ตอนที่ 145-5
มู่ชิงเกอเจ้าช่างอำมหิตนัก!
วันที่สอง ตอนเช้าตรู่ มู่ชิงเกอก็พาจูหลิงเดินทางออกจากลั่วตู
ที่ติดตามมาด้วย ก็มีองครักษ์เขี้ยวมังกรหนึ่งหน่วยที่มั่วหยางนำมาด้วย ทั้งยังมียอดฝีมืออีกหนึ่งกองที่ฉินจิ่นเฉินส่งไปคุ้มกันเรือ อีกทั้งก่อนออกเดินทางฉินจิ่นเฉินก็กล่าวเอาไว้ว่า ทุกอย่างให้ฟังตามการสั่งการของมู่ชิงเกอ
คนพวกนี้พอรวมกันขึ้นมาก็มีจำนวนร้อยกว่าคน
ใช้เวลาไปสิบวัน ขบวนเดินทางก็ออกจากลั่วตูไปถึงเมืองมู่ ตอนที่พวกเขามาถึง คณะเดินทางจากโรงโอสถก็ยังมาไม่ถึง แต่ว่าขบวนเรือที่ใช้ออกเดินทางไปโรงโอสถกลางก็ได้จอดเทียบท่ารออยู่ที่เมืองมู่แล้ว
คนยังไม่มาถึง ขบวนของมู่ชิงเกอก็เลยเข้าพักในที่รับรองของเมืองมู่ก่อนชั่วคราว
รอไปหนึ่งวัน ขบวนของโรงโอสถถึงจะเคลื่อนมาถึงเมืองมู่
ผู้ที่คุ้มกันมาก็ไม่ได้มีแค่เพียงผู้อาวุโสของโรงโอสถ แต่ยังมียอดฝีมือจากวังหลวงของแคว้นอวี๋กับแคว้นลี่ มาเพื่อรับรองความปลอดภัยว่าขบวนเรือจะสามารถส่งยา และสมุนไพรไปยังโรงโอสถกลางได้อย่างปลอดภัย
“ศิษย์น้องมู่ ศิษย์น้องจู พวกเราในที่สุดก็ได้พบหน้ากันเสียที!”
พอไม่กี่คนได้พบหน้ากัน จ้าวหนานซิงก็เดินเข้าไปหามู่ชิงเกอกับจูหลิงด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ด้านหลังของเขายังมีเหมยจื่อจ้งกับซางจื่อซูเดินตามมา ด้านหลังของพวกเขาไกลออกไปก็เป็นศิษย์ของโรงโอสถคนอื่นๆ ที่ได้ติดตามไป พวกเขากำลังกวาดมองไปยังรอบด้านอย่างสนอกสนใจ
“ศิษย์พี่ทั้งสองท่านช่วงที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่?” พอได้เห็นศิษย์สำนักเดียวกัน มู่ชิงเกอก็รู้ลึกดีใจเป็นอย่างมาก ส่วนจูหลิงก็เร่งรีบเดินไปด้านข้างของซางจื่อซู คล้องไปที่แขนของนางอย่างสนิทชิดเชื้อ ก่อนที่จะกล่าวกับเหมยจื่อจ้ง “ศิษย์พี่เหมย”
เหมยจื่อจ้งเพียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปทางมู่ชิงเกอ กล่าวถามอย่างห่วงใย “มู่เกอ ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามีชื่อจริงๆ ว่ามู่ชิงเกอ ข้าเรียกเจ้าว่าชิงเกอได้หรือไม่?”
พอต้องเผชิญหน้ากับศิษย์พี่ที่รู้ถึงเพศที่แท้จริงของนาง มู่ชิงเกอในใจก็เคอะเขินติดขัดอยู่บ้าง นางลอบยกมุมปากขึ้นบางๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นกับเหมยจื่อจ้ง “ชื่อแซ่ก็เป็นแค่สัญลักษณ์แทนตัวเท่านั้น เชิญเรียกได้ตามสบาย”
เหมยจื่อจ้งพอได้ฟัง ก็พยักหน้ารับเบาๆ ยิ้มขึ้นอย่างเบิกบานใจ
จูหลิงมองไปยังเหมยจื่อจ้งอย่างสงสัยอยู่หลายส่วน พอตกอยู่ในสายตาของซางจื่อซู นางก็พลันกล่าวขึ้น “ดูท่าเจ้ายังไม่ยอมแพ้”
จูหลิงแย้มยิ้มพลางกล่าวขึ้น “ข้าชอบของข้า ก็ไม่ได้รบกวนทำให้เขาเดือนร้อนอันใด แล้วก็ยิ่งไม่ได้บีบบังคับอะไรเขา แล้วทำไมจะต้องยอมแพ้ด้วย? หากจะให้ข้ายอมแพ้เกรงว่าจะต้องให้ข้าพบกับคนอีกคนที่โดดเด่นกว่าศิษย์พี่เหมย คนที่มีเสน่ห์ทำให้ข้ารู้สึกหลงใหล และมีความรู้สึกตรงกันกับข้าคงถึงจะได้”
มองไปยังการป้องปากหัวเราะของนาง ซางจื่อซูก็กล่าวขึ้นอย่างเอือมๆ “คงยากนัก”
“ดังนั้น” จูหลิงกล่าวขึ้นอย่างทอดถอนใจ “ข้าชั่วชีวิตนี้ก็คงต้องตกอยู่ในฝ่ามือของศิษย์พี่เหมยแล้ว”
ซางจื่อซูปิดปากไม่ได้กล่าววาจาอีก
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็คลายแขนออกจากจูหลิง เดินไปยังด้านข้างมู่ชิงเกอ หยิบเอากระเป๋าจัดเก็บของตนออกมามอบให้เขา
ภายใต้สายตาสงสัยของมู่ชิงเกอกล่าวอธิบายขึ้น “นี่เป็นตัวยาที่ข้าปรุงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา พวกเรามีคำสัญญาต่อกันว่ายาโอสถที่ข้าปรุงได้ในสามปีนี้ล้วนเป็นของเจ้า”
มู่ชิงเกอหลุดหัวเราะ
นางก็คิดไม่ถึงว่าซางจื่อซูจะยังจำเรื่องนี้ได้อยู่
ส่ายหน้าขึ้น นางยื่นมือออกไปดันกระป๋าจัดเก็บที่ส่งยื่นมา “รอศิษย์พี่ซางรวบรวมยาโอสถครบทั้งสามปีแล้ว ค่อยมอบให้ข้าครั้งเดียวเถิด”
ซางจื่อซูลดสายตาลงก่อนจะขบริมฝีปาก “กระเป๋าจัดเก็บของข้าก็บรรจุไม่ได้มากมายขนาดนั้น”
มู่ชิงเกอหมดวาจาจะกล่าว ทำได้เพียงพยักหน้า “งั้นเอาเถอะเดี๋ยวข้าจะเอาของออกให้ท่าน”
ด้านนี้ระหว่างที่พวกเขาไม่กี่คนพูดคุยกัน จ้าวหนานซิงก็พลันเล่าสถานการณ์ปัจจุบันของสาขาย่อยของโรงโอสถ ในเหล่าศิษย์ที่ออกไปส่งตัวยาครั้งนี้ เพราะว่ามู่ชิงเกอเป็นคนเริ่มต้น ‘ทำลายหมากในกระดาน’ จึงส่งผลให้ศิษย์ของหัวชางซู่ไม่ได้ผ่านการคัดเลือกแม้แต่คนเดียว และภายใต้ ‘การจัดแจง’ ของโหลวชวนป่าย ในหมู่ผู้อาวุโสที่คุ้มกันขบวนส่งยาก็ล้วนไม่มีใครที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวชางซู่ ตังนั้นการเดินทางครั้งนี้ก็ยังนับว่าปลอดภัยอยู่
มู่ชิงเกอหลังจากได้ฟังแล้วก็พยักหน้าขึ้นเบาๆ “ไม่เลว พอรวมเข้ากับกองทหารที่ติดตามพวกเรามา ต่อให้มีผู้อาวุโสคนไหนอยากสร้างปัญหา ก็ไม่มีอะไรให้น่ากังวล”
“หัวชางซู่ตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง?” มู่ชิงเกอถามขึ้นอีกครั้ง
จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ “ยังคงเก็บตัวเงียบ ไม่รู้ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คำพูดของเจ้า ข้าก็ได้บอกกับท่านอาจารย์แล้ว เขาบอกว่าจะลองคิดดู”
“อืม เดี๋ยวข้าจะสั่งการลงไปว่าถ้าหากอาจารย์จะไปที่จวนตระกูลมู่ ให้ส่งคนไปรับ” มู่ชิงเกอพยักหน้าพลาง กล่าวขึ้น
ไม่ว่าหัวชางซู่ตอนนี้คิดจะทำอะไร ดูท่าก็คงทำได้เพียงไม่ต้องไปสนใจก่อนชั่วคราว
การไปโรงโอสถกลางครั้งนี้พวกเขาก็ต้องเดินทางไปไกลนัก อยากจะจัดการก็คงจัดการไม่ได้ คนที่ต้องปกป้องก็ถือว่าได้จัดการดูแลอย่างเรียบร้อยแล้ว พี่น้องตระกูลเว่ยกับฟู่เทียนหลง สุ่ยหลิงสี่คน พวกเขาแต่ละคนก็มีเบื้องหลังที่ไม่อ่อนด้อย แน่นอนว่าสามารถดูแลตัวเองได้
อีกทั้ง พวกเขาก็ไม่เคยมีปัญหากับหัวชางซู่ตรงๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลใจอันใด
แต่กับโหลวชวนป่ายนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหัวชางซู่ ถ้าหากหัวชางซู่มีความผิดปกติอะไร คนที่เสี่ยงอันตรายที่สุดก็คือโหลวชวนป่าย หลังจากขบวนเดินทางรวมตัวกันครบ ก็ทำการพักผ่อนอยู่ที่เมืองมู่ก่อนสองวัน
พอถึงวันที่สามที่มาเยือนเมืองมู่ ฝูงชนก็ค่อยๆ พากันขึ้นเรือ
พอยืนอยู่บนท่าเรือแล้วแหงนมองขึ้นไป ก็จะเห็นเรือยักษ์ขนาดใหญ่ มันสูงสิบจ้าง ยาวร้อยจ้าง มีความกว้างอีกประมาณสิบสองจ้าง คนพอยืนอยู่ด้านบน ก็เหมือน กับกำลังยืนอยู่บนเกาะขนาดเล็กในทะเล
อาคารบนเรือสี่ชั้นก็เพียงพอให้คนทั้งหมดเข้าพักอาศัย
ในโกดังเก็บของของเรือ ก็กองเต็มไปด้วยสมุนไพรชนิดต่างๆ ทั้งยังมีเสบียงและนํ้ารวมถึงสมบัติชนิดต่างๆ อีกมากมาย
ทั้งหมดนี้หลังจากเตรียมเสร็จครบครันแล้ว เรือขนาดยักษ์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากท่าเรือ มุ่งเดินทางไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนหัวเรือ ยืนตระหง่านรับสายลม มองไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขต ในใจพลางคิดขึ้น ‘พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน ข้ามาแล้ว!’