Skip to content

พลิกปฐพี 144-5

ตอนที่ 144-5

กดเจ้าให้จมดิน เอาให้จมดิน!

ฟ่งอวี๋เฟยพอเดินออกจากวังหลวง ก็เห็นมู่ชิงเกอที่กำลังชมทิวทัศน์อยู่บนกำแพงวัง ก็เลยเข้าไป เดินเข้าไปยืนเคียงข้างเขา

“แก้แค้นได้แล้วยังไม่สบายใจอีกรึ?” มู่ชิงเกอกล่าวขึ้นหยอกเย้า

ฟ่งอวี๋เฟยทอดมองไปยังดอกไม้ไฟที่ไกลออกไป ก่อนจะกล่าวขึ้นนํ้าเสียงราบเรียบ “แต่เดิมนึกว่าสังหารศัตรูได้ ข้าจะได้สัมผัสกับความยินดี แต่นี่พอได้สังหารไปจริงๆ แล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าจิตใจช่างว่างเปล่านัก”

มู่ชิงเกอปรายตามองไปที่นางหนหนึ่ง เอ่ยว่า “สิบปีมานี้ เจ้าก็ไม่เคยใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง เจ้าอาศัยความแค้นกับข่าวคราวของมู่ยี่เพื่อใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไป ตอนนี้ศัตรูก็ได้ ตายไปแล้ว แน่นอนว่าจะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งถึงจะปรับให้คุ้นชินได้”

“อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง!” ฟ่งอวี๋เฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เป็นของฟ่งเหนียงออกมา

หลังจากนั้น นางก็หันไปกล่าววาจากับมู่ชิงเกอ “ข้ารู้ว่า เจ้าไม่ได้มีความคิดทะเยอทะยานอยากจะรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง แต่ว่าจากนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างของแคว้นลี่ล้วนถือเจ้าเป็นนาย”

“ใช้แคว้นทั้งแคว้นมาเป็นสิ่งตอบแทนข้า? ช่างมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่นัก!” มู่ชิงเกอกล่าวหยอกเย้า

ฟ่งอวี๋เฟยส่ายหน้า “ไม่ใช่การตอบแทน แต่เป็นหวังว่า ภายภาคหน้าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ห้าวันหลังจากนี้ ฟ่งอวี๋กุยก็จะออกจากเขตแดนของแคว้นลี่ พอถึงตอนนั้น ข้าก็จะมอบคนส่งให้กับเจ้า”

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับเบาๆ

ฟ่งอวี๋เฟยก็พยักหน้าให้หนหนึ่งก่อนจะหมุนกายเดินจากไป

หลังจากนางจากไปได้ไม่นาน จ้าวหนานซิงก็เดินออกมาจากเงามืดด้านหลัง มองไปทางแผ่นหลังของนางพลาง กล่าวขึ้นยิ้มๆ “ก็มีความน่าเกรงขามของฮ่องเต้อยู่จริงๆ”

มู่ชิงเกอหันกายไปจ้องมองเขา “การแอบฟังเป็นเรื่องที่ไม่ดี”

จ้าวหนานซิงก็กล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็เพียงแค่มาได้บังเอิญเท่านั้น เห็นพวกเจ้ากำลังคุยกันอยู่ ก็เลยไม่อยากรบกวนก็เท่านั้น”

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ คร้านที่จะไปต่อปากต่อคำกับเขา “โรงโอสถเป็นเช่นไรบ้าง?”

“ก็ยังคงเงียบสงบ ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็จากไปแล้ว หัวชางซู่ อยู่ๆ ก็นิ่งเงียบไป ทั้งโรงโอสถล้วนแต่กำลังเตรียมเรื่องขนส่งตัวยา” จ้าวหนานซิงกล่าวขึ้น

คิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมขึ้น “ช่วงนี้ก็ไม่พบหน้าเตียวหยวนเลย”

“เขาตายแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวขึ้นเสียงเรียบ

“อะไรนะ!” จ้าวหนานซิงร้องขึ้นเสียงตระหนก

ต่อจากนั้น มู่ชิงเกอก็เล่าเรื่องการลอบโจมตีของเตียวหยวนให้เขาฟังรอบหนึ่ง

จ้าวหนานซิงหลังจากได้ฟังแล้ว ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นพลางขมวดคิ้ว “หากกล่าวเช่นนี้ ความเคลื่อนไหวของเตียวหยวนก็อาจเป็นหัวชางซู่ที่สั่งการมา ถึงแม้จะไม่ได้สังการ แต่เขาก็ต้องรู้เรื่องด้วย ถ้าหากเตียวหยวนไม่กลับไปเสียที เขาก็คงจะเดาได้ว่าเตียนหยวนตายไปแล้ว ดังนั้นถึงได้เก็บตัวเองเงียบเชียบ เก็บตัวรอคอยโอกาส”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ตามนิสัยของหัวชางซู่ เขาก็ไม่มีทางยอมลดตัวเป็นรองแน่นอน ตามสภาพการณ์ในตอนนี้แน่นอนว่าจะต้องหาโอกาสโต้กลับ แต่ว่าเขาสุดท้ายแล้วจะทำสิ่งใด ข้าก็ยังเดาไม่ออก”

จ้าวหนานซิงคิดๆ ดูก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างตัดสินใจ “ธุระที่นี่หากเสร็จสิ้น ข้าก็จะรีบกลับไปที่โรงโอสถ ดูชิว่าตอนนี้จะมีสถานการณ์เป็นเช่นไร พวกเราไม่กี่คนล้วนแต่ออกเดินทาง ข้าจะต้องกำชับให้ท่านอาจารย์คอยระมัดระวังตัว”

จ้าวหนานซิงก็คิดอ่านได้รอบคอบนัก มู่ชิงเกอคิดๆ ดู ก่อนจะหันไปกล่าวกับเขา “ถ้าหากอาจารย์อยู่ที่โรงโอสถแล้วไม่ปลอดภัย ฝากเจ้าบอกเขาว่าให้เขาไปที่ แคว้นฉินหาตระกูลมู่”

“ได้” จ้าวหนานซิงพยักหน้า

ทอดสายไปในห้าแคว้นระดับสามก็เหมือนจะมีแต่แคว้นฉินเท่านั้นที่ทำให้พวกเขารู้สึกวางใจที่สุด

ในเมื่อ ที่นั่นก็ถือเป็นเขตอิทธิพลของมู่ชิงเกอเพียงคนเดียว!

“ใช่แล้ว จูหลิงเป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวหนานซิงกล่าวถามขึ้น

“นางสบายดี รอข้ากลับไป เวลาก็คงเหลือไม่มาก ข้าจะพานางไปรอพวกเจ้าที่เมืองมู่” มู่ชิงเกอกล่าว

“เช่นนั้นก็เอาตามนี้” จ้าวหนานซิงพยักหน้าแย้มยิ้ม

ห้าวันผ่านไป รถม้าของฟ่งอวี๋กุยก็ออกจากเขตแดนของแคว้นลี่ เขาถูกเนรเทศออกจากแคว้นลี่ จากนี้เป็นต้นก็ไม่สามารถก้าวเข้าแคว้นลี่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว

หัวหน้ากองทหารส่วนพระองค์ที่เป็นคนคุมตัวเขามาหันไปกล่าวกับฟ่งอวี๋กุย “องค์ชายสาม พวกข้าก็ขอส่งเพียงเท่านี้ เส้นทางหลังจากนี้ องค์ชายก็คงต้องดูแลตัวเองแล้ว”

พอพูดจบ ก็สั่งให้ฟ่งอวี๋กุยจากไป

ฟ่งอวี๋กุยในใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ภายใต้การจับตาของทหารส่วนพระองค์ก็ไม่อาจไม่เดินทางออกไปจากแคว้นลี่ได้

ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ ทิศทางที่ทหารส่วนพระองค์ เอาเขามาส่งกลับเป็นทิศทางของแคว้นฉิน

หากผ่านผืนป่าลั่วรื่อด้านหน้าไป เขาก็จะเข้าสู่เขตแดนของแคว้นฉิน

แต่ว่าแคว้นฉินก็เป็นถิ่นของศัตรูของเขา เขาจะยังไปได้อีกรึ?

ฟ่งอวี๋กุยคิดด่าว่าในใจ อดจะครุ่นคิดหาทางอื่นไม่ได้

ถ้าหากจะเปลี่ยนเส้นทางตอนนี้ ก็มีเพียงแต่ผ่านป่าลั่วรื่อ เข้าไปยังที่ราบลั่วรื่อ หลังจากนั้นข้ามผ่านที่ราบลั่วรื่อเข้าไปยังแคว้นอวี๋ แคว้นปา หรือว่าแคว้นถู…………………………….

แต่เขาตอนนี้อะไรก็ไม่ได้เตรียมมา แล้วจะให้เข้าไปในป่าลั่วรื่อได้อย่างไร?

‘ดูท่ามีเพียงแค่เดินตามทางข้ามผ่านป่าลั่วรื่อออกไป ตระเตรียมเสบียงเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที’ ฟ่งอวี๋กุยคิดขึ้นในใจ

รถม้าของฟ่งอวี๋กุย ค่อยๆ หายลับไปจากสายตาของทหารของแคว้นลี่

หัวหน้ากองทหารส่วนพระองค์แค่นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะนำกองกำลังวกกลับไปที่เมืองฮ่วนของแคว้นลี่

ฟ่งอวี๋กุยไม่ได้นำพาภรรยาหรืออนุมาด้วย ตอนที่จะออกจากแคว้นลี่ เขาก็ได้ลอบสังหารพวกนางจนตายหมดอย่างลับๆ ไปแล้ว ที่เขาพามาก็คือนักรบเดนตายจำนวนหนึ่ง เพียงแต่จำนวนคนมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น

ฟ่งหลันไม่มีทางอนุญาตให้เขาพากองกำลังขนาดใหญ่จากมาแน่

คนทั้งหมดก็เดินทางไปตามทางด้านหน้า ท้องฟ้าค่อยๆ กลายเป็นมืดมิดลง

ทันใดนั้น ด้านนอกรถม้าก็ดังขึ้นมาด้วยเสียงกระทบกันของอาวุธ พอฟ่งอวี๋กุยคิดจะพุ่งออกไปก็พลันมีธนูแหลมคมสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในรถม้า เฉียดผ่านไหล่ของเขาไป แววตาของเขาพลันกลายเป็นแหลมคม ไอสังหารพวยพุ่งขึ้นมา

ทันใดนั้น ก็พลันมีลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งรัวเข้ามา เขาที่อยู่ในรถม้าขนาดเล็กก็หลบหลีกได้ลำบากยิ่งนัก รอจนเขาทะลวงออกมาจากรถม้าได้ คนที่เขาพามา สิบกว่าคนทั้งหมดก็นอนตายอยู่บนพื้นหมดแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างของฟ่งอวี๋กุยหดเล็กลงอย่างรุนแรง ทันใดนั้นหลังคอก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ทั้งตัวราว กับไร้ความรู้สึกไป

ในระหว่างสะลึมสะลือ ฟ่งอวี๋กุยก็พลันตื่นขึ้นมาในความมืด

รอบด้านของเขาสั่นไหวไปมา เขาก็คาดเดาได้ว่าตนกำลังอยู่ในรถม้า เขาลูบเบาๆ ไปที่หลังคอที่เจ็บปวดของตน ก่อนจะใช้แรงเคาะผนัง ค้นพบว่ารถม้าคันนี้กลับใช้เหล็กกล้าประกอบขึ้น ทนทานอย่างถึงที่สุด อาศัยพลังของเขาก็ไม่มีทางหนีออกไปได้

อีกทั้งตอนที่เขาคิดอยากจะส่งพลังออกไปค้นหา ก็กลับค้นพบว่า พลังของตนกลับถูกปิดผนึกเอาไว้แล้ว ไม่สามารถใช้ออกได้แม้แต่น้อย

เขาที่ถูกขังอยู่ในรถม้า ก็ราวกับสิ่งของอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุด เขาก็สัมผัสได้ว่ารถม้าหยุดลง

ผ่านไปไม่ทันไร ก็พลันมีเสียงแผ่วเบาดังเข้ามา “ของที่ท่านต้องการก็อยู่ในนี้ หากไม่มีธุระอื่นใดอีก ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว”

หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก ฟ่งอวี๋กุยในใจเกรี้ยวกราด จริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่? ถึงกับกล้าเห็นเขาเป็นสิ่งของเอามาแลกเปลี่ยนเช่นนี้?

ทันใดนั้นรถม้าก็สั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง ราวกับว่า กำลังมีคนเตะต่อยใส่รถม้าอยู่จำนวนมาก เสียงสะท้อนของรถม้าเหล็กก็ทำเอาเขาหูอึ้ออึงไปหมด เขาก็เหมือนหนูตัวน้อยที่ถูกขังอยู่ในกรงอย่างไรอย่างนั้น กระแทกกับผนังกลิ้งไปกลิ้งมา

“เป็นใคร! เป็นใครหน้าไหน! ออกมา! ปล่อยข้าออกไป!” ฟ่งอวี๋กุยคำรามขึ้นเสียงดัง

เพียงแต่ว่าด้านนอกก็เหมือนกับไม่ได้รับผลกระทบอันใดอย่างไรอย่างนั้น ยังคงสั่นสะเทือนอยู่เช่นเดิม

ผ่านไปช่วงหนึ่ง ฟ่งอวี๋กุยก็พลันนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ในรถม้า รถม้าก็ถึงจะหยุดลง พร้อมกันนั้น ประตูรถม้าที่ปิดสนิทก็พลันถูกเปิดออก แสงแสบตาสายหนึ่งก็พลันสาดแสงเข้ามา กระทบลงบนใบหน้าของฟ่งอวี๋กุย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version