Skip to content

พลิกปฐพี 145-4

ตอนที่ 145-4

มู่ชิงเกอเจ้าช่างอำมหิตนัก!

ยามคํ่า มู่ชิงเกอกับจูหลิงก็ออกจากจวนตระกูลมู่ไปพร้อมกัน เดินไปทางโรงเตี๊ยมที่เจ้าอ้วนเช่าเตรียมการเอาไว้

สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าอ้วนเช่าในด้านเที่ยวเล่นดื่มกินก็ถือว่ามีพรสวรรค์นัก

สถานที่ที่เขาเลือกก็ถือว่ามีสภาพแวดล้อมที่งดงาม ทำให้ผู้คนรู้สึกรื่นรมย์ใจ ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีคนมากวนใจ

อาหารก็ถือว่าเลิศรสนัก กลิ่นหอมจนผู้คนนํ้าลายสอ รสชาติติดลิ้นไม่เสื่อมคลาย

“มา พี่ใหญ่ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก” เจ้าอ้วนเช่ายกจอกเหล้าขึ้น ใบหน้าอวบอูมที่จ้องมองมู่ชิงเกอก็เต็มไปด้วยความขึงขังและจริงจัง

มู่ชิงเกอยิ้มขำหลังจากยกจอกเหล้าขึ้นชนกับเขาแล้วก็ดื่มลงไปหมดในรวดเดียว

พอดื่มหมด นางก็กล่าวขึ้นอย่างหยอกเย้า “ดื่มเหล้าเพียงจอกเดียวเท่านั้น ทำไมจะต้องทำท่าทีจริงจังเช่นนั้นด้วย?”

เจ้าอ้วนเช่าทอดถอนใจออกมา กล่าวขึ้นอย่างทดท้อใจ “ท่านเพิ่งกลับมาไม่ทันไร ก็จะจากไปอีกแล้ว พอถึงตอนนั้น จอมเสเพลของลั่วตูก็คงจะเหลือข้าเพียงคนเดียว ช่างเงียบเหงานัก!”

เขาที่แกล้งทำขึงขัง หดหู่ใจก็ทำเอาจูหลิงหัวเราะขำออกมา

พอเห็นหญิงงามหัวเราะ เจ้าอ้วนเช่าก็พลันดึงความขึงขังกลับ สีหน้าเอาใจหันไปทางจูหลิงพลางกล่าวขึ้น “พี่หญิงจูอย่าลืมกลับมาเยี่ยมข้าอีก ลั่วตูยังมีที่เที่ยวเล่น ของอร่อยอีกมากมายที่ข้ายังไม่ได้พาท่านไป”

“ขอบคุณนํ้าใจของคุณชายเช่า ถ้าหากหลังจากนี้มีโอกาส ข้าแน่นอนว่าจะต้องมารบกวนคุณชายเช่าอีก” จูหลิงกล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้ม

“แหะ แหะ ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก” เจ้าอ้วนเช่ายิ้มขึ้นหน้าซื่อๆ

แต่ว่า ในความเป็นจริงแล้วมู่ชิงเกอก็รู้ว่าเจ้าอ้วนผู้นี้ไม่ได้ซื่ออย่างที่เห็น แต่เป็นเต็มไปความเจ้าเล่ห์ ดูจากท่าทาง เขาน่าจะสนใจจูหลิงจริงๆ แต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็ยังไม่ถึงขนาดไม่อาจไม่แยกจากกัน อย่างมากที่สุดก็แค่ รู้สึกดีด้วยเท่านั้น เพียงแต่น่าเสียดายนักที่เรื่องราวของเขากับจูหลิงคงยากที่จะพัฒนาต่อไปได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าครั้งนี้จูหลิงที่ไปยังโรงโอสถกลางก็ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก แต่ถึงต่อให้นางกลับมา เจ้าอ้วนเช่าก็เกรงว่าจะไม่เข้าตาของนาง

แต่ว่าเรื่องพวกนี้มู่ชิงเกอก็ไม่ได้กล่าวออกไป

นางเข้าใจเจ้าอ้วนเช่าดีว่าความชอบที่มีต่อจูหลิงตอนนี้กำลังเข้มข้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นจะเป็นจะตาย รอจูหลิงจากไปแล้ว พอวันเวลานานเข้า เขาก็คงจะลืมไปเอง ถ้าหากมีหญิงงามปรากฏต่อหน้าอีก เจ้าอ้วนเช่าก็คงจะลืมจูหลิงไปเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งสามร่ำสุราไปพลางหัวเราะพูดคุยไปพลาง ช่วงเวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว

ไม่ทันไรเจ้าอ้วนเช่าก็เมาจนขดตัวนอนอยู่ใต้โต๊ะ กอดไหเหล้านอนกรนเสียงดัง

จูหลิงถึงแม้จะกินยาแก้เมาไปแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังแดงก่ำด้วยความเมามายอยู่ ขับให้ดูเย้ายวนขึ้น ในแววตาของนางก็ฉายแววพร่ามัวเล็กน้อย กล่าวไปทางมู่ชิงเกอ “ข้า ช่างคออ่อนนัก ตอนนี้รู้สึกมึนหัวอยู่ไม่น้อย”

“ด้านหลังนี่มีห้องพักอยู่ ข้าพยุงศิษย์พี่ไปพักผ่อนสักครู่แล้วกัน” จูหลิงพยักหน้า มือกุมขมับพร้อมกับยืนขึ้นมาอย่างไร้เรี่ยวแรง

มู่ชิงเกอจับแขนของนางเอาไว้พานางเข้าไปพักผ่อนบนเตียงนอนในห้องพักด้านหลัง

หลังจากจัดการกับจูหลิงเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอถึงเดินกลับมาโต๊ะของตัวเอง ขณะที่กำลังคิดว่าจะจัดการกับก้อนเนื้อบนพื้นอย่างไร ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตูขึ้น

“เข้ามา” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น

ประตูถูกเปิดออก ทหารส่วนพระองค์นายหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูด้านนอก ทำการคารวะก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม “นายน้อย ฝ่าบาทอยู่ห้องด้านข้าง อยากเชิญ ท่านไปพูดคุยสักเล็กน้อย”

ฉินจิ่นเฉินอยู่ห้องด้านข้าง?

มู่ชิงเกอค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น พยักหน้าพลางกล่าว “ได้ เจ้ารั้งอยู่พาคุณชายเช่าส่งกลับจวนตระกูลเช่าด้วย”

ทหารส่วนพระองค์เร่งรีบตอบตกลง

มู่ชิงเกอหลังจากเดินออกไปแล้วก็เดินเลาะไปยังด้านข้าง ผลักประตูเดินเข้าไปตรงๆ

ด้านใน มีคนเพียงผู้เดียวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

ร่างกายปราดเปรียวผอมบาง บนร่างสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อน พอสายลมยามราตรีพัดผ่าน ชายเสื้อก็สะบัดพลิ้วไหวบางเบา

การแต่งกายเช่นนี้ก็เหมือนกับตอนที่พบกันครั้งแรก

มู่ชิงเกอเดินเข้าไป จ้องมองไปยังแผ่นหลังของเขา มิได้ กล่าววาจา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังเป็นฉินจิ่นเฉินที่เปิดปากขึ้นก่อน “วันพรุ่งเจ้าก็ออกเดินแล้วรึ”

“ใช่” มู่ชิงเกอกล่าวตอบ

“ครั้งนี้จะจากไปนานเท่าไร?” ฉินจิ่นเฉิงน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในนํ้าเสียงนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความเศร้าอยู่จางๆ

“ยังไม่รู้ บางทีอาจจะครึ่งปีหรือว่าหนึ่งปี” มู่ชิงเกอกล่าวตามความจริง

การเดินทางไปอาณาจักรเซิ่งหยวน ต่อให้การเดินทางราบรื่นก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้น นางยังต้องเดินทางไปแคว้นหรง เดินทางไปยังแม่นํ้าไร้ พรมแดน ไปค้นหาพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน เวลาที่ต้องใช้ใปกับภารกิจนั้นก็ยากที่จะคาดเดา

“จะกลับมาอีกหรือไม่?” ฉินจิ่นเฉินอยู่ๆ ก็ถามขึ้น

“แน่นอน” มู่ชิงเกอตอบขึ้นอย่างแน่ใจ

พอได้ฟังคำตอบ ฉินจิ่นเฉินก็ราวกับถอยหายใจโล่งออกมา “ดี”

ระหว่างสองคน ก็กลับไปนิ่งเงียบกันอีกครั้ง

บรรยายอันเงียบเชียบ ก็ทำเอาบรรยายในห้องกลายเป็นติดๆ ขัดๆ

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ฉินจิ่นเฉินถึงได้กล่าวขึ้น “ตระกูลมู่ เจ้าวางใจได้”

เรื่องนี้ก็เหมือนกับว่าจะเป็นการให้การรับรองแก่มู่ชิงเกอ

“อืม” มู่ชิงเกอตอบรับขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะกลายไปเป็นเงียบอีกครั้ง

ฉินจิ่นเฉินสุดท้ายก็หันตัวมา มองไปทางนาง ดวงตาทั้งสองข้างที่แบ่งแยกขาวดำชัดเจนราวกับแอบซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ผ่านไปนานเขาถึงค่อยกล่าวขึ้น

“รักษาตัวด้วย”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “เจ้าก็เหมือนกัน”

ฉินจิ่นเฉินพยักหน้าขึ้นน้อยๆ บรรยายกาศก็พลันกลายเป็นเงียบขรึมลงอีกครั้ง

มู่ชิงเกอในสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา เดินขึ้นด้านหน้าหลายก้าว เดินไปยังด้านหน้าของฉินจิ่นเฉิน เอ่ยว่า “ฉินจิ่นเฉิน เจ้าก็อย่าได้มีท่าทางอึมครึมเช่นนี้จะได้หรือไม่? ตอนนี้ร่างกายของเจ้าก็หายดีแล้ว สามารถฝึกวิชาได้แล้ว ทั้งยังเป็นประมุขของแคว้นแคว้นหนึ่ง เปลี่ยนไปเป็นมีชีวิตชีวาบ้างได้หรือไม่?”

ชั่วครู่ ฉินจิ่นเฉินก็ค่อยๆ กล่าวขึ้นเสียงราบเรียบ “ได้”

มู่ชิงเกอหมดวาจาจะกล่าว

นางก็เดาไม่ออกจริงๆ ว่าฉินจิ่นเฉินกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ส่ายหัวไปมา พลางกล่าวขึ้น “เอาเถอะ ดูท่าเจ้าก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง เจ้าชอบเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เถอะ ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดอีก ข้าก็คงต้องขอตัวกลับ ก่อนแล้ว”

“ได้”

ก็ยังจะเป็นคำคำนี้อีก มู่ชิงเกอเบ้ปาก หันกายเดินจากไป

รอจนประตูห้องปิดลงแล้ว ตอนที่ในห้องเหลือเพียงตัวเองเพียงลำพัง ฉินจิ่นเฉินถึงค่อยกล่าวขึ้นอย่างเศร้าใจ “เจ้าไม่อยู่แล้วข้าจะมีความสุขได้อย่างไร ชิงเกอ ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นเมื่อใดที่ข้ามีความรู้สึกที่ไม่ควรขึ้นกับเจ้า…ข้าควรจะทำเช่นไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version