Skip to content

พลิกปฐพี 146-1

ตอนที่ 146-1

นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ VS นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ

ทะเลแห่งความจริงทอดยาวออกไปจากเหนือจรดใต้ ก่อนที่จะบรรจบเข้าที่ผืนแผ่นดิน กลายเป็นปราการเพียงหนึ่งเดียวที่ขวางกั้นระหว่างเหล่าแคว้นระดับสามกับอาณาจักรเซิ่งหยวน ผู้คนก็ต่างรับรู้กันว่า ทะเลแห่งความจริงก็เป็นปราการธรรมชาติที่ทำการปกป้องคุ้มครองแคว้นระดับสามเอาไว้ หากไม่มีมัน ด้วยความกล้าแกร่งและทรงอำนาจของแคว้นระดับหนึ่งอย่างอาณาจักรเซิ่งหยวนแล้ว ก็คงจะกลืนกินเขตแดนของแคว้นระดับสามไปทั้งหมด

การออกเดินทางจากน่านน้ำของเมืองมู่แคว้นฉินก็ถือเป็นเส้นทางเดินเรือที่จะไปยังโรงโอสถกลางที่ใกล้ที่สุด เพราะว่าโรงโอสถกลางนั้นตั้งอยู่ที่ขอบอีกด้านหนึ่งของทะเลแห่งความจริง ดังนั้นทุกครั้งที่ขนส่งตัวยาก็ล้วนแต่จะออกเดินทางจากเมืองมู่

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไป การล่องลอยอยู่แต่บนนํ้าทะเล นอกจากความแปลกใหม่ไม่กี่วันในตอนแรก เวลาที่เหลือทุกคนก็กลายเป็นเบื่อหน่ายขึ้นมา

ส่วนมู่ชิงเกอนั้นก็เอาแต่เก็บตัวฝึกฝนอยู่แต่ในห้องพัก ทำการฝึกปรือทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่หยุดพัก วันนี้ก็เป็นวันที่นางออกมาจากการเก็บตัวฝึกฝน เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องก็พลันได้ยินร้องดีอกดีใจของของคนจำนวนไม่น้อยดังเข้ามาจากดาดฟ้าเรือ

เดินตามเสียงไป มู่ชิงเกอก็พลันค้นพบว่าลูกศิษย์ลูกหาของโรงโอสถล้วนแต่รวมตัวกันอยู่ที่หัวเรือ พากันชะเง้อมองออกไปไกลด้านหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน

“ศิษย์น้องมู่”

มู่ชิงเกอถูกเสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันเรียกเอาไว้ นางหันหน้ามองไป ก่อนจะเห็นเข้ากับจ้าวหนานซิงที่กำลังเดินมาหาตน “ศิษย์พี่จ้าว”

จ้าวหนานซิงกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์ดี “เจ้าออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้วรึ?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองทางศิษย์ของโรงโอสถที่รวมตัวอยู่ด้วยกันพลางถามขึ้น “พวกเขากำลังทำอะไร?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวหนานซิงก็เผยแววยินดีขึ้นมาหลายส่วน “มองเห็นขอบของแผ่นดินได้แล้ว ทุกคนก็เลยดีใจมาก”

“หมายความว่าใกล้จะถึงแล้ว?” มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ อารมณ์ก็พลันดีขึ้นตามมา

จ้าวหนานซิง “ใช่แล้ว”

“คิดไม่ถึงว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นเช่นนี้ ราวกับว่าหากลมนิ่งคลื่นสงบก็จะสามารถไปถึงอาณาจักรเซิ่งหยวนได้อย่างง่ายดาย”

“ไม่แน่เสมอไป” พอจ้าวหนานซิงได้ยินคำกล่าวของนาง แล้วกลับส่ายหน้าปฏิเสธขึ้น

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว มองไปทางเขาอย่างแปลกใจ

จ้าวหนานซิงอธิบายยิ้มๆ “พวกเราที่สามารถเดินทางมา ได้อย่างราบรื่น นอกจากท้องฟ้าเป็นใจแล้วยังเป็นเพราะว่าใช้เรือจากโรงโอสถ”

“มีความแตกต่างกันด้วยรึ?” มู่ชิงเกอยกคิ้วเลิกสูงขึ้น

จ้าวหนานซิงเดินตรงไปยังด้านหน้า ลมทะเลพัดโชยมา พัดจนชุดสีเขียวอ่อนของเขาโบกสะบัดพรึ่บพั่บไปมา มู่ชิงเกอก็เดินตามเขาไป รอคอยการอธิบายของเขา

“ทุกหนึ่งปี ขบวนเรือที่เดินทางจากแคว้นระดับสามไปอาณาจักเซิ่งหยวนก็มีจำนวนไม่น้อย เรือทุกๆ ลำก็จะ ต้องทำการลงทะเบียนก่อนหลังจากได้รับการตรวจสอบแล้ว ถึงจะได้รับการอนุญาตให้เข้าสู่ทะเลแห่งความจริง นี่ถือเป็นข้อกำหนดที่อาณาจักรเซิ่งหยวนมีต่อแคว้นระดับสาม อีกทั้งในทะเลแห่งความจริง ก็มีหมู่เกาะจำนวนมากมาย ในบางเกาะก็จะมีกองกำลังและกลุ่มอำนาจอยู่ ถ้าหากเป็นเรือธรรมดาๆ ยังไม่ทันได้เข้าพรมแดนของอาณาจักเซิ่งหยวน เกรงว่าก็คงจะถูกบุกปล้นจับตัวไปที่เกาะทั้งเรือและตัวคนแล้ว” จ้าวหนานซิงอธิบายไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอในที่สุดก็เข้าใจขึ้นมา

กล่าวตามตรงก็คืออาณาจักรเซิ่งหยวนมีข้อจำกัดต่อกองเรือของแคว้นระดับสามที่จะออกเดินทางไปเยือน เรือที่ไม่ได้รับการอนุญาตก็จะไม่อาจเข้าไปในน่านนํ้า ของอาณาจักเซิ่งหยวนได้ แล้วนอกจากนี้ในทะเลแห่งความจริงก็ยังมีกลุ่มโจรสลัด ค่อยทำการปล้นฆ่าขบวนเรือที่มุ่งหน้าไป

เพียงแต่…

“ทำไมอาณาจักรเซิ่งหยวนถึงปล่อยปละละเลยกองกำลังเหล่านี้ให้คงอยู่ในหมู่เกาะในทะเลกัน?” มู่ชิงเกอถามความสงสัยในใจออกมา

แต่ฝ่ายจ้าวหนานซิงกลับจ้องมองมายังนางอย่างแปลกๆ “เกาะในทะเลพวกนี้ล้วนแต่ตั้งอยู่ด้านนอกของแผ่นดิน เป็นที่ที่นักโทษคนชั่วช้าถูกเนรเทศและหลบหนี ความผิดมากบดาน เหตุใดจะต้องเข้าควบคุมดูแลด้วย? อีกอย่างกองกำลังพวกนี้ก็ยังมีความคิดอยู่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยล่วงเกินเรือของอาณาจักรเซิ่งหยวน ก็อย่างเช่นเรือของโรงโอสถลำนี้ ส่วนคนที่พวกเขาไปล่วงเกินนั้นส่วนมากก็ล้วนเป็นเรือของแคว้นระดับสาม หากถูกปล้นก็ได้แต่คิดว่าตัวเองอับโชค ไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใด เพราะเหตุนี้ ยอมสิ้นเปลืองกองกำลังของแคว้นมาต่อตีกับคนพวกนั้นหรอก”

คำกล่าวของจ้าวหนานซิงก็ทำเอามู่ชิงเกอนิ่งชะงักไป ความคิดในการปกครองที่ล้าหลังเช่นนี้ ก็เหมือนกับว่าจะถูกลืมจากโสตประสาทของนางไปนานแล้ว นางคุ้นชินกับมาตรฐานการปกครองประเทศของโลกที่แล้วของนาง จากมุมมองของนาง ขอเพียงเป็นเขตแดนที่ถือเป็นดินแดนของตน ทะเล น่านฟ้า แผ่นดินล้วนแต่ไม่อาจยินยอมต่อผู้กระทำผิดได้

เพียงแต่ว่าสำหรับคนที่นี่แล้ว เกาะเหล่านี้ก็เหมือนกับ เขตแดนทุรกันดาน ว่างเปล่าไร้ผู้คน ก็เลยไม่ได้รับการควบคุมจากส่วนกลาง

เพราะความคิดเช่นนี้เอง ถึงทำให้คนชั่วช้าพวกนี้หลบหนีมาใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะเหล่านี้ได้

คาดว่าคนส่วนมากคงจะเป็นพวกที่ทำความผิดแล้วไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต่อได้อีก ถึงได้ร้องขอไปเข้าร่วมในกองกำลังตามเกาะต่างๆ ในท้องทะเล

มู่ชิงเกอส่ายหัวยิ้มๆ มองดูจนจ้าวหนานซิงงงงวยไม่เข้าใจความนัย

มู่ชิงเกอก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมซือมั่วถึงแนะนำให้นางเดินทางมากับเรือของโรงโอสถเพื่อเข้าสู่อาณาจักรเซิ่งหยวน ความคิดนี้ก็ถือเป็นวิธีการที่ประหยัดเวลาที่สุด ถ้าหากรอนางหาเรือเองแล้วไปขออนุญาตเข้าอาณาจักรเซิ่งหยวน แล้วค่อยลงทะเล ผ่านการพัวพันกับพวกโจรสลัด ก็ล้วนแต่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าใดถึงจะสามารถเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ของอาณาจักรเซิ่งหยวนได้!

ระหว่างที่พูด ทั้งสองคนก็ได้เดินมาถึงกราบเรือ สุดขอบสายตาไกลออกไป ปรากฏขอบของแผ่นดินเข้าสู่สายตา ขึ้นรางๆ ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร การที่เดินทางรอนแรมมาเดือนกว่า แล้วตอนนี้สามารถมองเห็นผืนแผ่นดินได้ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งที่มีค่าควรให้ผู้คนเบิกบานใจ

“ใช่แล้ว พวกศิษย์พี่เหมยสามคนนั้นเล่า?” มู่ชิงเกอกล่าวถามขึ้น

“พวกเขายังคงเก็บตัวฝึกปรืออยู่ โดยเฉพาะจูหลิง บางทีอาจเป็นเพราะตัดสินใจจะรั้งอยู่ที่โรงโอสถกลาง นางบอกว่าจะต้องเร่งรีบพัฒนาฝีมือการปรุงยาของตัวเอง จะได้เพิ่มโอกาสสำเร็จขึ้นมากๆ” จ้าวหนานซิงกล่าวอธิบาย

มู่ชิงเกอพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วพวกท่านจะกลับไปเมื่อไร?”

จ้าวหนานซิงไม่ทันสังเกตคำว่า ‘พวกท่าน’ ของนางสองคำ คิดคำนวณขึ้นอย่างตั้งใจก่อนจะกล่าวออกมาว่า “น่าจะรั้งอยู่โรงโอสถกลางประมาณหนึ่งเดือน ถือเป็นการพบปะ สานความสัมพันธ์ระหว่างโรงโอสถสาขาย่อยกับโรงโอสถกลาง แล้วหลังจากนั้นค่อยเดินทางกลับ โรงโอสถกลางก็อยู่ห่างไกลเทียนตูเมืองหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวนมากนัก พวกเราคงไปไม่ไหว คงทำได้เพียงรั้งอยู่ที่โรงโอสถกลางแล้ว”

รอหลังจากเขากล่าวเสร็จ ถึงได้นึกเอะใจถึงคำถาม ประโยคเมื่อครู่ของมู่ชิงเกอ พลันค้นพบว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เร่งร้อนกล่าวขึ้น “เดี๋ยวนะ เจ้าพูดว่าพวกท่าน? หรือเจ้าไม่ได้คิดจะกลับไปด้วยกันรึ?”

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นพลางกล่าว “มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องออกไปจัดการเพียงลำพัง คงไม่ตามพวกท่านกลับไปด้วย”

“แต่ว่าหากเจ้าไม่กลับไปพร้อมกับพวกข้าพอถึงตอนขากลับเจ้าจะเดินทางกลับไปอย่างไร?” จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วกล่าวขึ้น

มู่ชิงเกอขบริมฝีปากเบาๆ

แน่นอนว่านี่ก็เป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง นางคงไม่ไปรอเรือขนส่งของโรงโอสถรอบหน้าแล้วค่อยตามกลับไป แต่ว่าการแก้ปัญหาต่างๆ ก็ไม่ได้มีแค่วิธีเดียว ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุดในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหนทางเพียงหนึ่งเดียว

ดังนั้น นางก็พลันแย้มยิ้มขึ้น “วางใจเถอะ ทางเดินก็อยู่ใต้เท้า ท่านยังจะกังวลว่าข้าจะกลับบ้านไม่ได้ใปทำไม?”

จ้าวหนานซิงยิ้มกล่าวอย่างอับจนหนทาง “ก็ใช่ ถ้าหากเจ้ายังถูกขวางกั้นด้วยเรื่องแค่นี้ ก็คงถือว่าไม่สมควรนัก เช่นนั้นเจ้าจะกลับไปที่โรงโอสถสาขาย่อยเมื่อใดกัน?”

มู่ชิงเกอคำนวณเวลาขึ้นในใจ ไม่ได้รีบตอบกลับออกไป จ้าวหนานซิงเห็นท่าทางครุ่นคิดของนาง ก็พลันกล่าวกำชับขึ้น “ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะเป็นนักปรุงยาระดับจิต วิญญาณแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าเจ้ายังไม่ได้รับการทดสอบจากโรงโอสถ เจ้ายังถือว่าเป็นศิษย์ของโรงโอสถอยู่” มู่ชิงเกอพยักหน้ากล่าว “โรงโอสถสาขาย่อยข้าแน่นอนว่าต้องกลับไป กลับไปรับการทดสอบจากโรงโอสถ แต่ว่าหลังจากที่ข้าไปทำธุระเสร็จ ก็คงจะกลับไปที่แคว้นฉินก่อนรอบหนึ่ง หลังจากนั้นค่อยไปที่แคว้นอวี๋”

จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วขึ้น กล่าวไปทางนาง “หากเป็นเช่นนี้ เวลาก็คงไม่อาจกล่าวได้อย่างชัดเจนนัก” แต่ไม่นานคิ้วของเขาก็คลายลง ก่อนจะแย้มยิ้มขึ้น “แต่ว่าวางใจได้ พวกเราก็จะรอเจ้าอยู่ที่โรงโอสถสาขาย่อย รอเจ้ากลับมาแล้วพวกเราไปรับการทดสอบจากโรงโอสถพร้อมกัน หลังจากค่อยเดินทางตะลุยใต้หล้าไปด้วยกัน!”

“ท่านก็ไม่เต็มใจจะเป็นองค์ชายแต่เต็มใจไปเป็นจอมยุทธ์พเนจรงั้นรึ?” มู่ชิงเกอกล่าวหยอกเย้า

จ้าวหนานซิงไขว้มือไว้ด้านหลัง รอยยิ้มก็ยิ่งเจิดจ้าสดใสขึ้นอีกหลายส่วน “เป็นองค์ชายมันน่าสนุกตรงไหน? แก้วแหวนเงินทองพวกนั้นไหนเลยจะเปรียบกับความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี?”

ทั้งสองคนพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง ด้านหน้าเดินเข้ามาด้วยคนสองคน ก่อนจะแยกกันคำนับไปทางทั้งสองคน

“คุณชาย”

“องค์ชายสี่”

ทั้งสองมองไปทางลูกน้องใต้อาณัติพร้อมกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version