Skip to content

พลิกปฐพี 144-3

ตอนที่ 144-3

กดเจ้าให้จมดิน เอาให้จมดิน!

ฟ่งหลันรออยู่ครู่หนึ่ง พอไม่เห็นว่ามีใครแสดงท่าที ก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกอพลางกล่าวเรียกขึ้น “คุณชายมู่?”

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ เงยหน้ามองไปที่เขา “แต่เดิม เรื่องราวภายในของแคว้นลี่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเรา แต่ในเมื่อฝ่าบาทอยากทราบความคิดเห็นของข้า ข้าก็คงขอกล่าวแค่ว่าหากองค์หญิงใหญ่กลายเป็นรัชทายาท แคว้นฉินของข้าก็จะลงนานในสนธิสัญญาไม่รุกรานต่อกัน”

นางก็ไม่ได้กล่าวสาเหตุที่เลือกฟ่งอวี๋เฟย เพียงแต่กล่าวรับรองออกไปตรงๆ

ในขณะเดียวกันนางก็ยังบอกเป็นนัยๆ ว่าหากไม่ใช่ฟ่งอวี๋เฟยที่เป็นรัชทายาท นางก็จะไม่กล้ารับรองว่าเวลาใด ทหารม้าของกองทัพฉินจะควบม้าเร็วจนเกินไป ไม่ทันระวังรุกลํ้าเข้าเขตแดนของแคว้นลี่

หลังจากนางแสดงท่าทีแล้ว เฮ่อเหลียนถัวถัวก็เร่งรีบจะแสดงความจงรักภักดี ราวกับกลัวว่ามู่ชิงเกอจะรู้ความคิดไม่ดีก่อนหน้าของเขา “แคว้นถูของข้าก็เหมือนกัน ไม่ ว่าแคว้นฉินจะพูดอะไร แคว้นถูของพวกเราก็กล่าวเช่นนั้น”

ท่าทางเลียแข้งเลียข้าเช่นนี้ก็ทำเอาคนไม่น้อยยิ้มหยันขึ้นในใจ

แต่มู่ชิงเกอสำหรับพวกเขาแล้วก็รู้สึกเลื่อมใสขึ้นมาไม่น้อย สามารถจัดการแคว้นถูที่แต่ไหนแต่ไรทั้งรบเก่งและป่าเถื่อนได้จนอยู่หมัดเช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้พบเจอนัก

อาจจะมีบางคนสงสัยว่า ในเมื่อแคว้นฉินลอบเข้าไปก่อการที่วังหลวงของแคว้นถูได้ เช่นนั้นทำไมแคว้นถูถึงไม่ส่งมือสังหารเข้าแคว้นฉิน จับตัวฮ่องเต้ของพวกเขา ใช้วิธีการหนามยอกเอาหนานบ่ง แต่หากเอามาคิดในทางกลับกันให้ดีๆ มู่ชิงเกอเองนั้นก็ยังสามารถสังหารฮ่องเต้ของตนได้ตามอำเภอใจ แสดงชัดเจนว่าไม่ได้ สนใจความเป็นตายของฮ่องเต้ ถ้าหากเจ้าฆ่าไปคนหนึ่ง เขาหาอีกคนมาเป็นแทนก็ได้แล้ว

อีกอย่าง ถ้าหากวิธีการเช่นนี้สามารถใช้ได้ง่ายๆ แต่ละแคว้นก็คงจะวุ่นวายมาตั้งนานแล้ว คนในราชวงศ์ก็คงจะรู้สึกไม่ปลอดภัย

เรื่องราวเช่นนี้ พบเจอแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว

แคว้นถูที่ต้องเกรงกลัวแคว้นฉินก็เพราะกลัวว่ามู่ชิงเกอจะใช้วิธีการที่คาดเดายากอันใดออกมาอีก สำหรับแคว้นถูแล้ว วิธีการของเขาก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจน ขวัญผวา

เฮ่อเหลียนถัวถัวหลังจากแสดงท่าทีแล้ว สีหน้าของฟ่งอวี๋กุยก็กลายเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง

เขาก่อนหน้าที่ไปหาเฮ่อเหลียนถัวถัว ก็ได้รับปากเอาไว้ว่าหากเขาได้เป็นรัชทายาทของแคว้นลี่ ก็มีความคิดเห็นชอบส่งทหาร ส่งออกไปโจมตีแคว้นฉินพร้อมกับแคว้นถู ตอนนั้นเฮ่อเหลียนถัวถัวถึงแม้จะปฏิเสธ แต่ก็ยังแสดงท่าทีลังเลอยู่เล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าพอมาวันนี้อยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอ คนผู้นี้จะแสดงท่าทีออกมาอย่างจริงจังเช่นนี้!

แคว้นฉิน แคว้นถูหลังจากแสดงท่าทีแล้ว ก็ทำเอาในหมู่ขุนนางคนที่สนับสนุนฟ่งอวี๋เฟยพลันนั่งเชิดหลังเหยียดตรงขึ้นมา

จ้าวหนานซิงพลันแย้มยิ้มขึ้นจางๆ หันไปกล่าวกับฟ่งหลัน “แคว้นอวี๋ของข้าก็รู้สึกว่าให้คนที่มีคดีขโมยของติดตัวขึ้นเป็นรัชทายาทนั้นก็ไม่สู้ให้องค์หญิงใหญ่มาเป็นรัชทายาทเสียดีกว่า องค์หญิงใหญ่ถึงแม้จะจากวังหลวงไปสิบปี แต่ว่าเรื่องราวในตอนนั้น ข้าก็ได้ยินมาบ้าง ก็ถือว่าน่านับถือนัก ถ้าหากองค์หญิงได้สืบทอดตำแหน่ง ข้าก็อยากให้แคว้นลี่กับแคว้นอวี๋ของเรากลายเป็นพันธมิตรต่อกัน”

จ้าวหนานซิงก็ฝากรอยแผลให้ฟงอวี๋กุยไว้รอยหนึ่งโดย ไม่เห็นเลือด ก็ถือว่าเป็นรอยแผลของการถูกตีแสกหน้ากลางหมู่ขุนนางบุ๋นบู๊และคณะทูตของแต่ละแคว้น

ฟ่งหลันก็เพราะคำว่า ‘ผู้ที่มีคดีขโมยของติดตัว’ สีหน้ากลายเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง

ส่วนฟ่งอวี๋กุยก็พลันยืนขึ้นมา มองไปทางจ้าวหนานซิงอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับว่าเคียดแค้นจนอยากจะสังหาร เขาก็ไม่ปาน

“ลูกชั่ว นั่งลงเดี๋ยวนี้!” ฟ่งหลันตวาดขึ้นเสียงดัง “ตัวเองทำเรื่องน่าไม่อายเช่นนี้เองแท้ๆ ยังจะมากลัวคนอื่นถากถางต่อว่าอีกทำไม?”

“เสด็จพ่อ ลูกก็ไม่ได้ขโมยโอสถ! ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะมีคนชั้นตํ่าต้องการใส่ร้ายข้า!” ฟ่งอวี๋กุยมือทั้งสองข้างกำหมัดเข้าหากัน จ้องมองไปทางจ้าวหนานซิงกับมู่ชิงเกออย่างชิงชัง

เพียงแต่ ฟ่งหลันกลับไม่อยากฟังคำอธิบายของเขา ตวาดกล่าวออกไปตรงๆ “ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จ เจ้าท้ายที่สุดก็ออกมาจากโรงโอสถด้วยความผิดนี้ในเมื่อ เป็นการป้ายสี เจ้าตกหลุมพราง ก็สามารถบอกได้ว่า ความสามารถของเจ้าอ่อนต้อยกว่าเขา! เจ้านั่งลงเดี๋ยวนี้!”

ฟ่งอวี๋กุยดวงตาแดงก่ำ สบตากับฟ่งหลันหนหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากที่นั่งไปด้วยความโมโห ล้วนแต่ไม่สนใจว่าตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นไร

ฟ่งหลันก็ถูกการกระทำของฟ่งอวี๋กุยทำเอาโกรธจัด ทันใดนั้น ต้าอูแคว้นปาที่นั่งเงียบมาโดยตลอดก็ค่อยๆ เปิดปากขึ้น “องค์ชายสามมีนิสัยเช่นนี้ ดูท่าองค์หญิง ใหญ่จะเหมาะกับการเป็นรัชทายาทมากที่สุด”

ทั้งสี่แคว้นล้วนแต่พากันยืนอยู่ข้างเดียวกับฟ่งอวี๋เฟย

ฟ่งอวี๋เฟยถึงแม้จะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังคงตกตะลึงอยู่ นางที่ตกตะลึงก็ไม่ใช่เพราะผลลัพธ์ในตอนนี้ แต่เป็นตกตะลึงในความสามารถของมู่ชิงเกอ

สองปีก่อน เขายังเป็นเพียงจอมเสเพลที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ของแคว้นฉิน มาตอนนี้ กลับกลายเป็นบุคคลที่สามารถ ก่อลมก่อฝนในแคว้นระดับสามได้เสียแล้ว

แล้วตัวเขาเองในตอนนี้ก็กลายมามีความสามารถมากมายเช่นกัน ทำให้ผู้คนไม่อาจไม่ยกย่องแหงนมองได้

งานเลี้ยงในวังหลวงก็ยังถือว่าจบลงอย่างสมบูรณ์

วันที่สองหลังจากได้รับการสนับสนุนและคำรับรองจากสี่คณะทูต รวมกับการกระทำของฟ่งอวี๋กุยในงานเลี้ยง ฟ่งหลันก็ทำการประกาศว่าจะแต่งตั้งฟ่งอวี๋เฟยเป็นรัชทายาทสู่ภายนอกอย่างไม่ลังเลอีก สองวันหลังจากนั้นก็จะเป็นพิธีแต่งตั้ง

ตอนที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ในจวนของฟ่งอวี๋กุยก็ราวกับถูกม่านหมอกอันดำมืดเข้าปกคลุมอย่างไรอย่างนั้น

เต็มไปความอึมครึม

ภายในห้อง เขาเสื้อผ้าอาภรณ์ยุ่งเหยิง บนพื้นเย็นยะเยือกก็ยังนอนอยู่ด้วยซากศพเปลือยเปล่าของหญิงสาวนางหนึ่ง ใบหน้าเช่นนั้น ก็เป็นนางบำเรอคนโปรดของ เขา จูเหม่ยเอ๋อร์

บนร่างของจูเหม่ยเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยรอยแส้ เนื้อผิวหนังแตกยับเยิน เลือดเจิ่งนองอยู่เต็มพื้น

ในมือของฟ่งอวี๋กุย ด้านบนของแส้หนังก็เติมไปด้วยรอยเลือด

เขานั่งอยู่ในห้อง สีหน้าดำทะมึนจนน่ากลัว กลิ่นไออำมหิตคละคลุ้ง ราวกับกำลังจะก้าวเข้าสู่ความบ้าคลั่ง

ด้านนอกประตูอยู่ๆ ก็ดังขึ้นมาด้วยเสียงเคาะเบาๆ

ฟ่งอวี๋กุยไม่ได้เอ่ยเสียง คนด้านนอกประตูก็พลันกล่าว ขึ้นอย่างระมัดระวัง “องค์ชาย ฝ่าบาทประกาศโองการแต่งตั้งองค์หญิงใหญ่เป็นองค์รัชทายาทแล้วพะย่ะค่ะ”

เนื้อหาข่าวเช่นนี้ก็ทำเอาฟ่งอวี๋กุยยิ่งคลุ้มคลั่งขึ้นไปอีก เขาพลันกำหมัดขึ้น แสงสีครามสายหนึ่งพลันพุ่งเข้าใส่ ประตูที่ปิดสนิท

ประตูใหญ่ก็พลันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดออกมา

คนด้านนอกยังโชคดีที่หลบได้ทันเวลา ถึงได้รอดชีวิตไปได้

“ไสหัวไป! ออกไปให้หมด!” ในห้องก็ลอยมาด้วยเสียงอันคลุ้มคลั่งของฟ่งอวี๋กุย

คนด้านนอกประตูก็ตกใจจนเร่งร้อนหลบออกไปไกล

ในขณะเดียวกันก็มีคนจากด้านนอกวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ตะโกนร้องเรียกเสียงดัง “องค์ชาย องค์ชาย ไม่ดีแล้ว! ฝ่าบาทส่งกองทหารมาล้อมจวนเอาไว้หมดแล้ว ห้ามไม่ให้คนทั้งหมดเข้าออก ในวังหลวงก็มียอดฝีมือออกมาด้วยส่วนหนึ่ง เฝ้าระวังอยู่ด้านนอก”

แววตาของฟ่งอวี๋กุยพลันฉายแววแหลมคมขึ้นมา หัวเราะขึ้นเสียงเย็น “เสด็จพ่อนะเสด็จพ่อ ท่านก็ช่างเจ้าเล่ห์นัก! ถึงกับอดรนทนไม่ไหวที่จะช่วยปูทางให้คนชั้นต่ำผู้นั้นแล้วรึ?”

เสียงโลหะกระทบกันดังเข้ามา

กองทหารส่วนพระองค์กองหนึ่งเดินเข้ามาในจวนของฟ่งอวี๋กุยอย่างขึงขัง ในมือยกราชโองการพลางกล่าวขึ้น “มีราชโองการ องค์ชายสามรับราชโองการ!”

ฟ่งอวี๋กุยยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

คนประกาศราชโองการขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเพิ่มเสียงดังขึ้นไปอีก “มีราชโองการ องค์ชายสามรับราชโองการ!”

ในขณะเดียวกัน เขาก็พลันปล่อยแรงกดดันเข้าใส่ฟงอวี๋กุย

ฟ่งอวี๋กุยก็เป็นผู้ฝึกพลังเวทสายครามขั้นต้น ส่วนหัวหน้ากองของทหารส่วนพระองค์ก็เป็นผู้ฝึกพลังเวทสายครามขั้นสูง ทำการสะกดข่มเขารุนแรงขึ้นทุกขณะ!

ฟ่งอวี๋กุยก็พลันรู้สึกเหมือนกับแขนของตนถูกหินก้อนยักษ์กดทับเอาไว้บีบจนเขาอดไม่ได้ที่จะไม่อาจไม่คุกเข่า ขยับจากเก้าอี้คุกเข่าลงไปกับพื้น

หลังจากเห็นฟ่งอวี๋กุยคุกเข่าแล้ว หัวหน้ากองของกองทหารส่วนพระองค์ก็ไม่สนใจแววตาชิงชังของเขา คลี่ม้วนราชโองการออก “ประกาศราชโองการ หลังจาก รัชทายาทขึ้นครองตำแหน่ง ให้องค์ชายสามฟ่งอวี๋กุยไปจนถึงครอบครัวเร่งรีบเดินทางออกจากแคว้นลี่ ไม่อนุญาตให้กลับเข้าเขตแดนของแคว้นลี่อีกต่อไป หากขัดราชโองการ ประหารได้ทันที! จบราชโองการ!”

ฟ่งอวี๋กุยพลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังราชโองการที่ทหารส่วนพระองค์ประกาศออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นสายเย็นชาของฝ่ายตรงข้าม

เขาคำรามขึ้นเสียงดัง “เสด็จพ่อ…ท่านช่างจิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก!”

หัวหน้ากองทหารส่วนพระองค์พลันกล่าวขึ้นเสียงเย็น “องค์ชายสาม สองวันนี้ก็ขอให้ท่านอยู่แต่ในจวน พอเวลาถึงแล้ว พวกข้าก็จะคุ้มกันท่านออกจากแคว้นด้วยตัวเอง”

พอพูดจบ เขาก็พลันหันหลังเดินจากไป ฟ่งอวี๋กุยคุกเข่าอยู่ที่พื้น แหงนหน้าขึ้นคำรามเสียงดัง “ข้าไม่ยินยอม—-! ข้าไม่ยินยอม—-! ข้าไม่มีทางยอม—! อ๊าก อ๊าก อ๊าก อ๊าก อ๊าก อ๊าก—–!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version