Skip to content

พลิกปฐพี 139-3

ตอนที่ 139-3

พวกรนหาที่ตาย!

ท้องฟ้า ค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว

วันนี้ ประตูที่กั้นอาณาเขตนอกและในลั่วตูได้ถูกเปิดออก ทุกคนสามารถเข้าออกได้ตามต้องการ

เพราะฉะนั้นท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง ก็มีคนจำนวนมากเข้าเมืองและเข้าสู่อาณาเขตวังหลวง ล้อมแท่นลงทัณฑ์ยกสูงที่อยู่นอกวังหลวงไว้อย่างแน่นหนา

องครักษ์นับหมื่น ล้อมแท่นลงทัณฑ์เอาไว้หลายชั้น เพื่อไม่ให้ประชาราษฎร์บุกเข้าไป

บนกำแพงเมือง มีทหารองครักษ์หลายหมื่นนายเฝ้าอยู่ เฝ้าอยู่นอกกำแพงเมืองอย่างเคร่งครัด จนแม้กระทั่งเข็มก็แทงเข้าไปได้ยาก

บนกำแพงเมืองสูงนอกประตูเมือง ร่างในชุดสีทองลายมังกรยืนโต้สายลม แล้วนั่งลงบนบัลลังก์มังกรอันหรูหรา

ด้านซ้ายและขวาของบัลลังก์อันหรูหรายังมีเก้าอี้อยู่ด้านละสองตัว

ยอดฝีมือของวังหลวง เฝ้าอยู่ข้างล่าง ทั้งในและนอก ล้วนมีคนรักษาความปลอดภัย

การวางกำลังเช่นนี้ทำให้ประชาราษฎร์ที่มาแต่เช้าล้วนวิพากษ์วิจารณ์ในใจยังไม่ยอมเชื่อว่า เทพสงครามแห่งแคว้นฉินจะถูกมัดอยู่บนแท่นประหาร

ความภาคภูมิใจในใจของพวกเขา วีรบุรุษอายุน้อยอย่างคุณชายตระกูลมู่ จะกลายเป็นกบฏจริงๆ หรือ พวกเขาไม่เชื่อ!

เพราะเวลาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ประชาชนจึงเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

ในลั่วตู เต็มไปด้วยผู้คน ราวกับว่าประชาชนทั้งลั่วตู ขุนนางและผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนมารวมกันที่ใต้กำแพงเมือง เพื่อรอการตัดสินที่ไม่เคยมีมาก่อน!

บนกำแพงตำหนัก มีทหารนายหนึ่งเข้ามาและตะโกนว่า “ฮ่องเต้เสด็จ คุกเข่า !—– ”

เพราะคำพูดของเขา ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน ล้วนคุกเข่าลง พลันก้มหน้าและพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”

เสียงอันพร้อมเพียงกันของปราะชาชนในลั่วตู สะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ฉินจิ่นหยางดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศเช่นนั้น รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้!

เขาเดินเข้ามาและปรากฏตัวบนตำหนัก มองข้ามประชาราษฎร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แผนการในใจได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง เดินมาอยู่ตรงหน้าบัลลังก์มังกร พูดเสียงดังว่า “ตามสบาย—–!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ผู้ที่คุกเข่าอยู่ ล้วนลุกขึ้น

ในขณะนั้นเอง ทหารก็พูดด้วยเสียงแหลมขึ้นอีกครั้งว่า “เชิญท่านเล่อทั้งสาม           —–!”

ฉินจิ่นหยางที่เพิ่งนั่งลง ลุกขึ้นมา เพราะการกระทำของเขา ประชาราษฎร์ล้วนเงียบลง อยากจะรู้ว่าท่านเล่อที่ว่านี้คือใคร

เพียงครู่หนึ่ง ชายทั้งสามก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณกำแพงตำหนักอย่างเย่อหยิ่ง

จากท่าทางของฮ่องเต้ของพวกเขาแล้ว พวกเขาพอจะดูออกว่าทั้งสามคือท่านเล่อ

แต่ว่า ท่านเล่อคือใครเล่า?

ในใจของประชาราษฎร์ล้วนสงสัยและต่างวิพากษ์วิจารณ์

ในขณะนั้นเอง ทั้งสามได้เดินไปอยู่ข้างฉินจิ่นหยาง ฉินจิ่นหยางประสานมืออย่างนอบน้อม ทั้งสามนั่งลงตรงสองข้างของเขาอย่างเย่อหยิ่ง

หลังจากที่ทั้งสามนั่งลงแล้ว ฉินจิ่นหยางจึงกลับไปที่บัลลังก์ของตนเอง แล้วนั่งลง

ข้างฉินจิ่นหยาง ยังมีเก้าอี้ว่างอยู่อีกตัว

เล่อเทียนกวาดสายตาที่แฝงความเยาะเย้ยมองแวบหนึ่ง ยิ้มเยาะและไม่หันไปมองอีก

“เชิญผู้แทนพระองค์ฉินจิ่นเฉิน—–!” ทหารตะโกนเสียงสูง

ครั้งนี้ ประชาราษฎร์เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง ในใจของประชาราษฎร์ฉินจิ่นเฉินมีความสำคัญมากกว่าฮ่องเต้อย่างฉินจิ่นหยางมากนัก

ร่างอันซูบผอมและเปราะบางของฉินจิ่นเฉิน อยู่ในชุดสีเหลือง ใบหน้าขาวซีด ให้ความรู้สึกราวกับกำลังจะแตกสลาย ถูกทหารขบวนหนึ่ง ‘คุ้มกัน’ ขึ้นมาที่กำแพง

เมื่อเขาปรากฏตัวในสายตาของทุกคน คนจำนวนมากที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้คน ล้วนกำอาวุธที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น

ฉินจิ่นเฉินถูกพามาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินจิ่นหยาง ฉินจิ่นหยางพูดอย่างได้ใจว่า “เสด็จพี่ ภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ มีความสำคัญกับข้านัก ในเวลาเช่นนี้จะไม่ให้เสด็จพี่มาเห็นกับตาได้อย่างไร”

สายตาที่ราวกับอ่านใจคนได้ของฉินจิ่นเฉิน จ้องใบหน้าของฉินจิ่นหยาง ทำให้รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาดูอึดอัด

เมื่อท่าทางของฉินจิ่นหยางเปลี่ยนจากแข็งทื่อเป็นบิดเบี้ยว อยู่ๆ ฉินจิ่นเฉินก็เคลื่อนสายตาออกจากใบหน้าของเขาและกวาดสายตาไปที่เล่อเทียนและอีกสองคน

สุดท้าย เขามองไปตรงเก้าอี้ที่ว่างและพูดด้วยเสียงอันอ่อนแรงว่า “เก้าอี้ตัวนั้นเตรียมให้ข้าหรือ”

ฉินจิ่นหยางพยักหน้า

ฉินจิ่นเฉินเดินเข้าไปที่เก้าอี้ นั่งลงเงียบๆ ท่ามกลางสายตาอันเย็นเยียบของเล่อเทียนและอีกสองคน

ท่าทางเช่นนั้น ยิ่งดูสูงศักดิ์และแฝงความเป็นเชื้อพระวงศ์มากกว่าฉินจิ่นหยางที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเสียอีก ในสายตาของฉินจิ่นหยางฉายความอำมหิต ตวัดสายตาลงบนร่างกายของเขา แล้วจึงเก็บสายตา

“คงจะได้เวลาแล้วใช่หรือไม่” เล่อเทียนพูดอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป

ฉินจิ่นหยางอึ้งและตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันนอบน้อม “ใกล้แล้ว”

“ยังไม่รีบนำตัวคนมาอีก” ข้างเล่อเทียนมีชายร่างกำยำคนหนึ่งตะโกนขึ้น

ชายอีกคนที่ท่าทางนิ่งสงบ ร่างกายผอมบาง ในสายตาฉายความหยิ่งยโส

ทั้งสามไม่ได้เห็นผู้นำแคว้นฉินอยู่ในสายตา สำหรับพวกเขาแล้ว ฉินจิ่นหยางและพวกมดปลวกที่อยู่ข้างล่างก็ไม่ต่างอะไรกันเลย

ฉินจิ่นเฉินที่เห็นอ่านทุกอย่างออก ในใจยิ้มอย่างเย็นเยียบ เขายิ้ม ฉินจิ่นหยางเป็นเพียงหมากในมือของพวกเขา แต่ยังทำท่าทางได้ใจและลำพองในอำนาจเพ้อฝัน จะครองใต้หล้าอีก

“ได้ จะเอาตัวพวกเขามาตอนนี้เลย” ฉินจิ่นหยางพูดเอาใจ

หลังจากที่ช้อนสายตาขึ้นแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป ดูเคร่งขรึมมีมาดราชา และพูดกับองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ ว่า “เอาตัวมู่ซง มู่เหสียนหรงและตระกูลเช่ามาที่นี่ให้หมด”

สายตาของฉินจิ่นเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ค่อยๆ ก้มลงมอง

ตระกูลเช่า เจ้าอ้วนเช่า ผู้ที่เดินตามหลังมู่ชิงเกออยู่ทุกวันและเรียกนางว่า ‘ลูกพี่’ ไม่คิดว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ทุกคนล้วนรักตัวกลัวตาย แต่เขากลับยืนยันที่จะ ยืนข้างตระกูลมู่ จนต้องทำให้วงศ์ตระกูลลำบากไปด้วย รอยยิ้มตรงมุมปากของฉินจิ่นเฉินแฝงความเย็นเยียบ ก็ไม่รู้ว่าต้องการสื่อถึงใคร

‘ก็ไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอจะรู้หรือไม่ว่าตระกูลของเพื่อนรักต้องมาลำบากเพราะเรื่องนี้’ ฉินจิ่นเฉินคิดในใจ

ในขณะนั้นเอง ชายร่างกำยำจึงพูดขึ้นว่า “บอกว่าจะทำลายสุสานของภรรยาเจ้าหัวดื้อแล้วเอาศพมาที่นี่มิใช่หรือ เหตุใดจึงยังไม่เห็น”

คำพูดนี้ทำให้มือที่อยู่ในแขนเสื้อของฉินจิ่นเฉินกำแน่นขึ้นมาทันที ริมฝีปากทั้งสองเม้มเป็นเส้นตรง ไอสังหารที่สาดฉายออกมาจากตัวเขา เย็นเยียบจนหาที่ เปรียบไม่ได้ เสียดายที่ไม่สามารถทำอะไรคนทั้งสามผู้บ้าคลั่งได้

ฉินจิ่นหยางอธิบาย “ได้ส่งคนไปหาแล้ว เขาซ่อนภรรยาของตนเองเอาไว้อย่างลึกลับ คงจะยังหาไม่พบง่ายๆ”

“หึ ไร้ประโยชน์” ชายร่างกำยำอุทานอย่างไม่พอใจ ก็ไม่รู้ว่า ‘ไร้ประโยชน์’ ที่เขาหมายถึงคือพวกที่ถูกสั่งให้ไปหาสุสานของฉินอี้เหลียนหรือหมายถึงฮ่องเต้อย่างฉินจิ่นหยางกันแน่

สีหน้าของฉินจิ่นหยางเปลี่ยนไป แต่กลับไม่กล้าปฏิเสธ

อยู่ๆ ชายที่ท่าทางนิ่งเรียบและร่างกายผอมแห้งพูดขึ้นว่า “พี่สาม ดินแดนป่าเถื่อนเช่นนี้ ท่านหวังว่าพวกเขาจะทำงานได้ดีเพียงใดเชียว ท่านทนหน่อยเถิด”

น้ำเสียงนั้น เต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างชัดเจน

“หากข้ารู้ว่าคนที่นี่เป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่อยากมาหรอก” ชายร่างกำยำพูดอย่างเย็นเยียบ

เล่อเทียนพูดว่า “เอาเถิด พวกเจ้าทั้งสองอย่าพูดมาก ที่นี่แม้จะล้าหลัง แต่ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทุกอย่าง”

เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลง ในใจคิดถึงสิ่งที่ได้รับในช่วงที่ใช้เวลาอยู่ที่นี่

พวกเขาทั้งสามไม่ใช่คนสำคัญอันใดในตระกูลเล่อผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องใช้ชีวิตโดยการทนดูสีหน้าของคนอื่น มาถึงที่นี่ พวกเขาสามารถอยู่เหนือทุกคน เสพสมกับความ หรูหราและหญิงสาวที่คอยปรนนิบัติ รวมทั้งความเคารพจากคนนับหมื่น ความสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ทำให้เขาไม่อยากกลับไปเลย

“เข้าใจแล้ว พี่รอง” ชายหนุ่มที่ดูนิ่งเรียบพูดอย่างเสียหน้า

ชายร่างกำยำจึงเงียบไม่พูดอะไรอีก

เสียงโซ่ดังมาจากข้างล่าง คนนับร้อยสวมชุดนักโทษสีขาว มือและเท้าถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนค่อยๆ ปรากฏตัว ขึ้น ผู้ที่เดินอยู่หน้าสุดคือมู่ซงและมู่เหลียนหรง

ข้างหลังพวกเขาคือเจ้าอ้วนที่ร่างกายกลมเกลี้ยงราวกับลูกบอล

ทันทีที่เขาปรากฏตัว ก็ตะโกนเสียงดังว่า “ฉินจิ่นหยาง เจ้ากษัตริย์หน้ามืดตามัว! เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ฆ่าผู้บริสุทธิ์! เจ้าคอยดูเถิด ลูกพี่ข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”

“หุบปาก!” ผู้คุมที่อยู่ข้างๆ ฟาดหลังเขาอย่างแรงทีหนึ่ง บนแส้มีหนามติดอยู่ ทันทีที่ฟาดลงไปก็เกิดบาดแผลบนผิวหนังทันที ทำให้เกิดรอยแดงอาบเลือดเป็นริ้วๆ

ความปวดแสบตรงแผ่นหลัง ทำให้เจ้าอ้วนเช่ากลั้นหายใจ แต่เขายังคงขมวดคิ้วด้วยท่าทางเย้ยหยัน “รับความจริงไม่ได้ล่ะสิ จึงไม่กล้าให้ข้าพูดต่อ”

“เย่เจ๋อ เจ้าอย่าพูดมาก” ท่านเช่าที่เดินอยู่ข้างหลังเจ้าอ้วนเช่าพูดคำหนึ่ง แล้วก้มสายตาลง

เจ้าอ้วนเช่าหันไปมองท่านพ่อแวบหนึ่ง ท่านพ่อที่ดูแก่ชราลงไปภายในคืนเดียว ทำให้เขาสะอึก เก็บความไม่จำยอมเอาไว้ในใจ ครั้งนี้ เขาทำให้ตระกูลเช่าทั้งตระกูลต้องเดือดร้อน ทำให้ท่านพ่อต้องลำบาก เขาสามารถเสี่ยงอันตรายไปกับมู่ชิงเกอได้ แต่การทำให้คนในครอบครัวต้องลำบากกลับทำให้เขารู้สึกละอายใจนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version