Skip to content

พลิกปฐพี 142-4

ตอนที่ 142-4

การพิสูจน์หาความจริงของหานฉายไฉ่

ออกจากที่พักของจูหลิง มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนเองราวกับจะลืมว่ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องไปจัดการ

แต่ทว่า กลับนึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร

เมื่อนางเดินไปถึงสวนสระเมฆาและเห็นเงาร่างของกูหยา จึงนึกขึ้นได้อย่างกะทันหันว่า ก่อนหน้านั้นนางจะไปทำอะไร

นางเดินเข้าไปหากู่หยาและพูดว่า “เรื่องนี้ถือว่าจบลงแล้ว เจ้าเองก็กลับรายงานตัวกับท่านประมุขของเจ้าได้แล้ว”

กู่หยาพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ท่านประมุขให้ข้าอยู่กับเจ้าและรอฟังคำสั่ง”

มู่ชิงเกอกลับขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้ามีองครักษ์เป็นของตนเอง ไม่จำเป็นต้องมีคนของเขาคอยอยู่ข้างๆ”

กู่หยาเหล่ตามองนาง “คุณชายถือว่าหมดประโยชน์ แล้วก็ขับไล่ไสส่งใช่หรือไม่”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “ต้นเหตุของเรื่องนี้ก็ ยากที่จะสืบว่าใครทำให้ใครเดือดร้อนกันแน่ ข้ายอมรับว่าท่านประมุขของเจ้าช่วยข้าเอาไว้หลายครั้ง แต่ทว่า ข้าเพียงต้องการพื้นที่ส่วนตัว ไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่งอีก”

เมื่อเห็นกู่หยาเงียบ มู่ชิงเกอจึงพูดต่อว่า “เจ้าวางใจเถิด บุญคุณที่ข้าติดค้างท่านประมุขของเจ้า สักวันข้าจะคืนให้แน่ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”

กู่หยาจ้องมองนางอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลัง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

มู่ชิงเกอแอบถอนหายใจ

ตั้งแต่คืนนั้น หลังจากที่ซือมั่วให้นางคิดทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง นางก็มีความคิดที่อยากจะหนี

ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอีกเลยแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอส่ายหน้าหลายที แล้วเดินเข้าห้องของตนเองไป

นางกลับไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์อันซับซ้อนของทั้งสอง ใช่ว่าจะตัดขาดจากกันง่ายๆ

เมื่อมู่ชิงเกอกลับเข้าไปในห้อง กู่หยาก็ได้กลับไปรายงานตัวกับซือมั่วด้วยวิธีการพิเศษและส่งต่อทุกคำพูดของมู่ชิงเกอให้กับเขา

หลังจากที่ซือมั่วฟังแล้ว ก็เงียบไป

ในขณะที่กู่หยาและกู่เย่คิดว่าท่านประมุขของตนเองจะโกรธจนฆ่าคน ซือมั่วกลับยิ้มอย่างเย็นเยียบ ในรอยยิ้มแฝงอันตราย ทำให้ทั้งสองมีความรู้สึกอยากจะหนีไปในทันที

“คืน? จะคืนได้หมดหรือ” คำเหล่านี้ค่อยๆ ออกจาก ปากของซือมั่วอย่างเย็นเยียบ “ฮัดชิ้ว!”

อยู่ๆ มู่ชิงเกอที่แช่นํ้าร้อนอยู่ในห้องก็จาม ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะถูจมูก

“ลูกพี่! ลูกพี่! ท่านอยู่ไหน ผู้แทนพระองค์แย่แล้ว!”

นอกประตู มีเสียงอันกระวนกระวายของเจ้าอ้วนเช่าดังเข้ามา ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา ทำให้สายตาของมู่ชิงเกอเย็นเยียบขึ้นมา ขึ้นจากนํ้าและหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม

“คุณชายเช่ารอประเดี๋ยว คุณชายของเรากำลังอาบนํ้า” นอกประตูมีเสียงห้ามของฮวาเยี่ยวดังขึ้นมา

จากนั้น เสียงฝืเท้าอันเร่งรีบก็ดังขึ้น ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงตะโกนของเจ้าอ้วนเช่านอกประตู “ลูกพี่ท่านเร็วๆ เข้า! หากช้าไปกว่านี้ ท่านผู้แทนพระองค์จะไม่รอด

แล้ว!

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ประตูที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก มู่ชิงเกอในชุดสีแดงเดินออกมา

บนร่างกายของนาง ยังมีกลิ่นหอมจางๆ หลังอาบนํ้า ทำให้เจ้าอ้วนเช่าที่เข้ามาใกล้อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้า พร้อมอุทานว่า “หอมจัง!”

มู่ชิงเกอกลับถีบเขาทีหนึ่งและถามว่า “ฉินจิ่นเฉินเป็นอะไรหรือ”

เจ้าอ้วนเช่าหดคออ้วนสั้น พลันแอบคิดในใจว่า ในแคว้นฉิน ผู้ที่กล้าเรียกชื่อท่านผู้แทนพระองค์ตรงๆ เช่นนี้ ก็คงมีเพียงแค่ลุกพี่ท่านนี้ของเขาแล้วล่ะ แล้วก็ตอบคำถามของมู่ชิงเกออย่างไม่อ้อมค้อม “ท่านผู้แทนพระองค์ป่วยหนักอย่างกะทันหัน หมอหลวงได้ทำทุกวิธีทางแล้ว ท่านพ่อจึงให้ข้ามาตามท่าน ว่าจะ สามารถเชิญพี่สาวคนสวยที่มากับท่านไปช่วยรักษาได้หรือไม่”

“ไปเถิด” ในขณะที่พูด มู่ชิงเกอก็เดินมุ่งออกไปจากสวนสระเมฆา

เจ้าอ้วนเช่าอึ้ง แล้วรีบถาม “ไปไหนหรือ”

“วังหลวง” มู่ชิงเกอตอบสั้นๆ ง่ายๆ

“วังหลวงอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนเช่าพูดอย่างตะลึง “แต่เรายังไม่ได้เรียกพี่สาวคนสวยเลยนะ!”

“ข้าไปก็พอแล้ว” มู่ชิงเกอตอบอย่างแนบนิ่ง ฝีเท้ากลับก้าวไวขึ้นหลายเท่า

“ท่านหรือ” เจ้าอ้วนเช่าอึ้งไปทันที ก่อนจะได้สติ “ลูกพี่ ท่านเก่งกาจนัก! ปรุงยาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!” เขามาหาจูหลิง แน่นอนว่ารู้ว่านางเป็นนักปรุงยา

คำพูดในตอนนี้ของมู่ชิงเกอ กำลังบอกว่าตนเองสามารถปรุงยาได้มิใช่หรือ เจ้าอ้วนเช่าวิ่งตามไป มาถึงนอกประตู มู่ชิงเกอก็ขึ้นบนหลังเพลิงรัตติกาลและมุ่งไปยังวังหลวง เจ้าอ้วนเช่าขี่ม้าธรรมดา ตามไปอย่างสุดชีวิต เมื่อมาถึงวังหลวง เจ้าอ้วนเช่าก็เหนื่อยจนหอบ

ทันทีที่แม่ทัพเช่าเห็นมู่ชิงเกอ ก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที “คุณชาย!”

พูดจบ ก็มองรอบๆ แต่กลับไม่เห็นจูหลิง ในขณะที่กำลังแปลกใจ มู่ชิงเกอกลับตอบว่า “พาข้าไปหาฉินจิ่นเฉิน”

เจ้าอ้วนเช่าวิ่งจนเหนื่อยหอบเข้ามา รีบอธิบายกับท่านพ่อของตนเองว่า “ท่านพ่อ ลูกพี่เป็นนักปรุงยา”

สายตาของแม่ทัพเช่าฉายความเคร่งขรึม รีบพูดอย่างจริงจังว่า “เชิญคุณชาย!” เมื่อมู่ชิงเกอพบกับฉินจิ่นเฉิน เขาก็นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแอยิ่ง ข้างตัวยังมีผ้าเปื้อนโลหิต หมอหลวงหลายท่านล้วนยืนอยู่ด้วยกันและวิเคราะห์วิธีการรักษา

นักปรุงยาในวังหลวงก็ต่างเอายาดีของตนเองออกมาให้ฉินจิ่นเฉินทาน แต่เขาก็อาเจียนออกมาทั้งหมด ผู้ที่อยู่ในนั้น ยังมีท่านอาจารย์ที่มู่ชิงเกอเคยพบอีกคน เขาขมวดคิ้วแน่น จ้องฉินจิ่นเฉินด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก เมื่อทุกคนเห็นมู่ชิงเกอปรากฎตัวก็ตะลึงก่อนจะโค้งคำนับนาง

ตอนนี้มู่ชิงเกออยู่ในฐานะพิเศษที่เหนือกว่าทุกตำแหน่ง ใครจะบังอาจทำให้ไม่พอใจได้

เมื่อท่านอาจารย์เห็นมู่ชิงเกอจึงรีบเดินเข้ามา แล้วโค้งคำนับพลันอ้อนวอนว่า “คุณชาย โปรดช่วยท่านอ๋องของข้า! ท่านอ๋องของข้าร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ช่วงที่ผ่านมาถูกฉินจิ่นหยางกักบริเวณก็ยิ่งหมดเรี่ยวแรง สองวันนี้ ท่านจัดการกับปัญหาในแคว้นทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่ห่วงสุขภาพของตนเองเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้

ท่าน…”

เสียงของท่านอาจารย์เริ่มสั่น พลันหันมองฉินจิ่นเฉินที่อ่อนแอจนราวกับจะแตกหัก แล้วพูดอะไรไม่ออก

“ให้ข้าดูสิ” มู่ชิงเกอเดินไปอยู่ข้างเตียง และเห็นอาการป่วยของฉินจิ่นเฉินชัดเจนกว่าเดิม

ฉินจิ่นเฉินในตอนนี้ ผิวหนังแทบจะเห็นเส้นเลือด จังหวะการหายใจของเขาติดขัด ราวกับเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิต หากไม่ใช่เพราะความเชื่อและกำลังใจ คงจะสิ้นลมไปตั้งนานแล้ว

มู่ชิงเกอก้มสายตาลง วินาทีต่อมา นางเพียงพลิกฝ่ามือ ก็พลันมียาเม็ดหนึ่งปรากฏอยู่บนมือของนาง

พลังเวทและฤทธิ์ของยาที่ซ่อนอยู่ในยาเม็ดนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง

“นี่…นี่มันยาระดับใดกัน!” นักปรุงยาในวังหลวง อดไม่ได้ที่จะถามอย่างตื่นเต้น

แต่ทว่า ในตอนนี้ กลับไม่มีใครตอบเขา ท่านอาจารย์เห็นมู่ชิงเกอเอายาออกมา ในใจก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ทว่า พอคิดถึงว่าฉินจิ่นเฉินในตอนนี้ ไม่สามารถกลืนยาได้ ก็กังวลขึ้นมาอีกครั้ง

มู่ชิงเกอใส่ยาเข้าปากของฉินจิ่นเฉิน ยาเม็ดนั้นติดอยู่ในปากโดยไม่ขยับ

ขมวดคิ้วเล็กน้อย มู่ชิงเกออ้าปากของฉินจิ่นเฉินออก เพื่อให้เม็ดยาไหลเข้าไปลึกอีกนิด “เอาน้ำมา”

มีคนเอานํ้าถ้วยหนึ่งเข้ามาทันที

มู่ชิงเกอถือถ้วยหยกมาอยู่ข้างปากของฉินจิ่นเฉินแล้วเทลงอย่างช้าๆ

ยาที่อยู่ในปาก เมื่อเจอกับนํ้าก็ละลาย ก่อนหน้านี้ เพราะปากของฉินจิ่นเฉินหยุดการหลั่งนํ้าลาย จึงไม่สามารถทำให้ละลายได้ ตอนนี้มู่ชิงเกอใช้น้ำช่วย ยาจึง ละลายแล้วก็ไหลเข้าสู่ทั่วทั้งร่างกายของฉินจิ่นเฉิน

ตอนนี้ ร่างกายที่อยู่ในสภาพเย็นยะเยือกของฉินจิ่นเฉิน อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกความอบอุ่นสายหนึ่งเข้ามาปกคลุม พาให้เขาค่อยๆ ออกจากความเย็นเยียบ ทำให้ร่างกาย ชีพจร รวมทั้งโลหิต ผิวหนังและกล้ามเนื้ออบอุ่นขึ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาจึงฟื้นขึ้นมาด้วยอาการพร่าเบลอและเห็นภาพทุกอย่างตรงหน้าชัดเจนขึ้น

ที่นี่คือวังหลวง

ตรงหน้าของเขา มืดมนลงอีกครั้ง

เขาราวกับดื่มดํ่าอยู่กับความอบอุ่นในภาพแห่งความทรงจำ

ท่ามกลางความพร่ามัว เขามองเห็นที่ข้างเตียงมีเงาร่างอันงามสง่ายืนหันหลังให้เขาอยู่

สีแดงอันเจิดจ้านั่น งดงามไร้ที่ติและไม่มีสิ่งใดมาเปรียบได้ ทำให้เขารู้ว่านางเป็นใครตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

ชิงเกอ…

ฉินจิ่นเฉินใช้เตียงพยุงตนเองขึ้นนั่ง

อยู่ๆ เขาก็พบว่า ตนเองไม่จำเป็นต้องออกแรงก็สามารถทำเช่นนั้นได้ สามารถลุกขึ้นนั่งได้อย่างง่ายดาย เมื่อนั่งอยู่บนเตียง เขามองสองแขนของตนเองด้วยความแปลกใจ รับรู้ถึงหัวใจในร่างกายตนที่เต้นอย่างมีพลัง

“ท่านฟื้นแล้ว” มู่ชิงเกอค่อยๆ หันมามองฉินจิ่นเฉิน

ฉินจิ่นเฉินมองนางอึ้งๆ และพยักหน้าช้าๆ

มู่ชิงเกอเดินเข้าไปใกล้เขา และนั่งลงข้างเตียง พลันถามว่า “ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง’’

ฉินจิ่นเฉินเอามือแนบบนหน้าอกของตนเอง เพื่อรับความรู้สึกอย่างเต็มที่ แล้วจึงพูดว่า “ข้าไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายมากถึงเพียงนี้มาก่อน ถึงขั้นรู้สึกว่าโรคของ ตนเองนั้นหายดีแล้ว”

มู่ชิงเกอพยักหน้า และพูดกับเขาว่า “ยื่นมือมา”

ฉินจิ่นเฉินยื่นมือออกไปอึ้งๆ มู่ชิงเกอจับชีพจรของเขา และตั้งใจฟังก่อนจะคลายออก “หายแล้วจริงๆ แต่ ต้องใช้เวลาฟื้นตัวสักระยะ”

ยาของนาง แน่นอนว่าไม่ใช่ยาธรรมดา

ยาเม็ดนี้เป็นยาเปลี่ยนกระดูก ระดับสูงที่มีคุณภาพระดับสมบูรณ์แบบ เป็นยาที่นางปรุงขึ้นตามอาการของฉินจิ่นเฉินเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ยาเปลี่ยนกระดูกสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของฉินจิ่นเฉินให้เขาห่างไกลจากโรคได้ และจัดการกับปัญหาสุขภาพที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด

ต่อจากนี้ ด้วยร่างกายของฉินจิ่นเฉินและการแนะแนวทางของท่านอาจารย์ หากอยากจะฝึกพลังเวทก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

“เจ้าช่วยข้าเอาไว้หรือ” ฉินจิ่นเฉินไม่ได้โง่ ทุกปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอทำให้เขาสามารถคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากที่เขาหมดสติได้

แต่ทว่า สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือ ชีวิตของเขากลับเป็นมู่ชิงเกอที่ช่วยเอาไว้

มู่ชิงเกอออกจากแคว้นฉินไป และเมื่อกลับมาอีกครั้ง ยังสามารถช่วยชีวิตของเขาไว้ได้

ทันใดนั้น ฉินจิ่นเฉินแยกไม่ออกว่าตนเองกำลังสุขหรือทุกข์ รู้สึกเพียงแค่ว่า ระยะห่างระหว่างเขาและมู่ชิงเกอ ห่างไกลออกไปอีกหลายเท่า ไกลจนเขามองเห็นเพียงแค่แผ่นหลังอันเลือนรางของนาง

“หลังจากนี้ ท่านวางแผนว่าจะให้ใครขึ้นเป็นฮ่องเต้” ไม่ได้ตอบคำถามของเขา มู่ชิงเกอก้มสายตาลงถาม

ฉินจิ่นเฉินเก็บความรู้สึกเอาไว้ มองมู่ชิงเกอด้วยดวงตา ที่ตาขาวและตาดำแยกออกจากกันอย่างชัดเจน และตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าเอง”

เมื่อออกจากวังหลวง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

มู่ชิงเกอไม่คิดว่า ฉินจิ่นเฉินจะให้คำตอบเช่นนี้กับนาง

สุดท้าย เขาก็นั่งบนบัลลังก์นั่น

ถอนหายใจทีหนึ่ง มู่ชิงเกอก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงความยินดีกับเขา หรือว่าควรพูดอะไร เพราะฉะนั้น เมื่อนางออกจากวังหลวงมา จึงปฏิเสธคำชวนไปล่องเรือของเจ้าอ้วนเช่า

กลับจวนตระกูลมู่ไป มู่ชิงเกอได้กลับไปยังสวนสระเมฆา ตอนแรกคิดจะวางเรื่องทั้งหมดเอาไว้ก่อนและพักผ่อนให้เต็มที่ แต่ว่า โย่วเหอกลับนำข่าวของแคว้นลี่มา รายงานด้วยความเร่งรีบ

“คุณชาย ทางแคว้นลี่ส่งข่าวมาว่า ฮ่องเต้ประชวนหนักอย่างกะทันหัน กำลังพิจารณาการแต่งตั้งองค์รัชทายาท ตอนนี้ฟ่งอวี๋กุยและฟ่งอวี๋เฟยกำลังแย่งชิงกัน อย่างดุเดือด ส่วนกำลังสนับสนุนของทั้งสองฝ่ายก็ขัดแย้งกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้” โย่วเหอยื่นข่าวที่จัดเรียงเสร็จแล้วให้กับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกวาดสายตาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง พลันหรี่ตาทั้งสองข้างลงและลุกขึ้นมาสั่งว่า “เตรียมม้า ไปวังหลวง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version