ตอนที่ 142-3
การพิสูจน์หาความจริงของหานฉายไฉ่
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากอย่างแรงทีหนึ่ง ชาตินี้นางไม่มีความคิดที่จะแต่งงานมีลูกจริงๆ! ดูเหมือนว่าความหวังของท่านผู้เฒ่าอาจจะต้องพังทลายลงเสียแล้ว!
เห็นท่าทางเช่นนั้นของนาง มู่ซงก็เอามือทุบอกและถอนหายใจทันที “เฮ้อ! ตระกูลมู่ของข้ากำลังจะสูญสิ้น ตระกูลมู่ของข้ากำลังจะไร้ซึ่งผู้สืบทอด!”
มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตรงหน้ามืดมนในทันที ทั้งมีความคิดวู่วามที่อยากจะหนีไปเสียตอนนี้!
แต่ว่า แขนเสื้อของนางกลับถูกท่านผู้เฒ่าจับเอาไว้แน่น ราวกับหากวันนี้ไม่ให้คำตอบที่เป็นที่พอใจแก่ท่าน ให้ตายท่านก็ไม่ยอมหยุด!
มู่ชิงเกอพยายามดึงแขนเสื้อของตนเองกลับมา แต่กลับดึงไม่ไหว!
นางขมวดคิ้วพร้อมพูดอย่างเหลืออด “ท่านปู่ อย่าทำตัวเป็นเด็กได้หรือไม่”
“หึ! เพื่อเชื้อสายวงศ์ตระกูลของข้า วันนี้ข้าจะทำตัวเป็นเด็ก!” มู่ซงอุทานอย่างเย่อหยิ่ง จนหนวดหนากระดิก
มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออกทันที และแอบพูดในใจ หากวันหนึ่งนางเกิดบ้าขึ้นมาจนแต่งงานมีลูก ลูกที่เกิดออกมาก็ใช้แซ่ของฝ่ายชาย เกี่ยวอะไรกับการสืบทอดของ ตระกูลมู่ด้วยเล่า
มู่ชิงเกอถอนหายใจ พลางดึงแขนเสื้อของตนเองกลับมา แล้วก็พูดกับท่านผู้เฒ่าอย่างจริงจังว่า “ท่านปู่ ข้าไม่คิดถึงเรื่องนั้นจริง ๆ เมื่อเทียบกับข้าแล้ว ท่านสั่งให้ ท่านอาหาลูกเขยกลับมาจะง่ายกว่า อย่างไรท่านก็ยังแข็งแรง อาจแต่งท่านย่าอีกคนและคลอดท่านอาน้อยอีกคนให้ช้าก็เป็นไปได้!”
“เจ้า! เจ้าเด็กบ้า! พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” มู่ซงโกรธจนยกมือขึ้นมาจะตี
มู่ชิงเกอจึงฉวยโอกาสหนีออกไป
ก่อนไป ยังทิ้งท้ายด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่วห้อง “ท่านปู่ พลังเวทของท่านเพิ่งได้รับการคลายผนึก ชีพจรได้รับความเสียหาย อย่าลืมทานยาที่วางอยู่บนโต๊ะ เพื่อฟื้นฟูชีพจรเล่า”
มู่ซงที่โกรธจนสับเท้าได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที ค่อยๆ วางมือที่ยกขึ้นลงและมองขวดยาที่ไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอเอามาวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในใจซาบซึ้งอย่างเป็นที่สุด เขาพูดพร้อมดวงตาที่มีนํ้าตาเอ่อคลออยู่ “เอาเถิดๆ เจ้าเองก็โตแล้ว รู้จักแยกแยะ ข้าแก่แล้ว ก็คงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้แล้ว!”
มู่ชิงเกอหนีออกจากเรือนของมู่ซงอย่างรวดเร็ว ตลอดทาง ราวกับข้างหลังมีปีศาจร้ายไล่ตามมา
ทำให้คนใช้ทั้งจวนตระกูลมู่ล้วนมองนางด้วยความแปลกใจ
หลังจากที่ห่างออกไปไกลแล้ว มู่ชิงเกอจึงหยุดจัดเสื้อผ้าและเงยหน้ายืดอกเดินตรงไปยังเรือนรับรองของจูหลิง
เรื่องในวังหลวง แม้จะผ่านมาเพียงแค่วันเดียว แต่ทว่า ความว่องไวของฉินจิ่นเฉิน ทำให้ปัญหาทั้งหมดที่มาจากเรื่องนี้ ล้วนถูกจัดการจนเสร็จสิ้นแล้ว
ลั่วตูในตอนนี้ ดูเหมือนว่าไม่ได้ต่างอะไรกับที่ผ่านมา
แต่ทว่า ฐานะของตระกูลมู่ในลั่วตูราวกับจะไม่เหมือนเดิม!
หลายวันนี้ มู่ชิงเกอยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องในจวน ทิ้งจูหลิงเอาไว้ ตอนนี้หนีออกจากห้องของท่านผู้เฒ่า นางจึงมีเวลาไปเยี่ยมศิษย์พี่ที่เดินทางมากับนางอย่างยากลำบาก
ที่พักที่เตรียมเอาไว้ให้กับจูหลิง เป็นเรือนอันเงียบสงบเรือนหนึ่งในจวนตระกูลมู่ ทิวทัศน์แม้จะสู้สวนสระเมฆาของมู่ชิงเกอไม่ได้ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก
เมื่อมู่ชิงเกอเดินเข้าไปในเรือน จูหลิงกำลังสั่งสาวใช้ในเรือนให้ช่วยนางตากยาสมุนไพร
เห็นว่ามู่ชิงเกอเข้ามา นางจึงเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มอันร่าเริง “คุณชายวันนี้ได้พักแล้วหรือ”
มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่จูเรียกข้าว่าศิษย์น้องเถิด คุณชายอันใดกัน อย่าได้เห็นข้าเป็นคนนอก”
จูหลิงโค้งตัวลง พูดพร้อมรอยยิ้ม “คำสั่งของคุณชายมิอาจขัด”
พูดจบ นางก็พูดต่อว่า “ศิษย์น้องมู่วันนี้มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”
มู่ชิงเกอหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “ถือว่ามีอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ก็ตั้งใจมาเยี่ยมศิษย์พี่ ช่วงที่ผ่านมาทำให้ศิษย์พี่ต้องลำบาก ข้าเองก็เกรงใจ ตอนนี้เรื่องทั้งหมด ได้จบลงแล้ว ต่อจากนี้ ศิษย์พี่สามารถอยู่ในจวนตระกูลมู่ได้อย่างสบายใจ หากอยากออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกก็ย่อมได้ ข้ารับประกันว่าอยู่ในลั่วตู ท่านต้อง ปลอดภัยแน่นอน”
“ศิษย์น้องมู่เกรงใจกันเกินไปแล้ว เห็นข้าเป็นคนนอกหรืออย่างไร” จูหลินพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าตัวคนเดียว มีเจ้ายื่นมือเข้ามาช่วยก็ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้ว อีกอย่าง เรื่องที่พบเจอก่อนหน้านี้ ทำให้ข้าได้รู้และเห็นอะไรมากขึ้น ความตะลึงในใจยากที่จะจางหายไป ข้าไม่ลำบากเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน หากเจ้าไล่ข้าออกไป ไม่ให้ร่วมขบวนครั้งนี้ ข้าคงจะรู้สึกเสียใจ ในเมื่อพวกเราสัญญากันแล้วว่าจะผจญภัยนอกหลินชวน หากยังเกรงใจกันเช่นนี้ ในอนาคตจะอยู่ด้วยกันยากมิใช่หรือ”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่พูดถูก”
พูดจบ นางก็ยกมือขึ้นสะบัด โต๊ะหินในสวนก็มีเสื้อเกราะอ่อนที่ส่องแสงสีเงินวางอยู่ ทั้งยังมีดาบโค้งเล่มบางอีกสองเล่ม ซึ่งดูแหลมคมเป็นอย่าง
มาก
“นี่คือ…” จูหลิงพูดด้วยความแปลกใจ
มู่ชิงเกออธิบาย “นี่เป็นเสื้อเกราะที่ทำจากหนังและเกล็ดของมังกรวารี สามารถป้องกันพลังที่ตํ่ากว่าสายม่วงได้ อาวุธทั้งสองนี้ข้าก็สร้างขึ้นมาโดยวัดจากขนาด ตัวของศิษย์พี่จู ทั้งยังสามารถเพิ่มพลังการรบของศิษย์พี่ได้ ของศิษย์พี่ที่เหลือก็ข้าก็จัดเตรียมเอาไว้แล้ว เมื่อพบกัน ข้าจะมอบให้กับพวกเขา”
“ไวเพียงนี้เชียวหรือ!” จูหลิงพูดอย่างตะลึง ตอนนั้น มู่ชิงเกอบอกว่าจะใช้เกล็ด หนังและกระดูกของมังกรวารีสร้างเป็นเสื้อเกราะและอาวุธให้กับพวกเขา แต่ไม่ คิดว่า วันที่ได้รับจะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ และพูดกับนางว่า “ศิษย์พี่ลองดูว่าพอดีตัวหรือไม่”
“ได้” จูหลิงหรบเกราะและอาวุธแล้วเดินเข้าห้องไป มู่ชิงเกอนั่งรออยู่ในสวน หวนคิดถึงหลายวันที่ผ่านมา นางเร่งรีบให้องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยนายกินยาจากเลือดของมังกรวารี ปืนเพิ่มพลังเวทให้แก่พวกเขา ตอนนี้ พลังเวทขององครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนมากกว่าสายคราม มีมากกว่าครึ่งที่ทะลวงสู่สายนํ้าเงิน จากนั้น ก็มอบเสื้อเกราะที่ทำจากหนัง เกล็ดและชิ้นส่วนอื่นๆ ของมังกรวารีให้กับพวกเขา ยิ่งทำให้พวกเขามีอาวุธที่เก่งกาจมากขึ้น ทุกคนล้วนถือปืนมาเผชิญศึกในครั้งนี้ที่ลั่วตู
ขณะที่องครักษ์เขี้ยวมังกรกินยาจากเลือดมังกรวารีเข้าไป สภาพอันเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นยังคงติดตานาง
วินาทีนั้น นางยอมรับว่าตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัว เพื่อความมั่นคงที่มากขึ้น นางเสี่ยงโดยการเพิ่มพลังเวทของคนเหล่านี้ หากไม่ระวัง บางทีอาจจะมีคนต้องสูญเสียชีวิต
แต่ว่า แม้พวกเขาจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังคงกินยานั้นเข้าไปอย่างไม่ลังเล ทั้งยังไม่แสดงความไม่จำยอมแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น มั่วหยางก็บอกนางว่า ที่นางทำเช่นนี้ ไม่เพียงแค่เป็นการเพิ่มชัยชนะของภารกิจ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น คือไม่อยากเห็นองครักษ์เขี้ยวมังกรต้องสละชีวิตที่นั้น เพราะฉะนั้น ที่นางทำก็เพื่อชีวิตขององครักษ์เขี้ยวมังกร อย่าได้คิดมาก
เขายังพูดอีกว่า องครักษ์องครักษ์มังกรเกิดมาเพื่อนาง รบเพื่อนาง แม้ทางข้างหน้าคือความตาย พวกเขาก็จะเดินไปอย่างไม่ลังเล และถือว่ามันเป็นเกียรติอันสูงสุดอย่างหนึ่ง!
อาจจะพูดได้ว่า คำพูดของมั่วหยางทำให้มู่ชิงเกอซาบซึ้งใจ
องครักษ์เขี้ยวมังกร คือสิ่งที่ชีวิตนั้นนางขาดไม่ได้และเป็นสหายร่วมรบที่ทอดทิ้งไม่ได้!
”ศิษย์น้องมู่ พอดีตัวมาก” จูหลิงสวมเสื้อเกราะและถือดาบคู่เดินออกมา
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมอง ชุดของนางยังคงเป็นชุดเดิม แต่นางรู้ว่าในเสื้อผ้าของจูหลิงมีเสื้อเกราะอ่อนซ่อนอยู่อีกชั้น นางลุกขึ้นยืนและพูดกับจูหลิงว่า “เสื้อเกราะ อ่อนในตอนนี้สามารถป้องกันพลังที่ตํ่ากว่าสายม่วงได้เท่านั้น หากวันหนึ่งเราออกจากหลินชวน ข้าจะพัฒนาความสามารถในการป้องกันของมันให้มากกว่านี้”
“ศิษย์น้องมู่ เจ้าหลอมอาวุธเป็นจริงๆ ด้วย!” จูหลิงตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้ ในขณะที่นางเห็นมู่ชิงเกอเตรียมอาวุธให้กับองครักษ์เขี้ยวมังกร นางก็เกิดสงสัย
คำพูดในวันนี้ของมู่ชิงเกอ ถือเป็นการยืนยันแล้ว และการที่มู่ชิงเกอไม่ปิดบังนางอีกต่อไปก็ทำให้นางมั่นใจแล้วว่า มู่ชิงเกอไม่เห็นนางเป็นคนอื่น!
เรื่องนี้ ทำให้นางดีใจมาก ตอนแรก ทั้งสองควรจะเป็นศัตรูกันเพราะท่านอาจารย์ แต่กลับก่อเกิดมิตรภาพและกลายเป็นสหายกันอย่างไม่น่าเชื่อ พรหมลิขิตเช่นนี้ทำให้นางได้แต่ทอดถอนใจด้วยความรู้สึกวิเศษนัก