Skip to content

พลิกปฐพี 139-2

ตอนที่ 139-2

พวกรนหาที่ตาย!

ดวงตาที่ราวกับสามารถมองทะลุทุกอย่างได้ จ้องมองฉินจิ่นหยาง ในแววตาส่องสะท้อนภาพฉินจิ่นหยางที่ในตอนนี้ถูกความโลภในอำนาจล้างสมอง “อย่าลืมว่า หากไม่มีคนพวกกบฏที่เจ้าพูดถึง เจ้าก็คงไม่ได้เป็นฮ่องเต้”

แต่ว่า คำพูดนี้กลับทำให้ฉินจิ่นหยางโกรธ เขาพลันยืนขึ้น สะบัดแขนเสื้อใส่ฉินจิ่นเฉิน “เดิมเราก็เป็นราชนิกูลคนหนึ่ง และเป็นลูกของเสด็จพ่อ แม้เสด็จพ่อจะยังทรงพระชนมชีพอยู่ บัลลังก์ก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นของเราด้วย”

ฉินจิ่นเฉินค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในสายตาดูไม่คุ้นเคย ราวกับไม่รู้จักคนๆ นี้

“ตระกูลมู่สมควรตาย มู่ซงสมควรตาย มู่เหลียนหรงสมควรตาย เจ้ามู่ชิงเกอนั้นยิ่งสมควรตาย!” ฉินจิ่นหยางพูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด “เขาอายุมากกว่า เราไม่เท่าไหร่ เหตุใดเราจึงต้องก้มหัวให้กับเขาและคอยมองสีหน้าของเขา เราต่างหากที่เป็นฮ่องเต้แคว้นฉิน เขาเป็นเพียงขุนนาง! แคว้นฉินเป็นของตระกูลฉินของเรา! ตอนนี้ ข้างกายเรามีคนที่มีพลังเวทสูงส่งกว่าเขา เหตุใดเราจึงต้องกลัวเขาอีก ในตอนนี้เขาต่างหากที่ต้องคุกเข่า อ้อนวอนเรา! เราจะทวงความยุติธรรมที่เขาเคยดูถูกเรา!”

“เจ้าอิจฉาเขา” ฉินจิ่นเฉินพูดด้วยนํ้าเสียงอันแนบนิ่ง

ฉินจิ่นหยางราวกับถูกเหยียบหาง พูดด้วยความโกรธว่า “เหลวไหล! เราเป็นถึงเจ้าแห่งแคว้นนี้ เป็นฮ่องเต้จะไปอิจฉากบฏอย่างเขาได้อย่างไร”

“ไม่จริง” ฉินจิ่นเฉินส่ายหน้า พลันก้มสายตาลงพูดว่า “เจ้าอิจฉาเขาและหวาดกลัวเขา อิจฉาที่เขาอายุมากกว่าเจ้าเพียงไม่เท่าไหร่ แต่กลับได้ใจประชาราษฎร์ และสามารถทำเช่นนี้ได้ ชื่อเสียงของคุณชายตระกูลมู่ ทุกคนต่างรู้ดี แม้กระทั่งศัตรูอย่างแคว้นถูยังต้องเกรงกลัว เจ้าอิจฉาที่เขาแม้อายุยังน้อย กลับมีผลงานมากมายเพียงนี้ อิจฉาที่เขามีอำนาจดั่งที่ทุกคนล้วนใฝ่ฝัน กระทำอะไรก็ได้ตามใจ เจ้ากลัวเขา กลัวว่าวันหนึ่งเจ้าไม่สามารถควบคุมความอิจฉาของตนเองได้ แล้วทำให้เขารู้ จนเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเสด็จพี่ของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นคือกลัวว่า เขาไม่พอใจที่เจ้าเป็นฮ่องเต้ แล้วจะดึงเจ้าลงมาและเปลี่ยนคนขึ้นบัลลังก์”

คำพูดของฉินจิ่นเฉิน ทำให้สีหน้าของฉินจิ่นหยางขาวซีดในทันที

ความลับและความหวาดกลัวในใจของเขา ได้เปิดเผยต่อหน้าฉินจิ่นเฉินทั้งหมด

เสด็จพี่คนนี้ของเขา ยังคงเก่งกาจเหมือนเดิม

สายตาอันโหดเหี้ยมของฉินจิ่นเฉิน มีความกังวลซ่อนอยู่ ฉินจิ่นเฉินกลับพูดต่ออีกว่า “ความจริงแล้ว สิ่งที่ข้าพลาดที่สุด คือไม่สมควรให้เจ้าขึ้นบัลลังก์ ตอนแรกข้าคิดว่ารู้จักนิสัยของเจ้าดีแล้ว คิดว่าเจ้าสามารถปกครองแคว้นฉินได้ดี แต่ไม่คิดว่า ใจคน ท้ายที่สุดจะเปลี่ยนไป เพราะบัลลังก์นี้ ใจของเจ้าได้ถูกอำนาจเข้าครอบงำ ตาของเจ้าก็มืดบอดเพราะความริษยา”

ฉินจิ่นหยางยิ้มอย่างเย็นเยียบ ใบหน้ายังคงโหดเหี้ยม “เสด็จพี่ ท่านจะผิดได้อย่างไร เราคิดว่าเรื่องที่ท่านทำถูกที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องนี้ แน่นอนว่าหากมีเรา จึงจะสามารถปกครองแคว้นฉินให้ดีได้ รวมทั้งรวบรวมแคว้นระดับสามให้เป็นหนึ่งเดียวกัน!”

เขากางแขนทั้งสองข้างออก ราวกับใต้แขนเสื้อของเขา คือแคว้นระดับสามอันกว้างใหญ่

“เจ้ากำลังเพ้อฝัน” ฉินจิ่นเฉินทำลายความฝันของเขาอย่างไม่ลังเล

“ท่านผิดแล้ว!” ฉินจิ่นหยางเก็บมือ ก้มหน้าลงมองเขา ในดวงตาฉายความบ้าคลั่ง “เพียงแค่มีพวกของท่านเล่อช่วยเรา เราก็สามารถทำได้!”

ในใจของฉินจิ่นหยางเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ ตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นยอดฝีมือสายม่วงที่ทางวังหลวงส่งไปไม่รอดไปจากมือของท่านเล่อ แผนร้ายก็จุดประกายขึ้นในใจของเขา ตอนนี้ไม่อาจถอนตัวได้แล้ว!

ยอดฝีมือสายม่วง เป็นผู้ที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ล้วนถูกท่านเล่อจัดการอย่างง่ายดาย ในโลกนี้ยังมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก

เพียงแค่จัดการเสี้ยนหนามอย่างตระกูลมู่! และกำจัดหินก้อนโตอย่างมู่ชิงเกอเสีย!

ดวงตาทั้งคู่ของฉินจิ่นหยางแผ่ไอสังหารอันเย็นเยียบ

ในดวงตาที่สีดำและขาวแยกออกจากกันอย่างชัดเจน แฝงความเห็นใจและกล่าวเตือนสติว่า “อีกฝ่ายเก่งกาจเพียงนี้ เป็นคนที่เจ้าจะใช้เป็นเครื่องมือได้หรือ บางทีสุดท้ายแล้ว เจ้าอาจจะไม่เหลืออะไร ฮ่องเต้คนหนึ่ง กลับกลายเป็นหมากในมือของคนอื่น ช่างน่าสงสารและน่าสมเพช”

“เราไม่สน! หากเราสามารถครอบครองใต้หล้านี้ได้ เป็นหมากแล้วจะทำไม” เปลวเพลิงในดวงตาของฉินจิ่นหยางปะทุมากขึ้นกว่าเดิม

เขามองฉินจิ่นเฉินและพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบว่า “เสด็จพี่ เห็นแก่ที่ท่านเป็นคนทำให้เราได้ขึ้นบัลลังก์จึงได้กล่าวเตือนดีๆ ท่านคิดว่า เราไม่กล้าฆ่าท่านหรือ”

ฉินจิ่นเฉินเผยรอยยิ้ม ท่าทางไม่หวาดกลัวนั้น ทำให้ฉินจิ่นหยางแค้นจนกัดฟัน “เราจะให้เวลาท่านอีกหน่อย หากท่านยังลุ่มหลงเช่นนี้พรุ่งนี้เราจะเอาท่านขึ้นแท่นประหารพร้อมกับกบฏตระกูลมู่!”

พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและเดินจากไปทันที

ประตูตำหนักที่เปิดออก ถูกปิดสนิทลงอีกครั้ง

นอกตำหนัก เต็มไปด้วยคบเพลิงและเสียงฝีเท้า เงาร่างขององครักษ์ส่วนพระองค์ส่องสะท้อนอยู่บนหน้าต่าง เพียงพริบตา ในตำหนักของฉินจิ่นเฉินที่เพียงถูกกัก บริเวณนี้ ก็มีทหารเฝ้าอยู่มากมายและแน่นหนาจนเพียงกระทั่งนกตัวหนึ่งก็ไม่สามารถบินเข้าไปได้

ฉินจิ่นเฉินมองเงาที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างแวบหนึ่ง พลันก้มสายตาลงและไม่พูดอะไร

แอบหัวเราะเยาะตนเองในใจ บางทีตนเองยังทำผิดอีกเรื่อง นั่นคือการยกอำนาจให้ฉินจิ่นหยางมากจนเกินไป อำนาจเหล่านี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของจิตใจอันทะเยอทะยานของเขา

ถอนหายใจอย่างแรงทีหนึ่ง ฉินจิ่นเฉินก็เอามือกุมหน้าอกเอาไว้และไออย่างรุนแรงหลายที

หลังจากที่ไอเสร็จแล้ว ใบหน้าของเขาก็ขาวซีดขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้ดูโปร่งแสงมากขึ้น เขาเอายาออกมาเงียบๆ เทออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกินเข้าไป จึงได้มีแรงขึ้นมาอีกครั้ง

ฉินจิ่นหยางกลับตำหนักของตนเองไปด้วยความโกรธ ทันทีที่เข้าไป ก็อาละวาดใส่นางกำนัล ทหารในตำหนัก และไล่พวกเขาออกไป

เมื่อไม่มีคนอยู่ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเสแสร้งอีก

ใบหน้าอันงดงามแฝงความโหดเหี้ยม ความเกลียดชัง และความอิจฉาในดวงตารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ในใจมีเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่กำลังปะทุ ทำให้เกิดความกระหายอยากจะสังหารคนขึ้นมา!

“ล้วนดูถูกเราทั้งนั้น! คิดว่าหากไม่มีพวกเจ้า เราจะไม่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ใช่ไหม!” ฉินจิ่นหยางปล่อยหมัดบนโต๊ะอย่างรุนแรง อาการชาที่แผ่ซ่านมาจากมือ เทียบไม่ได้กับความเกลียดชังในใจของเขาตอนนี้ ลมยามคํ่าคืนพัดอย่างมารุนแรงดับแสงไฟภายในตำหนัก ทั้งตำหนักจึงตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เงาร่างที่อยู่ข้างหลังฉินจิ่นหยาง อัปลักษณ์ราวกับปีศาจร้าย ที่กำลังกางกรงเล็บและคำรามอย่างบ้าคลั่ง

“เหตุใดจึงมืดเพียงนี้” ทันใดนั้น ข้างหลังมีเสียงเย่อหยิ่งดังลอยมา

ฉินจิ่นหยางตกใจ ความโหดเหี้ยมในตัวสลายหายไปทันที ใบหน้ากลับคืนสู่ความสงบ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แฝงความเคารพเปี่ยมไปด้วยมารยาท เขาหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามาในตำหนักและคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านเล่อ”

ผู้มาเยือนพยักหน้าอย่างเย่อหยิ่ง

ข้างหลังเขา นางกำนัลที่ถูกฉินจิ่นหยางไล่ออกไปก่อนหน้านี้ เอาไฟข้ามาโดยไม่ต้องสั่ง และจุดไฟในตำหนักที่ถูกลมกลางคืนดับไป

แสงไฟในตำหนักสว่างขึ้น ทำลายความมืดและสะท้อนรูปลักษณ์ของผู้มาเยือน

ภายนอกของเขา เป็นชายวัยกลางคนที่อายุราวสามสิบ หน้าตาธรรมดา ไม่ได้มีความโดดเด่นอันใด ถึงขั้นที่ว่า สามารถใช้คำว่าขี้เหร่มาบรรยายได้ แต่ว่า ใบหน้าของเขากลับฉายความเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก ความยโสเช่นนั้น ราวกับทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่ง เขาก็คือผู้นำของทั้งสามคนที่บุกรุกวังหลวงแคว้นฉิน!

“อืม” เล่อเทียนไม่มองท่าทางอันนอบน้อมของฉินจิ่นหยางเลยแม้แต่เสี้ยวสายตาเดียว และนั่งลงบนบัลลังก์มังกรในตำหนักอย่างเย่อหยิ่ง ไม่สนใจท่าทางที่ไม่เป็นตัวของตัวเองของฉินจิ่นหยาง เขาถามว่า “ได้ข่าวเจ้าสวะตระกูลมู่หรือยัง” ฉินจิ่นหยางพูดอย่างระมัดระวังว่า “ตอนนี้ยังไม่มี แต่ท่านเล่อสบายใจได้ มู่ชิงเกอรักคนในครอบครัวของตนเองมาก ตอนนี้ท่านปู่และท่านอาของเขาอยู่ในมือของเรา เขาจะต้องปรากฏตัวในไม่ช้านี้แน่”

“เขาคงไม่ได้กลัวตายจนไม่กล้ามาหรอกนะ” เล่อเทียน ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ไม่หรอก!” ฉินจิ่นหยางพูดอย่างมั่นใจ “มู่ชิงเกอเป็นคนเย่อหยิ่ง และบ้าบิ่นไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่มีทางที่จะไม่ปรากฏตัวเพราะความกลัวแน่”

เล่อเทียนพยักหน้า ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลง ในร่องตาฉายความโหดเหี้ยม “แม่นางของตระกูลมู่”

ฉินจิ่นหยางอธิบายอย่างชัดเจนว่า “มู่เหลียนหรงนิสัยดุดัน หากตอนนี้มอบนางให้กับท่านเล่อ บางทีนางอาจจะยอมตาย หลังจากที่จับตัวมู่ชิงเกอได้ในวันพรุ่งนี้ เรา ค่อยพานางไปที่ห้องท่านเล่อ แล้วแต่ท่านเล่อจะเรียกใช้”

เล่อเทียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

ราวกับไม่คิดว่า เพียงหญิงสาวคนหนึ่งจะส่งผลอะไรกับงานใหญ่ แต่ก็คิดขึ้นได้ว่า หลายวันก่อนที่เขาไปที่คุก อยากจะบีบบังคับมู่เหลียนหรง ท่าทางพร้อมสู้ตาย ของนางนั้น ก็ทำให้เขาคิดได้ว่า รออีกสักคืนก็คงไม่เป็นไร

เขามีความชอบเช่นนี้หญิงสาวที่นิสัยดุดัน ก็ราวกับม้าพยศ ยิ่งรุนแรง เขายิ่งชอบ!

คิดถึงท่าทางอันดุดันของมู่เหลียนหรง เล่อเทียนก็คันยิบๆ ในใจขึ้นมา ลุกขึ้นพูดกับฉินจิ่นหยางว่า “รีบไปเตรียมการ หลังจากที่สว่างแล้ว ไม่ว่าเจ้าสวะมู่ชิงเกอจะ ปรากฏตัวหรือไม่ หลังจากที่จบเรื่องแล้ว ข้าต้องการให้แม่นางตระกูลมู่เข้าไปปรนนิบัติข้าที่ห้อง”

“รับทราบ” ฉินจิ่นหยางรีบตอบพร้อมพยักหน้า

หลังจากที่ส่งเล่อเทียนกลับไปแล้ว ท่าทางอันนอบน้อมของฉินจิ่นหยางก็หายไป เขาถือว่าการก้มหัวในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ต้องแลกกับชัยชนะในวันข้างหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version