Skip to content

พลิกปฐพี 145-3

ตอนที่ 145-3

มู่ชิงเกอเจ้าช่างอำมหิตนัก!

แคว้นฉิน ประมุของค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนฉินจิ่นเฉินเป็นผู้สืบทอดอำนาจ กลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นฉิน ในจุดนี้ ราษฎรประชาราฎร์ต่างเห็นชอบ เหล่าขุนนางบุ๊นบู๊ก็ต่างเห็นดีงาม

แคว้นฉินก็เลยกลายเป็นสุขสงบอีกครั้ง

หลังจากกลับมาถึงแคว้นฉินแล้ว มู่ชิงเกอเข้าสู่สถานะเก็บตัวฝึกปรือพลังมาโดยตลอด

มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่จะเรียกเจ้าอ้วนเช่า แล้วพาจูหลิงออกไปเดินเล่นในลั่วตู ถือว่าทำตัวเป็นเจ้าบ้านให้ดีที่สุด

เจ้าอ้วนเช่าตอนได้พบกับจูหลิงครั้งแรก ดวงตาทั้งสองข้างก็เบิกกว้างจนเกือบปูดบวมออกมา ล้วนแต่ละเลยไม่สนใจพี่ใหญ่เช่นเขาไปอย่างสิ้นเชิง วันๆ เอาแต่ล้อมหน้า ล้อมหลังจูหลิงเดินไปเดินไปมา ดีที่นิสัยของจูหลิงยังเป็นคนถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ได้แสดงความรู้สึกรังเกียจหรือว่าดูแคลนออกมา

กลับกันกลับพูดคุยกับเจ้าอ้วนเช่าได้อย่างเบิกบานใจ

ดังนั้นเวลาที่เหลืออยู่ มู่ชิงเกอก็ไม่ออกไปเป็นเพื่อนจูหลิงอีก ให้สิทธิ์ทั้งหมดกับเจ้าอ้วนเช่าเป็นคนจัดการ นางยังสัมผัสได้ลางๆ ว่าหลังทะลวงเข้าสู่ขั้นสีม่วงแล้ว เวลาฝึกปรือพลังก็เหมือนจะมีความรู้สึกแปลกๆ ชนิดหนึ่งที่กล่าวบรรยายไม่ถูก ราวกับว่าพลังนั้นมีอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสูงสุดของสายม่วง ก็ไม่สามารถสัมผัสไปถึงปลายขอบได้

ความรู้สึกเช่นนี้ ตอนนี้ก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก แต่ว่ามู่ชิงเกอเชื่อว่า ด้วยระดับการฝึกพลังของนางที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเข้าใกล้ระดับขั้นสูงสุดของสายม่วงไปเรื่อยๆ

ความรู้สึกเช่นนี้ก็จะยิ่งชัดเจน

“หรือว่านี่ก็คือความหมายที่ว่าระดับสีม่วงเป็นเพียงการเริ่มต้น? เช่นนั้นระดับขั้นที่อยู่เหนือขึ้นไป เหนือกว่าระดับขั้นสีม่วงจริงๆ แล้วเป็นอะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอหลังจากฝึกพลังเสร็จสิ้น ก็ยังนั่งอยู่บนเบาะรองอยู่เช่นนั้น นั่งครุ่นคิดต่างๆ นานา

คิดยังไงก็คิดไม่ออก มู่ชิงก็พลันนึกถึงหนังสือบันทึกเก่าแก่ที่ได้มาจากท่านปู่ที่ตอนนี้ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมัน

ความอยากรู้ก็ทำให้นางเปิดมันขึ้นอีกครั้ง คิดอยากตรวจดูอย่างละเอียด มู่ชิงเกอพลิกเปิดบันทึกเก่าแก่ที่ไม่รู้ว่าทำจากสิ่งใด บนแผ่นด้านบนสีเหลืองซีดนั่นก็สลักอยู่ด้วยอักขระที่อ่านไม่เข้าใจ

“นี่ก็เป็นตัวอักษรของสถานที่อันใดกัน?” มู่ชิงเกอมองไปยังอักขระยึกยือพวกนั้นบนหน้าบันทึก ขมวดคิ้วครุ่นคิดไปมา “ท่านปู่บอกไว้ว่า บันทึกเก่าแก่นี้เป็นของบรรพชนเมื่อหลายหมื่นปีก่อนนำมาจากบ้านเกิด หรือว่าตัวอักษรเหล่านี้จะเป็นตัวอักษรที่ใช้ในประวัติศาสตร์เมื่อหลายหมื่นปีก่อน?”

ความคิดนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอสีหน้าบิดเบี้ยว

ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นก็จะอ่านมันยังไง? นางจะต้องไปที่ไหนถึงจะหาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถแปลตัวอักษรเมื่อหมื่นปีก่อนพวกนี้ได้?

มู่ชิงเกอก็แน่ใจว่าเนื้อหาในบันทึกเล่มนี้จะต้องสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นบรรพชนของตนก็คงไม่มีทางเอามันติดตัวมาด้วย

“น่าเสียดายที่อ่านไม่ออก” มู่ชิงเกอมองไปยังบันทึกเก่าแก่ด้วยแววตาเสียดาย อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ทันใดนั้น นางก็พลันคิดถึงคนผู้หนึ่งเข้า กล่าวพึมพำขึ้น “เขามีชีวิตมาไม่รู้นานเท่าไรแล้วไม่แน่ว่าอาจจะ อ่านออก!”

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี “ช่างมัน ในเมื่อตัดสินใจจะตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว ทำไมจะต้องไปติดค้างบุญคุณเขาเพิ่มอีกด้วย?” มู่ชิงเกอเอาตัวบันทึกเก็บกลับไป ในหัวก็ได้จดจำรูปลักษณ์คร่าวๆ ของตัวอักษรลึกลับ ด้านบนเอาไว้หมดแล้ว

วันเวลาวันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไป วันออกเดินทางไปเมืองมู่ก็ยิ่งใกล้เข้ามา

ก่อนเดินทางหนึ่งวัน จูหลิงก็ไปพบมู่ชิงเกอ เอาเม็ดโอสถเกือบพันเม็ดที่ใช้เวลาในช่วงนี้ปรุงขึ้นมาหยิบออกมา ก่อนจะตั้งเรียงรายเอาไว้เต็มโต๊ะ

เห็นมู่ชิงเกอมองมาทางนางอย่างประหลาดใจ นางก็พลันกล่าวอธิบายขึ้น “ช่วงเวลาหลายวันมานี้ก็ลำบากจวนตระกูลมู่ที่ดูแล ของพวกนี้ก็ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า ศิษย์น้องมู่อย่าได้ปฏิเสธ นี่ก็ไม่ได้ให้เจ้า แต่เป็นมอบให้แก่จวนตระกูลมู่”

มู่ชิงเกอหมดวาจาจะกล่าวทำได้เพียงพยักหน้ารับมา

ตามจริงแล้วนางก็ได้มอบยาโอสถให้จวนตระกูลมู่กับกองทหารตระกูลมู่ไว้จำนวนมากแล้ว แต่ในเมื่อเป็นความปรารถนาดีของจูหลิง นางก็ไม่สะดวกที่จะปฏิเสธ

“วันพรุ่งนี้ก็จะเดินทางไปเมืองมู่แล้ว ศิษย์พี่จูยังมีอะไรที่ยังต้องการอยู่อีกหรือไม่?” มู่ชิงเกอถามขึ้น

จูหลิงส่ายหน้า “ข้าไปไหนมาไหนตัวเปล่า ไม่มีอะไรให้ต้องเตรียม”

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะกล่าวไปทางนาง “เจ้าอ้วนเช่าผู้นั้นรู้ว่าพวกเราจะออกเดินทาง วันนี้ก็เลยตั้งใจจัดงานเลี้ยงเป็นพิเศษเพื่อเป็นการส่งพวกเราออกเดินทาง”

จูหลิงกล่าวขึ้นยิ้มๆ “ก่อนหน้าเขาก็บอกกับข้าแล้ว ช่วงที่ผ่านมาก็รบกวนคุณชายเช่าดูแลไว้ไม่น้อย”

“ศิษย์พี่จูเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านมาที่ลั่วตูก็ถือว่าเป็นแขก เจ้าอ้วนเช่าถือเป็นเจ้าบ้าน ต้อนรับอย่างดีก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควร” มู่ชิงเกอกล่าวหัวเราะขึ้น

สองคนพอตกลงกันเรียบร้อยว่าตอนกลางคืนจะไปงานเลี้ยงที่เจ้าอ้วนเช่าจัดขึ้นพร้อมกัน ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของตน

จวนตระกุลมู่ มู่เหลียนหรงก็ได้ออกเดินทางไปท่องเที่ยวหลายวันแล้ว ในจวนตอนนี้ก็เหลือเพียงมู่ซงเพียงคนเดียว มู่ชิงเกอไม่ค่อยวางใจเท่าไร พอมาถึงในจวนของท่านปู่ พบว่าเขาในตอนนี้สนใจที่สุดก็คือการตกแต่งสวน ก็เลยไม่ได้เดินเข้าไปรบกวน แต่ยืนรออย่างอดทนอยู่ด้านข้างแทน

รอจนมู่ซงจัดการกระถางดอกไม้ใบสุดท้ายในมือเสร็จ นางถึงได้หยิบผ้าเปียกที่สาวใช้ส่งมายื่นไปให้

“มาแล้วรึ?” มู่ซงกล่าวขึ้นแย้มยิ้ม

มู่ชิงเกอพยักหน้า กล่าวกับเขาว่า “ดูท่าท่านปู่จะปล่อยวางใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้จริงๆ แล้ว”

มู่ซงยิ้มพลางชี้ไปทางดอกไม้ต้นไม้พวกนั้น “เจ้าก็อย่าได้ดูถูกต้นไม้ดอกไม้พวกนี้ การจัดการดูแลมันก็ไม่ได้ง่ายไปกว่าการรบทัพจับศึกเลย”

“ท่านปู่ชอบก็ดีแล้ว” มู่ชิงเกอโอนอ่อนไปตามเขาพลางกล่าวขึ้น “ท่านปู่ พรุ่งนี้ข้าก็จะออกเดินทางไปเมืองมู่แล้ว ท่านรั้งอยู่คนเดียวที่จวนตระกูลมู่”

มู่ซงโบกมือตัดบทคำพูดของนาง “ไปเถอะ ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าอยู่ที่บ้านก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรได้ อีกทั้งฮ่องเต้ของแคว้นฉินคนปัจจุบันยังเป็นฉินจิ่นเฉิน ไม่มีทางเกิดเรื่องเกิดราวเหมือนครั้งก่อนได้”

มู่ชิงเกอกล่าวขึ้นยิ้มๆ “ครั้งนี้ข้าก็ไม่ได้พาฮวาเยวี่ยกับโย่วเหอไปด้วย ให้พวกนางรั้งอยู่ดูแลท่านปู่แทนข้า”

“หึม? เจ้าไปไม่พาพวกนางไปด้วย ข้างกายไม่มีคนคอยปรนนิบัติจะได้อย่างไร?” มู่ซงกล่าวแย้งขึ้น

มู่ชิงเกอกล่าวขึ้นอธิบาย “ครั้งนี้ไปที่อาณาจักรเซิ่งหยวน ไปทำธุระที่โรงโอสถกลาง คนพาไปมากก็จะไม่ค่อยสะดวก อีกอย่าง ข้าเองก็สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วทำไมจะต้องไปทำอะไรให้วุ่นวายด้วย? ไม่เพียงพวกนางสองคนที่รั้งอยู่ องครักษ์เขี้ยวมังกรข้าก็จะไม่พาออกไปทั้งหมด อีกอย่าง ครั้งนี้ที่ไปคาดว่าคงอีกนานกว่าจะได้กลับมา ท่านปู่ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าหากมีเรื่องอันใด หากจัดการได้ก็จัดการ หากไม่อาจจัดการก็ใช้กองทหารพันเพลิงกับองครักษ์เขี้ยวมังกรพอรวมกับองครักษ์ประจำกายของท่านปู่เองก็คงสามารถปกป้องความปลอดภัยของท่านปู่ได้ข้าก็จะได้วางใจ”

มู่ซงเตรียมจะปฏิเสธ ก็พลันเห็นสีหน้าของมู่ชิงเกอเคร่งขรึมลง “ท่านปู่อย่าได้ลืมว่า ตอนนี้ข้าถึงจะเป็นประมุขของตระกูลมู่ ท่านไม่อาจโต้แย้งคำพูดของข้าได้”

“นังหนูนี่ก็น่าตีนัก ยังจะมาวางมาดต่อหน้าปู่อีก” มู่ซงด่าว่าพลางหัวเราะขำ ยื่นมือออกไปเตรียมตีสักหน

มู่ชิงเกอก็พลันหลบได้อย่างคล่องแคล่ว กล่าวขึ้นยิ้มๆ “ตำแหน่งประมุขของตระกูลตำแหน่งนี้ท่านปู่ก็เป็นคนมอบให้ข้าเอง ตอนนี้จะมาเสียใจริบคืนก็คงไม่ทันแล้ว”

พอพูดจบ นางก็วิ่งหนีออกไปจากเรือนของมู่ซง

“นังหนูนี้” มู่ซงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพลางแย้มยิ้ม ซึ่งในรอยยิ้มนั้นก็เต็มไปด้วยความพึงใจทั้งยังความเป็นห่วงต่อการเดินในครั้งนี้ของมู่ชิงเกอ อาณาจักรเซิ่งหยวนก็ไม่ใช่สิ่งที่แคว้นระดับสามจะไปเทียบเคียงได้

เขาก็เป็นห่วงว่าหลานสาวคนโปรดของตนจะไปเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ยังดีที่เขายังไม่รู้ว่าเป้าหมายของมู่ชิงเกอไม่ใช่อาณาจักรเซิ่งหยวนแต่เป็นแคว้นหรง ไม่เช่นนั้นคาดว่าจะต้องยืนกรานขอตามไปด้วย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version