ม ตัวด้ามงดงามประณีตหาใดเปรียบ แสงเทียนทำให้อัญมณีที่ฝังอยู่ด้านบนนั้นส่องแสงแวววาวท่ามกลางความมืด

อารมณ์บนใบหน้าของนาง ดูคล้ายมู่ชิงเกออยู่หลายส่วน แต่ว่าอายุมากกว่ามู่ชิงเกออยู่มาก

“คุณหนูใหญ่!”

เมื่อเห็นผู้มาเยือน โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็คุกเข่าลงทำความเคารพ

“ลุกขึ้นเถอะ” มู่เหลียนหรงผลักโคมไฟในมือของคนใช้ออก มองทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ข้างหน้า พูดเสียงเรียบๆ

“เจ้าค่ะ” โย่วเหอและฮวาเยวี่ยลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง

ตอนนี้พวกนางเพิ่งสังเกตเห็นว่า ข้างหลังคุณหนูใหญ่ประจำตระกูลมู่ท่านนี้ยังมีคนเดินตามมาอีกสองคน คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีขาวพลิ้วไหว หน้าตางดงามจับใจ ยืนอยู่ข้างหลังมู่เหลียนหรงอย่าสงบเสงี่ยม ส่วนอีกคน ก็คือสาวใช้คนสนิทของคนผู้นี้

ฮวาเยวี่ยแอบขยิบตาใส่โย่วเหอ เหมือนอยากบอกว่า ‘ท่านนี้ก็มาหรือ?’

โย่วเหอท่าเหมือนไม่เห็น ยืนก้มหน้า

มู่เหลียนหรงสังเกตเห็นว่าทั้งคู่แลกเปลี่ยนสายตากันไปมา ก็มองไปรอบๆ เห็นเรือนยังคงมืดอยู่ จึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “มืดแล้วทำไมพวกเจ้าไม่จุดไฟ แล้วคุณชายของพวกเจ้าเล่า?”

โย่วเหอเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ค่อยๆค้อมตัวลงแล้ว พูดด้วยนํ้าเสียงเรียบนิ่งว่า “หลังจากที่คุณชายกลับมา ก็เข้าไปพักผ่อน บ่าวเกรงว่าหลังจากที่คุณชายตื่นขึ้นมา แล้วจะมีอะไรให้รับใช้ไม่กล้าไปไหนไกล จึงทำให้จุดไฟช้า ก่อนที่คุณหนูใหญ่จะมา พวกเรากำลังจะไปจุดไฟพอดีเจ้าค่ะ”

มู่เหลียนหรงพยักหน้า แล้วมองห้องมืดๆ ข้างหลังสองคนนั้น พร้อมถามว่า “ตั้งแต่ไอ้เด็กบ้านั้นกลับมาก็นอนจนถึงตอนนี้เลยรึ?”

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยพยักหน้าพร้อมกัน พวกนางก็เป็นห่วงคุณชายไม่แพ้กัน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน ยามนี้ร่างอ้อนแอ้นในชุดสีขาวพลิ้วไหวก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ มู่เหลียนหรง พูดด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “ท่านอาหรง พี่มู่เพิ่งกลับจากการสนามรบ หลับจนถึงตอนนี้หรือว่าจะเป็นอะไรไปรึเปล่า?”

ยามคํ่าคืนไร้ซึ่งแสงเทียน ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ดั่งกวางน้อยของนางจึงดูสว่างไสวเป็นพิเศษ นางพูดแบบนี้ มู่เหลียนหรงจึงพลันขมวดคิ้วแน่น สายตาที่แกร่งกล้ามีความเป็นห่วงซ่อนอยู่

โย่วเหอเงยหน้าขึ้น แอบเหลือบมองไปทางหญิงชุดขาวแวบหนึ่งแล้วก้มลงไป โดยไม่ได้พูดอะไร ฮวาเยวี่ยแอบแบะปากแต่ก็รักษาความเงียบสงบไว้

ท่าทางที่ทั้งสองแสดงต่อหญิงชุดขาวนั้นไม่ได้ดูเป็นมิตรมากนัก

“ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย” มู่เหลียนหรงตัดสินใจก้าวไปทางห้องนอน

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยมองหน้ากันแล้วรีบเดินตามไป

ตามจริงแล้ว พวกนางที่เป็นสาวใช้ส่วนตัวของมู่ชิงเกอ จะต้องขัดขวางมู่เหลียนหรงที่ทำท่าราวกับจะบุกเข้าไปแบบนี้เอาไว้ แม้ว่าจะเป็นอาแท้ๆ ของนายน้อยก็ตาม แต่จนใจเพราะพวกนางก็เป็นห่วงอาการเจ้านาย จึงแอบเข้าข้างการกระทำของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่

ข้างหลังของโย่วเหอและฮวาเยวี่ย หญิงสาวชุดขาวที่ดูห่วงใยคุณชายในทีแรกสายตาพลันเย็นชา แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลอย่างรวดเร็ว นำคนใช้รีบรุดตามทุกคนไป

“ไอ้เด็กบ้า เปิดประตูให้อาเดี๋ยวนี้! ได้ยินไหม?” มู่เหลียนหรงยืนอยู่หน้าประตู ยกมือขึ้นตบประตูอย่างแรง แต่ว่าข้างในกลับไร้ชึ่งการโต้ตอบ คราวนี้มู่เหลียนหรงเริ่มใจไม่ดี พูดเสียงแข็ง “ไอ้เด็กบ้า ถ้ายังไม่เปิดประตูอีก เชื่อไหมว่าอาสามารถตีเจ้าให้ก้นลายได้?”

ยังคงไม่มีการตอบกลับ

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยยิ่งใจไม่ดี

จริงๆ แล้วไม่ว่าคุณชายจะหลับสนิทแค่ไหน ถูกคุณหนูใหญ่รบกวนแบบนี้ก็คงต้องตื่นแล้ว และคุณชายก็กลัวคุณหนูใหญ่มาโดยตลอด ได้ยินเสียงคุณหนูใหญ่แม้ต้องคลานหรือกลิ้งมาก็คงจะรีบมาเปิดประตูต้อนรับแทบไม่ทัน แต่ครั้งนี้เคาะประตูมานานขนาดนี้แล้วข้างในกลับไม่ตอบรับเลย

ชิ้ง———–

เสียงชักดาบสั้นออกจากฝักดังขึ้น

มู่เหลียนหรงที่เริ่มร้อนรน ทำท่าเหมือนคิดจะพังประตูเข้าไป

แต่ว่า ขณะที่ดาบในมือของมู่เหลียนหรงกำลังจะฟันไปที่ประตูเพี่อให้เปิดออกนั้น ภายในห้องก็มีเสียงเบาๆลอยออกมา ‘แกรก’

ประตูที่ปิดแน่นค่อยๆ เปิดออกมาเผยให้เห็นร่างที่ผอมบาง

“ท่านอาหรง พี่มู่ออกมาแล้ว ” หญิงสาวชุดขาวเดินเข้ามาจับมือที่ชูมีดขึ้นสูงของมู่เหลียนหรงเอาไว้อย่างรวดเร็ว ใบหนำอ่อนโยนใสบริสุทธิ์ของนางเต็มไปด้วยความตระหนก

จริงๆ ไม่ต้องให้นางทำแบบนี้ ดาบสั้นของมู่เหลียนหรงก็ไม่มีทางฟันลงไปแน่ มู่เหลียนหรงยืนอยู่หน้าประตู ตอนที่มู่ชิงเกอออกมาคนที่จะเห็นเป็นคนแรกก็ย่อมเป็นนางอยู่แล้ว เพียงแต่สำหรับการกระทำของหญิงสาวชุดขาว มู่เหลียนหรงเองก็ไม่ได้พูดอะไร แค่มองเธอแวบหนึ่งแล้วเก็บดาบ

“คุณชาย!”

“คุณชาย ทำไมเสื้อผ้าถึงเปียกขนาดนี้”

ฮวาเยวี่ยและโย่วเหอ วิ่งไปยืนข้างๆ มู่เกอด้วยความดีใจ ยืนอยู่ซ้ายขวาอย่างรู้หน้าที่ โย่วเหอสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวของมู่เกอ

ตอนนี้อาการของมู่เกอไม่ค่อยจะดี ร่างกายไร้เรี่ยวแรง สีหน้าขาวซีด เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อดูยับย่นและสีหน้าของเธอก็ไม่สู้ดีนัก

เธอเพิ่งหนีพ้นจากความตายมาได้ รอดชีวิตมาจากฤทธิ์ของยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ ก็ได้ยินเลียงเคาะประตูดังก้องจนหูแทบหนวก ทำให้จิตใจที่เหนื่อยล้าของเธอพลันรู้สึกหงุดงหงิดงุ่นง่านขึ้นมา จึงทำให้สายตาของเธอที่มอง ‘ผู้ก่อการร้าย’ ตรงหน้านี้ไม่ดีเอามากๆ

เพราะสายตาที่เย็นชาของมู่เกอ ทำให้มู่เหลียนหรงตกใจจนลืมพูด เจ้าของจวนตระกูลมู่มายืนจ้องกันแบบนี้ทำให้บรรยากาศ ดูแปลกประหลาดนัก

ยังดีที่โย่วเหอได้สติรีบพูดกับมู่เกอว่า “คุณชาย คุณหนูใหญ่มาเยี่ยมท่าน”

คุณหนูใหญ่?

คำเรียกขานนี้หมุนอยู่ในหัวของมู่เกอสักพัก แล้วไปเชื่อมโยงคนตรงหน้ากับข้อมูลที่มีอยู่จนสำเร็จ ที่แท้เธอก็คือลูกสาวคนเล็กของมู่ซง ท่านอาของมู่ชิงเกอและเป็นแม่ทัพหญิงคนเดียวของกองทัพฉิน แน่นอนว่า ตำแหน่งแม่ทัพหญิงนี้ได้มาเพราะฮ่องเต้ฉิน เห็นแก่หน้ามู่ซงจึงประทานให้ มู่เหลียนหรงไม่เคยออกรบ เคยแค่เข้าร่วมกระบวนการต่อต้านกบฏ แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อนำนางมาเปรียบกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนอื่นๆ แล้ว ก็ยังดูมีความองอาจห้าวหาญมากกว่าอยู่หลายส่วน นับประสาอะไรกับที่ตัวนางเองก็เป็นคนของตระกูลมู่อยู่แล้วด้วย

คนของตระกูลมู่ ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ถูกกำหนดให้ อยู่ในสนามรบทั้งนั้น!

พอรู้ฐานะของผู้มาเยือน สายตาของมู่เกอก็เริ่มมีความมืดพาดผ่าน หลุบตาลงแล้วพูดว่า “ขอโทษที่ทำให้ท่านอาเป็นห่วง ชิงเกอแค่ไม่ได้พักผ่อนดีๆ ติดกันหลายวัน จึงรู้สึกง่วงมาก”

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ดูสิ พอเจ้าหนีออกจากบ้าน ไม่ใช่แค่ท่านปูและข้าที่เป็นห่วง ซีเยวี่ยเองก็สวดมนต์ขอพรให้เจ้าทุกวันทุกคืน” มู่เหลียนหรงเก็บสายตาแปลกๆ ของมู่เกอเมื่อสักครู่เอาไว้ในใจ ดึงหญิงสาวชุดขาวข้างตัวเธอ ออกมา

‘คนนี้ใครอีกแล้วล่ะ’

ม่เกอกวาดสายตามองนางนิ่งๆ สายตาที่ใสกระจ่างดั่งลมเย็นแบบนี้ทำให้ไหล่ของหญิงเสื้อขาวสั่นน้อยๆ ในใจพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัว อย่างไร้ที่มา นางมองดูเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหมดจดตรงหน้า ในดวงตาเกิดความสงสัย

มู่ชิงเกอไม่ค่อยเหมือนเดิม เมื่อก่อนสายตาที่เขามองนางนั้นจะเต็มไปด้วยเย็นชาและไม่ชอบใจ แต่เมื่อสักครู่ นางรู้สึกว่า เขาไม่ได้มีนางอยู่ในสายตา ตัวนางไม่ได้แตกต่างจากต้นไม้และก้อนหินรอบๆ เลยแม้แต่น้อย

“นางชื่อป๋ายซีเยวี่ย ท่านพ่อของนางเคยเป็นรองแม่ทัพให้ท่านปู่ในกองทัพ ห้าปีที่แล้วตายเพราะช่วยชีวิตท่านปู่ ท่านแม่ก็ตรอมใจตายตาม เหลือนางแต่เพียงผู้เดียว ท่านปู่เป็นห่วงว่านางไม่มีพ่อแม่จะโดนคนอื่นรังแก จึงรับตัวนางเข้ามาอยู่ในจวนด้วย คนในจวนต่างเรียกนางว่าแม่นางป๋าย ถือว่าเป็นเจ้าของจวนด้วยครึ่งหนึ่ง” มู่ชิงเกอที่อยู่ในร่างโปร่งแสงลอยเข้ามาอยู่ข้างตัวมู่เกอ เอ่ยปากอย่างเฉยชา

มู่ชิงเกอไม่มองป๋ายซีเยวี่ยแม้หางตา สายตาไปหยุดที่มู่เหลียนหรงมากกว่า แต่เสียดายที่มู่เหลียนหรงไม่รู้

มู่เกอมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจ นึกย้อนกลับไปแล้ว ทุกครั้งที่มู่ชิงเกอแนะนำคนรอบข้างให้เธอได้รู้จัก จะเป็นการแนะนำในมุมมองของคนนอก ไม่ได้มีความรู้สึกส่วนตัวเลย เหมือนกับว่าให้ทุกอย่างเป็นการตัดสินของเธอ ผู้ที่มารับช่วงต่อ เธอเลิกคิ้วในใจรู้สึกชื่นชม ‘ควรบอกว่าเธอฉลาดหรือ เหมือนจะฉลาด’ ถ้ามู่ชิงเกอใส่ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไป ก็คงจะทำให้เธอเกิดความรู้สึกรังเกียจคนตรงหน้าจนสะบัดหนีไป “เจ้าเด็กบ้า เหตุใดไม่พูดอะไรเลย? ซีเยวี่ยเป็นห่วงเจ้าขนาดนี้ ยังจะไม่ดีใจอีก” เห็นมู่เกอเงียบ มู่เหลียนหรงจึงพูดเสียงแข็ง มู่เกอเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย เธอต้องดีใจอะไรหรือ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version