ตอนที่ 143-1
ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน
แคว้นลี่ เมืองฮ่วน
ภายในวังหลวง ฟ่งอวี๋เฟยในชุดหงส์สีทองอร่ามที่ปกคลุมเรือนร่างอันเย้ายวนของนางเอาไว้กำลังยืนอยู่บนมุมหนึ่งของกำแพงวัง ยืนตระหง่านรับลมอยู่ด้านบน
ผมยาวเหยียดตรงของนางถูกรวบเอาไว้ด้วยรัดเกล้าสีทอง เรียบตึงไม่สั่นไหว
ฟ่งอวี๋เฟย ณ เวลานี้ ก็ถือเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริง สูงส่งหาใดเปรียบ พอเทียบกับเถ้าแก่เนี้ยฟ่งเหนียง ในโรงเตี๊ยมที่หมู่บ้านลั่วรื่อแล้วก็ชัดเจนว่าเหมือนเป็นคนละคนกัน
สายลมแผ่วเบาพัดโชยเข้าที่ปอยผมข้างหูของนาง ขณะนั้นนางกำลังจ้องมองดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี ในแววตางามลํ้าดูหลากหลายอารมณ์นั้นก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอันลํ้าลึก
“มู่ยี่ เจ้าจริงๆ แล้วอยู่ที่ใดกันแน่? ทำไมผ่านไปสิบกว่าปีแล้วยังไม่กลับมา? เจ้ายังคงจำข้าได้อยู่หรือไม่?” ฟ่งอวี๋เฟยพูดขึ้นเสียงแผ่วเบา
ด้านหลังพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นหลังจากมาถึงด้านหลังของนางแล้วถึงหยุดลง ผู้มากล่าวขึ้นเสียงบางเบา “องค์หญิง ทางนั้นส่งจดหมายตอบกลับมาแล้วพะย่ะ ค่ะ”
ฟ่งอวี๋เฟยดึงความรู้สึกนึกคิดกลับ หมุนกายหันไป บนหน้าผากของนางประดับไว้ด้วยผงสีทองวาดเป็นลวดลายอันงดงามประณีต
“ว่าอย่างไรบ้าง?” ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวขึ้นเสียงขรึม ในนํ้าเสียงแฝงไว้ด้วยความจริงจังอยู่หลายส่วน
ในราชวงศ์ของแคว้นลี่ การแก่งแย่งของเหล่าองค์หญิง องค์ชายนั้นดุเดือดมาก แต่ว่าสำหรับคนเหล่านั้นแล้วก็ไม่มีค่าอะไรให้ต้องกล่าวถึง คนที่มีฐานอำนาจและ ความสามารถมากที่สุดก็มีแค่นางกับองค์ชายสามฟ่งอวี๋กุย
ตอนนี้ เสด็จพ่อทรงประชวรหนัก การแก่งแย่งตำแหน่ง รัชทายาทก็ถือว่ามาถึงช่วงปลายแล้ว นางนั้นเพิ่งกลับมาไม่นาน ยังต้องการการสนับสนุนจากมู่ชิงเกอ
ผู้มายื่นท่อนไม้ไผ่ในมือให้ฟ่งอวี๋เพ่ย ฟ่งอวี๋เฟยเร่งรีบรับมาก่อนจะเปิดจุกท่อนไม้ไผ่ออก ดึงจดหมายด้านในออกมา ก่อนจะอ่านมันอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
หลังจากอ่านเสร็จแล้ว แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง กล่าวกระซิบกระซาบขึ้น “เขามีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ รึ?”
ผู้ที่เร้นกายอยู่ในเงามืด ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อประโยคว่า “ไม่กี่วันมีรายงานส่งมาว่า ฮ่องเต้น้อยของแคว้นฉินถูกเขาสั่งลงโทษประหารแล่เนื้อพันๆ ชิ้นจนตาย ก่อนจะทำการแจกจ่ายเนื้อของเขาให้แก่ชาวบ้านที่ลั่วตู คนที่มีวิธีการเช่นนี้ คงไม่มีทางกล่าวเท็จ”
ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้า หัวเราะเสียงเย็นพลางกล่าวขึ้น “ถึงกับไปล่วงเกินคนเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกเสียใจแทนน้องสามจริงๆ”
“องค์หญิง ขั้นต่อไปพวกเราควรทำเช่นไร…” คนผู้นั้นหันหน้ามองมาที่นาง
ในแววตางามลํ้าของฟ่งอวี๋เฟยฉายแววถือมั่นขึ้นสายหนึ่ง กล่าวขึ้นมาคำหนึ่ง “รอ”
ในเมื่อคนผู้นั้นบอกให้รอ เช่นนั้นนางก็จะรอต่อไป
แต่ว่า ระหว่างที่รอ นางก็จำเป็นจะต้องจัดการเรื่องเรื่องหนึ่งเสียก่อน ทวงถามความจริง!
ฟ่งอวี๋เฟยเดินลงจากกำแพงวังก่อนจะมุ่งหน้าไปทางส่วนลึกของวังหลวง
ในวังหลวง นางเดินเยื้องย่างเข้าไปในตำหนักแห่งหนึ่ง โดยไร้การขัดขวาง
“แค่ก แค่ก…” ในตัวตำหนักพลันมีเสียงไอดังขึ้นมา ทั้งยังมีกลิ่นสมุนไพรอันหนาแน่น
ฟ่งอวี๋เฟยก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวรายงานใดๆ เดินตรงเข้า ไปด้านใน จ้องมองไปยังเงาร่างแก่ชราบนเก้าอี้มังกร
“เสด็จพ่อ”
ฟ่งหลันเงยหน้าขึ้น มองไปทางหญิงสาวที่กำลังเดินมาหาเขา ในแววตาทรงอำนาจฉายแววรอยยิ้มขึ้นจางๆ
“เฟยเอ๋อร์มาแล้วรึ?” ลูกสาวคนนี้ก็เป็นลูกที่เขาเอ็นดูที่สุด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน เกรงว่านางคงจะได้เป็นรัชทายาทของแคว้นลี่ตั้งนานแล้ว
ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้า เดินไปยังด้านข้างเก้าอี้มังกร หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นก่อนจะส่งมันไปให้ฟ่งหลัน
ฟ่งหลันรับมันเอาไว้ก่อนจะจิบไปอึกหนึ่ง
ฟ่งอวี๋เฟยยืนอยู่ด้านหลังของเขา นวดบ่าให้เขาเบาๆ “เสด็จพ่อทรงประชวรอยู่ พักผ่อนมากๆ เถอะเพคะ”
ฟ่งหลันยิ้มพอใจก่อนจะกล่าวขึ้น “ราชกิจนั้นหนักหนามากมาย ไหนเลยอยากพักผ่อนก็จะพักผ่อนได้?”
ฟ่งอวี๋เฟยนึ่งขรึมไป เพียงแค่นวดไหล่ให้บิดาอย่างเงียบๆ ฟ่งหลันก็ดึงความสนใจกลับไปที่ฎีกาบนมืออีกครั้ง ตั้งใจจัดการเรื่องสำคัญๆ ของแคว้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาอยู่ๆ ก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
ฟ่งอวี๋เฟยรีบหยิบกล่องกลมๆ บนโต๊ะ หลังจากเปิดฝาออกแล้ว ก็หยิบยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่ง ส่งให้ฟ่งหลัน
หลังจากฟ่งหลันกินยาลงไปแล้วอาการก็ดีขึ้นมาส่วนหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างถอดถอนใจ “คนแก่แล้ว ยิ่งนานก็ยิ่งใช้การไม่ได้”
ฟ่งอวี๋เฟยขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้น “น้องสามไปเรียนศาสตร์การปรุงยาที่โรงโอสถมา ทำไมไม่ให้เขาปรุงยาให้เสด็จพ่ออาการหายขาดเล่าเพคะ?”
“เขารึ?” ฟ่งหลันสบถขนอย่างขุ่นเคือง “องค์ชายคนหนึ่ง ไปฝึกวิชาที่โรงโอสถเดิมก็ถือว่ามีเกียรติมากมายนัก แต่เจ้าลูกไม่ได้ความผู้นี้กลับกล้าไปขโมยโอสถที่โรงโอสถทั้งยังถูกคนจับได้แล้วถูกขับไล่ออกมา เขาก็เคยพูดว่าจะปรุงยาให้ข้า แต่ข้าไม่อนุญาต”
“เสด็จพ่อทำไมจะต้องเอาสุขภาพไปผูกกับเรื่องเสียหน้าไม่เสียหน้าด้วยเพคะ?” ฟ่งอวี๋เฟยขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
ฟ่งหลันส่ายหน้า แววตาสลับซับซ้อน
ความกังวลในใจของเขาก็ไม่สามารถกล่าวกับฟ่งอวี๋เฟยได้ ถึงแม้ว่านางจะเป็นลูกสาวคนโปรดของเขาก็ตาม
นิสัยของฟ่งอวี๋กุย คนที่เป็นพ่ออย่างเขาทำไมจะไม่รู้? ถ้าหากฟ่งอวี๋เพ่ยไม่ได้กลับมา บางทีเขาอาจจะมอบบัลลังก์ให้ฟ่งอวี๋กุย แต่ตอนนี้ฟ่งอวี๋เฟยก็ได้กลับมาแล้ว
ตอนนี้ เขาก็ไม่ใช่ไม่คิดให้ฟ่งอวี๋กุยปรุงยาให้ตนเอง แต่ว่าเขาไม่กล้า
เขาก็เข้าใจถึงความโหดเหี้ยมของลูกคนนี้ดี เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายก็ไม่สนวิธีการ เขากลัวว่าพอถึงเวลาที่ฟ่งอวี๋กุยส่งตัวยาให้เขา จะไม่ใช่การรักษาอาการป่วยของเขา แต่เป็นการเอาชีวิตเขา!
ดังนั้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันกันเองของพี่น้อง เครือญาติ เขาก็จำเป็นจะต้องกำหนดตำแหน่งรัชทายาทตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ต้องช่วยเหลือรัชทายาทกำจัดอุปสรรคในภายภาคหน้า
แต่ว่า รัชทายาทจริงๆ แล้วจะแต่งตั้งใคร…ในใจของเขาตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างแน่นอน
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ?”
ในระหว่างกำลังครุ่นคิด ฟ่งหลันก็ได้เสียงเรียกของฟ่งอวี๋เฟย
เห็นเสด็จพ่อจ้องมองตนเองอย่างเหม่อลอย ฟ่งอวี๋เพ่ยก็เอ่ยถามขึ้น “เสด็จพ่อเมื่อครู่เป็นอะไรหรือเพคะ ข้า เรียกอยู่ตั้งนาน ก็ไม่ตอบกลับ”
ฟ่งหลันแสร้งยกยิ้มก่อนจะกล่าวเลี่ยงประเด็น “เพียงแค่นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นได้เท่านั้น”
ฟ่งอวี๋เฟยประคองเขาขึ้นก่อนจะเดินลงจากเก้าอี้มังกร
“ราชกิจนั้นหนักหนา เสด็จพ่อก็ต้องระวังพระวรกาย หากเหนื่อยหรือล้า ออกกำลังเดินสักนิดถึงจะดี” พูดไปพลาง นางก็พยุงฟ่งหลันเดินไปเดินมาภายในตัว ตำหนักอันโอ่อ่า
ฟ่งหลันก็ยากนักที่จะมีโอกาสได้ทำเช่นนี้ ก็เลยยอมโอนอ่อนตามนางไป
เดินไปได้สักพัก ฟ่งหลันก็พลันกล่าวขึ้น “เฟยเอ๋อร์ หลายปีมานี้เจ้าอยู่ข้างนอกสบายดีหรือไม่? ยังได้โทษพ่อที่ตอนนั้นใจร้ายอยู่หรือไม่?”