ตอนที่ 141-2
สังหารกษัตริย์ แล้วอย่างไร
เมื่อถูกลากมาครึ่งทาง ฉินจิ่นหยางจึงได้สติและดิ้นรนเอาชีวิตรอด พร้อมตะโกนสุดชีวิต “ไม่! พวกเจ้าฆ่าข้าไม่ได้! หากฆ่าข้าก็ถือว่าฆ่าฮ่องเต้! เป็นความผิด
มหันต์!
“ฆ่าฮ่องเต้ ความผิดมหันต์อย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอกระตุกรอยยิ้มที่ดูขบขันตรงมุมปาก ดวงตาเย็นเยียบราวกับนํ้าแข็งในฤดูหนาว
“ฆ่าเขาซะ!”
“ฆ่าฮ่องเต้เลวนี่ซะ!”
“ฆ่าเขาซะ! แคว้นฉินของเราไม่ต้องการฮ่องเต้อย่างเขา!”
“ฆ่าเขาซะ!
“ฆ่าเขาซะ!”
“ฆ่าเขาซะ!”
หน้าวังหลวง ประชาชนที่ไม่ยอมไปไหน เมื่อเห็นฉินจิ่นหยางถูกลากมาที่แท่นประหารก็รีบตะโกนอย่างตื่นเต้นทันที
ฉินจิ่นหยางตกใจเป็นอย่างมาก เห็นดาบที่ผูกอยู่บนแท่นประหารที่ส่ายไปมา เขาก็รู้สึกตัวอ่อน เหงื่อแตกพลั่กไปทั่วทั้งร่างกาย “ไม่ พวกเจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้! ข้า เป็นฮ่องเต้! เป็นเจ้าแห่งแคว้นนะ!”
แต่ว่า คำพูดของเขาก็ถูกกลบอยู่ในคลื่นเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของเหล่าประชาชน
เสียงตะโกนของเหล่าประชาชนดังออกไปจากวังหลวง ราวคลื่นทะเลและกระจายไปทั่วทุกมุมของลั่วตู
ถึงขั้นที่ว่า กองทหารพันเพลิงที่จู่โจมอยู่ประตูลั่วตูก็ล้วนได้ยินเสียงที่ดังราวกับฟ้าร้องนี้
เหล่ากองทหารพันเพลิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สัมผัสได้ว่าคลื่นเสียงผ่านเหนือศีรษะของตนเองไป
แม่ทัพกองทหารพันเพลิงชูดาบขึ้นสูงและตะโกนออกมาอย่างกะทันหันว่า “กษัตริย์ไร้คุณธรรม มองประชาชนราวกับหมูหมา สังหารขุนนาง สังหารมันเสีย!”
รองแม่ทัพที่อยู่ข้างเขาก็พูดตาม—–
“กษัตริย์ไร้คุณธรรม มองประชาชนราวกับหมูหมา สังหารขุนนาง สังหารมันเสีย!”
“กษัตริย์ไร้คุณธรรม มองประชาชนราวกับหมูหมา สังหารขุนนาง สังหารมันเสีย!”
“กษัตริย์ไร้คุณธรรม มองประชาชนราวกับหมูหมา สังหารขุนนาง สังหารมันเสีย!”
เสียงดังออกไปเรื่อยๆ กองทหารพันเพลิงหนึ่งแสนนายชูอาวุธในมือของตนเองและตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน “สังหารมันเสีย!”
“สังหารมันเสีย!”
“สังหารมันเสีย!”
“สังหารมันเสีย!”
ทหารผู้เฝ้าประตูที่ตกเป็นเชลยและถูกรวบรวมตัวเอาไว้ คุกเข่าอยู่กับพื้น ได้ยินเสียงเหล่านี้ ต่างมองหน้ากันเงียบๆ
ไม่นาน พวกเขาก็ได้รับการปลุกใจ ล้วนลุกขึ้นมา กำหมัดแล้วชูขึ้นสูง พลันตะโกนว่า “สังหารมันเสีย!”
ตอนนี้ กองทหารตระกูลมู่หนึ่งแสนนายที่ถูกกันอยู่นอกเมืองก็กำลังเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เมื่อได้ยินเสียงดังที่ ดังอยู่นี้ ยิ่งทำให้ม้ำที่ทหารจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่ต่างแตกตื่นและร้องไม่หยุด
“เกิดอะไรขึ้น จะฆ่าใครกัน” รองแม่ทัพซงหยุดม้าและถามอย่างแปลกใจ
มีทหารเข้าไปรายงาน และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวังหลวงอย่างรวดเร็วทำให้รองแม่ทัพซ่งและทุกคนล้วนตกใจ
“ยายมันเถอะเจ้าซ่ง! สุดท้ายเราก็มาช้าไปก้าวหนึ่ง!” มีรองแม่ทัพอีกคนพูดอย่างเสียดาย
ใครอีกคนอุทานอย่างเย็นเยียบ “เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไล่ เราออกไปฝึกและปิดข่าวเงียบ กักขังตัวพวกเราเอาไว้ เพื่อไม่ให้เราไปช่วยท่านแม่ทัพ บังอาจนัก! สมควร ตายอย่างยิ่ง!”
มีคนยิ้มเยาะ “เขาคงคิดไม่ถึงว่า ไม่ใช่เพียงแค่ไม่สามารถขังเราได้ แต่ยังเสียทหารสองแสนกว่านายไปโดยเปล่าประโยชน์”
รองแม่ทัพซ่งเงียบฟัง อยู่ๆ ก็หรี่ตาลง และตะโกนว่า
“กษัตริย์ไร้คุณธรรม มองประชาชนราวกับหมูหมา สังหารขุนนาง สังหารมันเสีย!”
มีเขาคอยเป็นต้นเสียง ท่ามกลางกองทหารตระกูลมู่ที่เพิ่งเข้ามาก็เริ่มตะโกน ประโยค ‘สังหารจักรพรรดิ’
เสียงทั้งหมดนี้ รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้เหนือท้องฟ้า ทั่วทั้งลั่วตูดังลั่นดุจฟ้าร้อง ราวกับเป็นบทลงโทษจากฟ้า เสียงสนับสนุนให้ฆ่าฮ่องเต้ดังก้องไปทั่ว
ฉินจิ่นหยางทรุดอยู่บนพื้น ถูกเสียงเหล่านี้ปกคลุมเอาไว้
เขาคงคิดไม่ถึงว่า เรื่องวันนี้จะจบลงเช่นนี้ เขาคิดว่าชัยชนะวันนี้จะเป็นของเขา ถึงขั้นเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ในวังหลวงแล้ว!
แต่กลับไม่คิดว่า ตอนนี้ งานเลี้ยงของวังหลวงที่ยังไม่ทันได้เริ่ม กลับกลายเป็นพิธีตัดหัวของเขา
มองประชาชนข้างล่างที่ตกอยู่ท่ามกลางความโกรธแค้น มู่ซงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้าจะจัดการกับเขาอย่างไร” มู่ชิงเกอมองนอกวังหลวงอย่างแนบนิ่ง แล้วตอบว่า “ท่านปู่ ในเมื่อเขาต้องการชีวิตของท่าน ข้าก็ทำได้เพียงแค่เอาชีวิตของเขาก่อน มีเพียงราชวงศ์เแคว้นฉินที่ผิดต่อเรา ตระกูลมู่ของเราไม่เคยกระทำผิดต่อราชวงศ์”
มู่ซงถอนหายใจและพยักหน้า ทันใดนั้น เขาก็เศร้าสลด พลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง เขารู้สึกว่าตนเองชรามากแล้วจริงๆ ไม่เหมาะกับการฆ่าฟันกันในสนามรบอีกต่อไป
เขาในตอนนี้ เพียงแค่ต้องการชีวิตที่สงบสุขและอบอุ่นมากกว่า
คนที่ตระกูลมู่ต้องพึ่งพาในอนาคต ไม่ใช่เขา แต่เป็นหลานสาวสุดที่รักของเขา มู่ซงซ่อนสายตาและในขณะมองแผ่นหลังอันสง่าของมู่ชิงเกอ ในใจได้ตัดสินใจบางอย่าง
มู่ชิงเกอยกมือขึ้น นอกวังหลวง ประชาชนที่กำลังปะทุ เงียบลงทันที
เสียงอันสะเทือนหู เงียบลงเพียงเพราะการเคลื่อนไหวเดียวของมู่ชิงเกอ ทำให้จูหลิงนึกถึงตอนที่อยู่ในโรงโอสถ…ราวกับว่า มู่ชิงเกอเกิดมาพร้อมกับอำนาจเช่นนี้ สามารถกลายเป็นผู้นำและปลุกใจทุกคนได้อย่างง่ายดาย
นอกวังหลวงที่เงียบสงบ ฉินจิ่นหยางทรุดนั่งอยู่บนแท่นประหารอันสูง ใบหน้าขาวซีดดั่งขี้เถ้า
มู่ชิงเกอมองเขา อยู่ๆ ก็ใช้นํ้าเสียงอันเย็นเยียบตะโกนว่า “ฉินจิ่นหยาง เห็นหรือยัง นี่คือเสียงของประชาชน วันนี้ข้าไม่ได้เป็นคนที่ต้องการให้เจ้าตาย แต่เป็น ประชาชนในปกครองของเจ้า เหล่าประชาชนของเจ้าเหล่านั้น ต้องการให้เจ้าตาย”
ฉินจิ่นหยางพยักหน้านิ่งๆ ค่อยๆ กวาดสายตามองประชาชนที่มีท่าทางโกรธแค้น
เขาเห็นว่าเหล่าประชาชนส่งสายสายตาเหยียดหยาม โกรธแค้น และเกลียดชัง อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเอง พลาดแล้วจริงๆ และเป็นการกระทำผิดอย่างมหันต์
เขาคิดว่า หากสิ้นตระกูลมู่ เขาก็จะได้กลายเป็นจักรพรรดิโดยแท้และผนึกรวมผืนแผ่นดินแห่งนี้
แต่ทว่า เขาในวันนี้กลับไม่สามารถจะปกครองได้แม้กระทั่งแคว้นของตนเองให้ดี ทั้งประชาชนของตนเองก็หวังให้ตนเองตาย
มู่ชิงเกอถามเจ้าอ้วนเช่า “ก่อนหน้านี้เขาคิดจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร”
เจ้าอ้วนเช่าหยุดคิดครู่หนึ่งและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ใช้พวกเราเป็นเครื่องมือ หลอกล่อท่านออกมา แต่ว่า เขาเคยบอกว่า จะแล่ไขมัน ของข้าออกเป็นชั้นๆ”
“เย่เจ๋อ” นายท่านเช่าเอ่ยเตือน
เจ้าอ้วนเช่ารีบปิดปากและไม่กล้าพูดต่ออีก
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่ลง เผยรอยยิ้มอันคลุมเครือตรงมุมปาก “ดีมาก ชอบหั่นหรือ”
ไม่นาน มีคนถือบางสิ่งขึ้นมาบนแท่นประหาร
เหล่าประชาชนเงยหน้าอย่างประหลาดใจ หลังจากที่ทหารเปิดของสิ่งนั้นออก ทุกคนจึงรู้ว่ามันคือแหปลา
ฉินจิ่นหยางถูกลากตัวขึ้นมามัดเอาไว้บนเสา
ขั้นตอนทั้งหมดนี้ เขาไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ราวกับได้ยอมแพ้แล้ว
แต่ทว่า เมื่อชุดอันสูงศักดิ์ของเขาถูกถอดออก จนเผยให้เห็นผิวหนัง ในสายตาของเขาก็เริ่มมีความหวาดกลัว ในขณะที่แหปลาคุมตัวเขาเอาไว้เขาเริ่มดิ้นรนและพูดด้วยความกลัวว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ทำอะไร”
เส้นเอ็นของแห บาดเข้าไปในผิวหนังของเขา กลายเป็นแผลสีแดงสดที่ทับซ้อนกันมากมาย
เมื่อเขายิ่งดิ้นรน มันก็ยิ่งแน่นมากขึ้น “ศิษย์พี่จู ท่านมียาอะไรที่ทำให้คนที่บาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ตายหรือไม่” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็ถาม
จูหลิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยาที่เก่งกาจเพียงนั้นข้าไม่มี แต่ทว่า ข้ามียาที่สามารถรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้าย และทำให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาได้”
มู่ชิงเกอยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า “เพียงพอแล้ว”
จูหลิงหยิบยาออกมาจากถุงเม็ดหนึ่ง แล้วยื่นให้โย่วเหอที่อยู่ข้างๆ
โย่วเหอมองมู่ชิงเกอ ก็เข้าใจความคิดของนางผ่านสายตาของนาง จึงเดินขึ้นแท่นประหารด้วยตนเอง และยัดยาลงในปากของฉินจิ่นหยาง
“เจ้าให้ข้ากินอะไร” ฉินจิ่นหยางดิ้นรนอยากคายออกมา
แต่ทว่า เมื่อยาเข้าปากไปก็ละลายทันที ไม่ให้เขาได้มีโอกาสทำเช่นนั้น
โย่วเหอยิ้มอย่างเย็นเยียบ “ยาที่ทำให้เจ้าไม่ต้องตายเร็ว”
หมายความว่าอย่างไร!
ไม่รอให้ฉินจิ่นหยางได้ตอบโต้ เขาก็เห็นโย่วเหอถอยออกไป ต่างคนต่างถือกริชอันแหลมคมจนน่าหวาดผวา เดินตรงมาหาเขา ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้างขึ้นทันทีและกระจ่างแล้วว่า มู่ชิงเกอคิดจะทำอะไร เขาตะโกนขึ้นบนตึกวังหลวงอย่างสุดชีวิต “ฆ่าข้า! ฆ่าข้า! ฆ่าข้า! อย่าให้ข้าต้องทรมาน! อย่า…อย่าทำ
เช่นนี้กับข้า…”
ในขณะเดียวกัน หมั่นโถสีขาวเป็นตะกร้าๆ ก็ถูกเอามาวางไว้ตรงหน้าเหล่าประชาชน