Skip to content

พลิกปฐพี 143-2

ตอนที่ 143-2

ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน

ฟ่งอวี๋เฟยก้มหน้าลงไม่กล่าววาจา ผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงค่อยกล่าวขึ้น “เสด็จพ่อ หลายปีมานี้ข้าก็มีเรื่องหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ข้าไม่อยากให้เหตุนั้นทำให้เข้าใจเสด็จพ่อผิดไป วันนี้เสด็จพ่อบอกความจริงลูกได้หรือไม่?”

ฟ่งหลันพลันสีหน้าเคร่งขรึม นํ้าเสียงขรึมลงส่วนหนึ่ง “เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกรึ?”

“เพียงแค่คิดไม่ตกเท่านั้น” ฟ่งอวี๋เฟยไม่ได้สนใจท่าทีของฟ่งหลันที่เปลี่ยนไป เพียงแค่กล่าวออกไปตามตรง “คิดไม่ตกว่าเสด็จพ่อที่แต่ไหนแต่ไรมาโปรดปรานข้า เอ็นดูข้ากลับหันมาขัดขวางงานแต่งงานของข้าสุดกำลัง คิดไม่ตกว่าเหตุใดท่านพ่อถึงเห็นเขาแล้วขัดตา คิดไม่ตกว่าเสด็จพ่อเวลานั้นทำไมถึงเปลี่ยนไปจนทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้า” ในนํ้าเสียงของฟ่งอวี๋เฟยก็แฝงไว้ด้วยความเศร้า ท่าทีและอารมณ์เช่นนั้นก็แผ่ออกไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง

ทำเอาฟ่งหลันรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นในใจ “เฟยเอ๋อร์ มีเรื่องบางเรื่องเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจน เจ้าเพียงรู้ว่าพ่อหวังดีต่อเจ้าก็พอแล้ว” ฟ่งหลันกล่าว

“เพียงแค่มู่ยี่มาจากโลกยุคกลางหรือเพคะ? หรือว่าเป็นเพราะเขาเป็นนายน้อยของตระกูลมู่? “ฟงอวี๋เพ่ยอ ยู่ๆ ก็กล่าวออกมา

ฟ่งหลันร่างชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปทางนางอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้แล้ว? เจ้ายังรู้อะไรอีก?”

ฟ่งอวี๋เพ่ยกลับกล่าวขึ้นเสียงเรียบ “ก็รู้ไม่มาก ไม่น้อย เพราะว่าเป็นเช่นนี้ ข้าถึงได้อยากรู้ความจริง แล้วก็ยิ่งไม่อยากให้ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มช่องว่าง ระหว่างเราสองคนพ่อลูก”

“ที่เจ้ากลับมาก็เพราะสาเหตุนี้?” ฟ่งหลันจ้องเขม็งไป ที่นาง

“ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง” ฟ่งอวี๋เพ่ยกล่าวขึ้นตามจริง “ปีนั้น ไม่ว่าข้าจะขอร้อง อ้อนวอนอย่างไร เสด็จพ่อก็ล้วนแต่ไม่ยอมบอกความจริงกับข้า ตอนนี้ก็ผ่านไปได้สิบปีแล้ว มู่ยี่ก็หายไปแล้ว 10 ปี ข้าก็แค่อยากรู้เพียงคำตอบเดียว ให้ข้าได้ล้มเลิกความคิดเสีย”

“เจ้า…เจ้าก็ทำไมต้องทรมานตนเองด้วย?” ฟ่งหลันแววตาฉายแววเจ็บปวดใจ

ลูกสาวของเขาชอบใครไม่ชอบ แต่กลับไปชอบคนจากโลกด้านนอก

“เสด็จพ่อ วันนี้ก็ให้คำตอบแก่ข้าเถอะ” ฟ่งอวี๋เฟยพลันคุกเข่าลง เงยหน้ามองไปทางบิดาของตน

ฟ่งหลันครุ่นคิดในใจอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้ายอมโอนอ่อน “เอาเถอะ 10 ปีแล้ว เจ้าก็ควรจะรู้ความจริงแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”

ฟ่งอวี๋เฟยรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย หลังจากลุกยืนขึ้น ก็พยุงฟ่งหลันไปนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองนั่งลงที่เท้าของเขา อิงหัวไปทางเข่าของเขาทำตัวราวกับตอนเด็กก็ไม่ปาน ฉากภาพนี้ก็ชวนให้ฟ่งหลันนึกย้อนกลับไป เขาเผยรอยยิ้มราวกับบิดาผูใจดี ยกมือขึ้นลูบไปที่เส้นผมของฟ่งอวี๋เฟยเหมือนครั้งอดีต

“เรื่องปีนั้นที่เราไม่อาจบอกเจ้า ก็เพราะว่าเจ้ามีนิสัยมุทะลุ ทั้งยังหัวแข็ง ถ้าหากเจ้ารู้ความจริง เกรงว่าคงจะกระโจนเข้าไปโดยไม่สนสิ่งใด เจ้าเป็นลูกสาวที่มีค่าที่สุดของเรา เราไม่อาจเห็นเจ้าเป็นแม่งเม่าบินเข้ากองไฟ! แต่ว่าเราในเวลาเดียวกันก็เป็นประมุขของแคว้น ยิ่งไม่อาจให้ประชาราษฎร์ได้รับความลำบากเดือดร้อน…”

คำกล่าวของฟ่งหลัน ก็ทำให้ฟงอวี๋เฟยสัมผัสได้ถึงความลำบากของเสด็จพ่อในตอนนั้น

“ปีนั้น ตอนที่เจ้าบอกเราว่าเจ้าเลือกราชบุตรเขยที่พึงใจได้แล้ว อยากให้ข้าแต่งตั้งเป็นลูกเขย ในใจของเราก็ถือว่ายินดีนัก แต่ว่า ในตอนกลางดึกวันเดียวกัน ก็มีคน ผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในวังหลวง ฝ่ามือเดียวจัดการผู้อาวุโสสายม่วงที่คุ้มกันวังหลวงจนได้รับบาดเจ็บ รู้หรือไม่ว่า เราในตอนนั้นตื่นตระหนกและหวาดกลัวเพียงไร เราเกรงว่าเขาจะคิดไม่ดีต่อแคว้นลี่ เกรงว่าเขาจะมีจุดประสงค์ร้าย แต่ว่า เขากลับบอกเราว่าขอเพียงเราทำการขัดขวางงานแต่งงานของเจ้ากับมู่ยี่อย่างสุดกำลัง ไม่ก็ไล่มู่ยี่ไปเสีย หรือสังหารเขาทิ้งก็จะดีที่สุด”

ฟ่งอวี๋เฟยฟังอยู่เงียบๆ แต่แววตางดงามทั้งสองข้างกลับค่อยๆ ฉายแววดุดันขึ้นมา

“เขาเสนอทางเลือกให้เราสองทาง หนึ่งคือไม่สนใจคำกล่าวของเขา แต่ในวันแต่งงานของเจ้าก็จะเป็นวันล่มสลายของแคว้นลี่ อีกหนึ่งคือขัดขวางพวกเจ้า ไล่สังหารมู่ยี่ เราไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก ระหว่างสองทางเลือกนี้ เราก็ทำได้แค่ต้องเลือกอย่างหลัง!” ฟ่งหลันในที่สุดก็เล่าความจริงในวันนั้นออกมา

“คนผู้นั้นเป็นใคร?” ฟ่งอวี๋เฟยเงยหน้าขึ้น มองไปทางบิดาของตน

ฝ่ายฟ่งหลันก็พลันเห็นไฟแห่งความเคียดแค้นในดวงตาคู่นั้นของนาง

ฟ่งหลันกล่าวขึ้นอย่างหมดทางเลือก “เขาก็ไม่ได้บอกฐานะของเขา แต่ว่าเราสามารถสัมผัสได้ว่า เขาที่ทำเช่นนี้ก็เพราะว่าชิงชังมู่ยี่ คิดอยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของมู่ยี่ ในเมื่อจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดคือมู่ยี่ที่นำพามา เราก็ยิ่งหวังว่าจะสามารถใช้มู่ยี่เพียงคนเดียวกำจัดภัยร้ายของแคว้นลี่ไป”

คนที่เกลียดมู่ยี่เข้ากระดูก?

อีกทั้งยังมาจากโลกภายนอก…

ศัตรูผู้นี้สำหรับฟ่งอวี๋เฟยแล้ว ก็ถือว่ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

“หลังจากนั้น เจ้ากับมู่ยี่ก็จากไป เพื่อที่จะคลายโกรธให้คนผู้นั้น เราก็ทำได้เพียงปลดตำแหน่งองค์หญิงของเจ้า ส่งกองทหารไปไล่สังหาร แต่ก็โชคดีที่เจ้าสุดท้าย แล้วไม่ได้ถูกตามทัน สามารถหนีไปได้อย่างปลอดภัย” ฟ่งหลันกล่าวขึ้นอย่างทอดถอนใจ

“เช่นนั้นคนผู้นั้นหลังจากนั้นทำเช่นไร?” ฟ่งอวี๋เฟยคิดไม่ถึงว่า เบื้องหลังการขัดขวางงานแต่งงานของนางกับมู่ยี่อย่างสุดกำลังของบิดา จะมีตัวการใหญ่เช่นนี้อยู่อีกคน

ถ้าหากคนผู้นั้นชิงชังมู่ยี่เข้ากระดูกดำจริงๆ หลังจากที่นางกับมู่ยี่หนีไปแล้ว คนผู้นั้นแน่นอนว่าจะต้องมาระบายความแค้นกับแคว้นลี่

แต่ว่า นางหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ยินว่าแคว้นลี่เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้น

เพียงแค่เคยได้ยินมาว่าหลังจากนางหนีไปได้ไม่นาน และก็เป็นตอนที่มู่ยี่หายตัวไปตอนนั้น เสด็จพ่อก็ร้อนใจเกินไปจนเกิดประชวรหนักไปรอบหนึ่ง

และก็เป็นหลังจากครั้งนั้นที่สุขภาพของเสด็จพ่อยิ่งนานวันยิ่งแย่ลง

หรือว่า…..

ฟ่งอวี๋เฟยแววตาไหววูบ อยู่ๆ ก็พลันลุกขึ้นมา หันไปกล่าวกับฟ่งหลัน “เสด็จพ่อคนผู้นั้นทำอะไรกับพระองค์?”

แต่ฟ่งหลันกลับกล่าวบ่ายเบี่ยงออกไป “ไม่มีอันใด ทั้งหมดก็ผ่านไปแล้ว เอาละ เรื่องที่เจ้าอยากรู้ก็ล้วนรู้ไปหมดแล้ว นี่ก็มืดค่ำแล้วรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เรา จัดการฎีกาที่เหลือหมดก็จะพักผ่อนแล้ว”

ฟ่งอวี๋เพ่ยก็ถูก ‘ไล่’ ออกมา

ประตูใหญ่ของตำหนักด้านหลังนางปิดสนิท ฟ่งอวี๋เฟยจ้องมองไปทางประตูใหญ่ของตำหนักที่ปิดสนิทอย่างลํ้าลึก ยืนนิ่งอยู่นานถึงจะตัดสินใจจากไป ขณะที่นางกำลังจะจากไป หัวหน้าขันทีที่อยู่รับใช้ข้างกายฟ่งหลันมานานอยู่ๆ ก็เรียกนางเอาไว้

“องค์หญิงพะย่ะค่ะ เรื่องปีนั้นหลังจากที่พระองค์ทรงจากไปแล้ว ฝ่าบาทไม่ยอมตรัสถึงเพราะกลัวว่าจะทรงกังวลใจ แต่ว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว กระหม่อมก็คงไม่กล่าวไม่ได้”

ฟ่งอวี๋เฟยมองไปทางเขา ริมฝีปากเม้มแน่นสนิท รอประโยคต่อไปของเขา

หัวหน้าขันทีกัดฟัน ข่มกลั้นนํ้าตาในดวงตาของตนพลางกล่าวขึ้น “ปีนั้นตอนที่องค์หญิงจากไป คนผู้นั้นก็เกรี้ยวกราดมาก ฝ่าบาทเพื่อที่จะให้เขาคลายโทสะ ไม่อาจไม่ส่งคนไปไล่สังหารองค์หญิงกับคุณชายมู่ แต่หลังจากนั้น กลับไม่มีข่าวคราวอยู่นาน คนผู้นั้นเพราะความโกรธ ซัดหนึ่งฝ่ามือทำลายชีพจรของฝ่าบาทจนขาดสะบั้น ทำลายการฝึกปรือพลังยุทธ์ของฝ่าบาท ทั้งยังประกาศกร้าวว่าจะสังหารคนให้หมดเมือง โชคดีที่ตอนนั้น เขาราวกับจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ถึงได้เร่งรีบจากไป ทำให้แคว้นลี่ของพวกเราพ้นภัยไปได้ ส่วนฝ่าบาทก็บาดเจ็บหนักลมหายใจรวยริน โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้คุ้มกันสายม่วงในวังกับปรมาจารย์โหลวจากโรงโอสถลงมือช่วยเหลือสุดกำลัง ถึงได้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ว่าหลังจากนั้นมาเวลาได้รับการรักษา ร่างกายก็จะดื้อยาขึ้นเรื่อยๆ องค์หญิงทรงอย่าได้กล่าวโทษฝ่าบาทอีกเลย ฝ่าบาทก็มีความลำบากใจของฝ่าบาท” หลังจากเดินออกจากตำหนักของฟ่งหลัน ฟ่งอวี๋เฟยก็ขบริมฝีปากของตัวเองจนปริแตก กลิ่นคาวเลือดแทรกซึมเข้าไปในช่องปาก แต่นางกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย นางก็ไม่เคยรู้เลยว่าบิดาของตนก็เกือบจะตายไปแล้ว ทั้งยังมีนางเป็นสาเหตุ!

ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร นางจะต้องหาตัวเขาให้เจอ! จะต้องเอาสิ่งที่เขาทำกับเสด็จพ่อทั้งหมดทวงคืนกลับมาให้ได้!

แววตาของฟ่งอวี๋เฟยกลายเป็นมุ่งมั่นขึ้นหลายส่วน องค์หญิงใหญ่ที่มีกลิ่นไอน่าเกรงขามในที่สุดก็กลับมาอย่างแท้จริงแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version