Skip to content

พลิกปฐพี 145-1

ตอนที่ 145-1

มู่ชิงเกอเจ้าช่างอำมหิตนัก!

แสงสว่างวาบบาดตาพลันสาดลงบนร่าง ทำการส่องลง บนร่างของฟ่งอวี๋กุย

ชั่วขณะที่รถม้าปิดสนิทที่ประกอบจากเหล็กกล้าถูกเปิดออก เขาก็พลันได้ยินเสียงตะโกนโวยวายต่างๆ นานา

“ออกมา! ออกมา!”

นํ้าเสียงหยาบกระด้างและป่าเถื่อนเหล่านั้นก็ดังสะท้อนไปมาอยู่ในรถม้า ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังมีเสียงเคาะจากการทุบตีรถม้า

ฟ่งอวี๋กุยก็ค่อยๆ ปีนออกจากรถม้าลงมา ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ ปรับสภาพเข้ากับแสงสว่างด้านนอก

หลังจากนั้นในขณะที่สายตาของเขามองเห็นไม่ได้ ชัดเจน ก็พลันสัมผัสได้ว่าด้านหน้ามีสิ่งของขนาดใหญ่บางอย่างกำลังพุ่งมาที่เขา ฟ่งอวี๋กุยพลันหลบไปด้าน ข้างตามสัญชาติญาณ พร้อมกันกับยกมือเข้าสวนกลับ เพียงแต่ในช่วงที่เขาลงมือ เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าพลังเวทของเขานั้นโดนผนึกเอาไว้ตั้งแต่แรก

สายลมรุนแรงเฉียดผ่านหน้าเขาไป ฟ่งอวี๋กุยเบี่ยงหลบได้อย่างเฉียดฉิว แต่ก็ยังทิ้งความปวดแสบปวดร้อนเอาไว้บนใบหน้า กลิ่นคาวเลือดจากบาดแผลบนใบหน้าแผ่ ซ่านออกมา ความรู้สึกเจ็บปวดก็พลันกระตุ้นให้การมองเห็นของเขายิ่งกลายเป็นชัดเจนขึ้น สติปัญญาค่อยๆ ถูก ดึงกลับมา

“ฆ่ามัน—–! ฆ่ามัน—–!”

“ฉีกมันให้แหลก! ฉีกให้แหลก!”

“โจมตีสิ! นิ่งอยู่ทำไม? ถูกทำให้กลัวจนเสียขวัญแล้วรึ!”

ฟ่งอวี๋กุยยืนขึ้นมา กวาดมองสายตาไปทั่วโดยรอบ แท่นสูงทรงกลมเป็นชั้นๆ ใบหน้าเกรี้ยวกราดบ้าคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังด่าว่า เรียกร้อง ตวาดคำราม ประกาศก้องถึงความนึกคิดในใจ

ส่วนเท้าด้านล่างก็เป็นพื้นทรายโปรยทับอยู่ชั้นหนึ่ง ถึงแม้จะใส่รองเท้า ก็ยังสามารถสัมผัสถึงความสากและแข็งได้

ที่หูของเขาดังเข้ามาด้วยเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ทั้งยังมีกลิ่นไอของสัตว์ป่าอสูรที่พุ่งโชยเข้ามา

เขาพลันหันหน้าเงยไป ก่อนจะเห็นเข้ากับเสือดำตัวโตเต็มวัยตัวหนึ่ง มันกำลังจ้องมองเขาอย่างดุร้าย กรงเล็บตรงเท้าด้านล่างก็ตะกุยกับพื้นทรายที่อยู่ข้างใต้จนเกิดเป็นฝุ่นฟุ้งโชยขึ้นมา แยกเขี้ยวขู่คำราม เผยให้เขี้ยวสีแดงเลือดกับฟันอันแหลมคมที่เรียงรายเป็นแนว!

ฟ่งอวี๋กุยนัยน์ตาทั้งสองข้างหดเล็กลง ‘นี่มันสนามประลอง!’

“โฮก—–!” เสือดำก็ไม่ได้มีความอดทนเหลือเวลาให้ฟ่งอวี๋กุยได้ครุ่นคิดให้มากความอีก มันพุ่งทะยานไปทางเขาอีกครั้ง ฟ่งอวี๋กุยแววตาทอแววชิงชัง ความโกรธในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น!

ตอนไหนกันที่เขาผู้ที่เป็นถึงองค์ชายสามของแคว้นลี่ จะต้องมาถูกเดรัจฉานตัวหนึ่งหยามเกียรติเช่นนี้?

ฟ่งอวี๋กุยฟาดหมัดออกไปหมัดหนึ่ง โจมตีไปที่กรงเล็บแหลมคมของเสือดำที่พุ่งเข้ามา จนสามารถเปลี่ยนทิศการโจมตีของมันได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันหลังมือของเขาก็ถูกข่วนจนเป็นรอย เผยให้เห็นรอยบาดแผลลึก เลือดสีแดงสดไหลอาบไปบนมือของเขาก่อนจะร่วงตกลงพื้น

การโจมตีล้มเหลวติดต่อกันก็ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นความกระหายเลือด ทำเอาเสือดำกลายเป็นคลุ้มคลั่งก่อนจะพุ่งโจมตีไปทางฟ่งอวี๋กุย ส่วนฟ่งอวี๋กุยที่ไร้ซึ่งพลังเวทก็ทำได้เพียงพึ่งสัญชาตญาณและกายเนื้อของตนทำการสวนกลับ

หนึ่งคนหนึ่งเสืออยู่ในสนามประลองทรงกลม ต่อสู้กันดุเดือดจนยากจะแบ่งแพ้ชนะ

การปะทะอันดุเดือดของคนและสัตว์ร้าย ก็เร้าอารมณ์ความคึกคักของผู้ชมโดยรอบขึ้น นํ้าเสียงดุจระลอกคลื่น ดังขึ้นทีละสายสองสายทำการกลบเสียงร้องก่อนหน้า

ส่วนที่นั่งของแขกชั้นสูง ก็เงียบเชียบราวกับถูกตัดขาดออกจากภายนอกอย่างไรอย่างนั้น แตกต่างกับความวุ่นวายด้านนอกราวกับเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน

ที่นี่ทั้งเรียบเรื่อยและเงียบสงบ ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบครัน การประดับประดาด้านบนกำแพงก็เต็มไปด้วยหัวของสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน ทั่วทั้งตัวห้องก็เติมไปด้วยความป่าเถื่อนและดุดัน

ใกล้ๆ กับจุดชมการประลอง ก็วางไว้ด้วยเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่ดูนั่งสบายตัวหนึ่ง ด้านบนมีผ้าไหมชั้นดีที่ประกอบเย็บขึ้นมาอย่างพิเศษวางปูเอาไว้ นั่งอยู่ด้านบน ก็เหมือนกับนั่งอยู่บนปุยเมฆอันนุ่มสบาย

ตอนนี้ด้านบนของเก้าอี้ก็นั่งอยู่ด้วยคนผู้หนึ่ง ศอกอิงไปกับหมอนอิง ท่าทางเกียจคร้านนั่งพิงผนักเก้าอี้ไว้ ชุดสีแดงบนร่างราวกับเปลวเพลิงก็ไม่ปาน ลู่ตกลงจากเก้าอี้

เขามีกลีบปากสีแดงสด มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ในแววตากระจางใสแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน ชมดูการต่อสู้ในสนามประลองอย่างเบิกบานใจ

“โฮก—–!” เสือดำที่เป็นตัวเอกในการประลอง ร้องคำรามขึ้นด้วยความเจ็บปวดเสียงหนึ่ง ร่างกายล้มกระแทกลงกับพื้น ลมหายใจรวยริน

ฟ่งอวี๋กุยเพลานี้ก็ไม่ได้สภาพดีกว่าไปไหน ชุดผ้าบนตัว ถูกฉีกกระชากจนขาดหลุดลุ่ย บนผิวก็เต็มไปด้วยรอยเลือดไหลอาบจำนวนไม่น้อย หน้าผากของเขาก็ ถูกกระแทกจนแตกมีเลือดไหลอาบลงมา ย้อมอาบใบหน้าครึ่งซีกของเขา

เขาสูดลมหายใจหอบถี่ แววตาเต็มไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยม

พอเห็นเข้ากับเสียงโฮ่ร้องโหมกระหนํ่าด้านบน ก็ยิ่งทำให้ความคิดฆ่าฟันของเขารุนแรงขึ้น!

เขา องค์ชายผู้สูงศักดิ์ตอนนี้ก็ตกตํ่าจนถึงขนาดต้องลดตัวลงมาประลองกับสัตว์ร้ายเช่นนี้ เพื่อที่จะมอบความสนุกให้คนชั้นตํ่าพวกนี้แล้วรึ?!

“เป็นใคร! เป็นใครกันแน่! ฟ่งอวี๋เฟยใช่เจ้าหรือไม่!” ฟ่งอวี๋กุยอยู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา เสียงของเขาก็ไม่เบา แต่ก็ยังไม่สามารถดึงความสนใจจากคนโดยรอบได้

“ออกมา! จริงๆ แล้วเป็นผู้ใดที่คิดปองร้ายข้า? ไสหัวออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ฟ่งอวี๋กุยกวาดตามองไปยังโดยรอบหาคนน่าสงสัย แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบอันใด

พบ

ทันใดนั้น ประตูเหล็กสามบานด้านล่างสนามประลองก็พลันถูกเปิดออก ชั่วขณะนั้นก็ดึงเอาความระแวดระวังของฟ่งอวี๋กุยเพิ่มมากขึ้น

เสียงกีบเท้าดังสะเทือนออกมาจากด้านหลังกรงเหล็กสีดำทะมึน

ไม่ทันไร วัวกระทิงที่กำลังเกรี้ยวกราดสามตัวก็พลันพุ่งออกมาจากหลังประตูเหล็ก พุ่งดิ่งโจมตีไปทางฟ่งอวี๋กุย

เขาแหลมคมบนหัวของวัวก็ถูกเล็งไปยังฟ่งอวี๋กุย ทำเอานัยน์ตาทั้งสองข้างของฟ่งอวี๋กุยหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ในใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาสายหนึ่ง

กระทิงทั้งสามก็พุ่งเข้ามาใกล้ด้วยทิศทางที่แตกต่างกัน ราวกับว่าในชั่วพริบตาก็จะพุ่งมาถึงตรงหน้าของฟ่งอวี๋กุยแล้ว

มือทั้งสองข้างของฟ่งอวี๋กุยพลันยื่นออกไปจับเขาของกระทิงที่พุ่งดาหน้าเข้ามา ทำการยันมันเอาไว้อย่างสุดชีวิต ไม่ยินยอมให้มันเข้าใกล้ตน เพราะว่าใช้แรงมาก เกินไป ก็เลยส่งผลให้บาดแผลจำนวนไม่น้อยมีเลือดสีแดงไหลซึมออกมา

“อ๊าก—–!” ฟ่งอวี๋กุยถูกวัวกระทิงดันเข้าจนถอยหลังไปไม่หยุด

ส่วนวัวกระทิงที่วิ่งมาทางด้านซ้ายและขวาตอนนี้ก็ได้พุ่งมาถึงแล้ว เตรียมชนเข้ามายังเอวทั้งสองข้างของฟ่งอวี๋กุย

ฟ่งอวี๋กุยดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง เขาเร่งรีบคลายมือออก คิดอยากจะหลบการปะทะทั้งสองด้านที่เตรียมจะพุ่งชนเข้ามา แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง แผ่นหลังกับหน้าท้อง พลันถูกกระแทกเข้าอย่างแรง ทำเอากระอักเลือดสีแดงสดออมา ทั่วทั้งตัวก็ถูกกระแทกลอยขึ้นไปกลางอากาศ

พละกำลังของวัวกระทิงก็มีมากมายนัก ส่งเขาลอยขึ้นไปวาดเป็นทางยาวบนอากาศ

ฟ่งอวี๋กุยเจ็บปวดเกินจะทนไหว ในขณะที่ถูกขวิดขึ้นไปกลางอากาศ แววตาที่ถูกย้อมเต็มไปด้วยเลือดของเขา ไม่ทันตั้งใจก็มองเห็นเข้ากับสีแดงสดสะดุดตาสายหนึ่ง ในห้องชมการประลองของแขกชั้นสูง ทั้งยังสบเข้ากับแววตาเย็นยะเยือกและดูแคลนคู่นั้น

นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างรุนแรง เงาร่างสีแดงในดวงตานั้นก็ยังคงติดตาไม่สลายหายไป

แผ่นหลังร่วงตกลงบนพื้น กระแทกจนอวัยวะภายในของฟ่งอวี๋กุยรู้สึกสั่นสะเทือน ก่อนจะกระอักเลือดออกมาอีก

‘มู่ชิงเกอเป็นเจ้า!’

ฟ่งอวี๋กุยกำเม็ดทราย เอาไว้ในมือแน่น ในแววตาฉาย แววชิงชังจนเกือบจะทะลุออกมา

กระทิงทั้งสามก็พุ่งทะยานเข้ามาอีกครั้ง ฟ่งอวี๋กุยยังไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมาก ทำได้เพียงบังคับร่างกายที่แตกละเอียดไร้เรี่ยวแรงของตนให้ลุกขึ้นมา เบี่ยงหลบไป

มารอบทิศทาง

สภาพอเนจอนาจและไม่น่าดูของเขาก็ยิ่งทำให้เสียงโห่ร้องด้านบนดังระงมขึ้นมา เสียงเหยียดหยาม หัวเราะเยาะ ดูแคลนเหล่านั้นก็ดังกระทบเข้าหูของเขา ทำเอาเขารู้สึกชิงชังมู่ชิงเกอขึ้นอีก หลายเท่า!

เขาจะต้องมีชีวิตต่อไป!

มีชีวิตต่อไป เพื่อแก้แค้นมู่ชิงเกอ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version