ตอนที่ 173-4
คนครบจนสามารถตั้งวงไพ่ได้!
เมื่อเจียงหลีเดินไปแล้วครู่หนึ่ง จ้าวหนานซิงถึงได้เดินเข้ามาใกล้กับมู่ชิงเกอ เอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเกอ ฮ่องเต้เจียงผู้นี้รู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็น…”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “นางรู้”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เหงื่อของจ้าวหนานซิงถึงได้สามารถเช็ดออกหมดได้ หินใหญ่ที่อยู่ในใจตกลง มู่ชิงเกอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่จ้าวกังวลใจเรื่องอะไรอยู่หรือ?”
มุมปากของจ้าวหนานซิงกระตุก ในใจลอบเอ่ย ‘ยังไม่ใช่เพราะกังวลว่าเจ้าปล่อยใจมากเกินไป กลัวจะทำให้บุปผาหวั่นไหวหรือ’
“เบิกตัว แคว้นชั้นสาม แคว้นฉิน แคว้นลี่ แคว้นอวี๋เข้าเฝ้า—–!”
เสียงเจ้าหน้าที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ในที่สุดก็ถึงพวกเราแล้ว” ฟ่งอวี๋เฟยยืดอกขึ้น เอ่ยออกมา
ท่าทางของนางดูเคร่งขรึม ดุจดังกำลังจะเผชิญหน้ากับศึกใหญ่
มู่ชิงเกอมองไปที่นางแล้วก็หัวเราะเอ่ยว่า “ผ่อนคลายหน่อย พวกเรากำลังไปงานเลี้ยงอาหารคํ่าไม่ใช่ไปต่อสู้กัน”
คำพูดของนางทำให้ฟ่งอวี๋เฟยเผยรอยยิ้มที่หมดหนทาง ทั้งยังดูซับซ้อนออกมา “ไม่มีทางเลือก หลังจากเข้ามาในอาณาจักรเซิ่งหยวน ข้าก็รู้สึกว่าทุกๆ ก้าวเต็มไปด้วยกับดัก มีอันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง”
นางเป็นรัชทายาทหญิง บนบ่ามีความรับผิดชอบที่ไม่อาจผลักออกได้ ความรับผิดชอบนี้ทำให้นางรู้สึกกดดัน ตอนอยู่ในแคว้นลี่ยังดี เพราะว่าเป็นที่ของตัวเอง แต่หลังจากที่มาถึงอาณาจักรเซิ่งหยวน นางก็รู้สึกว่ามีกำลังไม่เพียงพอ หากไม่ใช่เพราะมีมู่ชิงเกออยู่ ทำให้นางสบายใจ เกรงว่านางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถรับแรงกดดันที่อาณาจักรเซิ่งหยวนมอบให้แก่นางได้หรือไม่
“วางใจเถอะ ทุกอย่างมีข้า” มู่ชิงเกอเดินไปถึงด้านหน้าของนาง ยกมือขึ้นแตะไหล่ของนางเบา ๆ เอ่ยรับประกัน
ทุกอย่างมีข้า…
คำสี่คำนี้ ทำให้ฟ่งอวี๋เฟยรู้สึกสบายใจ มองมู่ชิงเกออย่างตั้งใจแล้วพยักหน้า
“ไปกันเถอะ พวกเราคุณชาย รัชทายาทหญิง องค์ชายแห่งแคว้นระดับสาม จะไปร่วมงานกับเหล่าคนชั้นสูงแห่งหลินชวนเป็นครั้งแรก” จ้าวหนานซิงยิ้มให้กับสาว งามทั้งสองคน จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าอย่างสบายใจ เขาไม่ได้อยากจะแย่งความเด่นของมู่ชิงเกอ เพียงแต่ตัวเองคิดว่า ในเวลานี้ เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว จำเป็น ต้องทำให้คนอื่นๆ รู้สึกสบายใจ
ฟ่งอวี๋เฟยยิ้มให้กับมู่ชิงเกอ เดินตามจ้าวหนานซิงไป
มู่ชิงเกอก็สะบัดชายเสื้อตามไป ตอนที่อยู่บนแท่นจ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยก็ลอบถอยไปอยู่ด้านหลังซ้ายขวาของนาง ให้นางนำไป
‘…เก้าสิบเก้าก้าว’ ตอนที่อยู่บนแท่น มู่ชิงเกอก็ลอบนับในใจ ตอนที่นางก้าวมาถึงชั้นบนสุด ยืนอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงชั้นที่เก้าสิบเก้าพอดี ความละเอียดละออในการก่อสร้างตำหนักของพระราชวังแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวนนั้นมู่ชิงเกอไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด
เมื่อทุกคนยืนอยู่บนพื้นเรียบแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายในคนนั้นค่อยเดินมาตรงหน้าของมู่ชิงเกอ กวาดตาพิจารณาพวกเขาอย่างเย็นชารอบหนึ่ง ปลายจมูกค่อยๆ ปล่อยคำ ที่เหมือนจะดูแคลนออกมาคำหนึ่ง “ไปเถอะ”
เมื่อพูดแล้ว เขาก็ปัดฝุ่นในมือออก เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ท่าทางของเขา ทำให้จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าหน้าที่ฝ่ายในผู้นี้ไร้มารยาท!”
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “สุนัขเห่าท่าน ท่านยังจะเห่าสุนัขกลับ เช่นนั้นจะต่างอะไรจากสุนัข?…”
ไม่ต้องไปสนใจ นั้นเป็นวิธีดูแคลนเขาได้ดีที่สุด คิ้วที่ขมวดของจ้าวหนานซิงคลายออก มุมปากฉีกยิ้ม เปิดพัดในมือพัดไปมา บรรยากาศที่อ่อนโยนและสง่า งามของคุณชายชั้นสูงลอยออกมา
ภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายใน พวกมู่ชิงเกอก็มาถึงประตูใหญ่ของตำหนัก
แสงสว่างส่องออกมา ภายในตำหนักสว่างดุจยามกลางวัน ส่องแสงแสบตา
ในตอนนี้ นางถึงพบว่าภายในตำหนักนี้แบ่งเป็นสองชั้น บนล่าง
ชั้นนอกสุด มีบรรดาขุนนางของอาณาจักรเซิ่งหยวนนั่งอยู่เต็มไปหมด ตรงกลาง มีพรมสีแดงเหยียดตรงเชื่อมต่อกับประตูใหญ่ของตำหนัก ทั้งยังมีแท่นชั้นสอง
บนชั้นสอง ถึงเป็นคนชั้นสูงที่แท้จริงนั่ง!
ชั้นสองกับชั้นหนึ่งห่างกันสามจ้าง ทิวทัศน์ด้านบนนั้น คนที่นั่งอยู่ชั้นแรก สามารถมองเห็นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อมู่ชิงเกอปรากฎตัวอยู่ตรงประตูใหญ่ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาสนอกสนใจได้ทันที สายตาของบรรดาขุนนางของอาณาจักรเซิ่งหยวน ค่อยๆ ตกลงมาอยู่บนร่างของพวกเขา
มีทั้งสายตาที่ดูสงสัย พิจารณา และก็มีที่ดูแคลน แต่ถึงกระนั้น เมื่อพวกเขาได้เห็นรูปโฉมของมู่ชิงเกอแล้ว ก็ล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นัยน์ตาฉายแวว ประหลาดใจ
ดูเหมือนว่า พวกเขาจะคิดไม่ถึง ว่าคนที่มาจากสถานที่ชั้นตํ่าอย่างแคว้นระดับสาม จะสามารถมีรูปโฉมที่งดงาม โดดเด่นได้ถึงขนาดนี้
ทั้งชั้นหนึ่งจึงพร้อมใจกันเงียบอย่างไม่ได้นัดหมาย เมื่อชั้นหนึ่งเกิดความเงียบขึ้นมา ก็ดึงดูดให้คนบางคนบนชั้นที่สองให้ความสนใจ
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางเข้าของชั้นที่สอง มองคนที่กำลังเข้ามา
ภายในสายตาของผู้คน มู่ชิงเกอก้าวเดินด้วยท่วงท่าสบายๆ ไปบนพรมแดงโดยไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจหรือหวาดกลัว
ความสงบของนางดูเหมือนว่าจะทำให้คนที่ตามมาทำตาม
พวกเขาล้วนแต่วางความตื่นเต้นลง เดินตามก้าวย่างของมู่ชิงเกอ ขึ้นไปบนแท่นชั้นสอง
เสียงฝีเท้าบนแท่นดังขึ้น ไม่เร่งร้อน ดูสงบและมั่นคง
จากนั้น ชั้นสองก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเงียบลง แม้แต่ราชวงศ์ระดับสูงของอาณาจักรเซิ่งหยวนที่นั่งอยู่บนแท่นสูงก็ยังหยุดชะงักพร้อมกับคนอื่นๆ สายตามองมาที่ทางเข้า
เพียงครู่เดียว เสื้อสีแดงสด ก็ปรากฏอยู่ภายใต้สายตาของทุกคน
สีแดงอันน่าหลงใหลนี้ เมื่ออยู่ภายในตำหนักอันงดงามแห่งนี้ก็ยิ่งดูสดใสมากขึ้น จนทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้
เมื่อมองเห็นชัดถึงคนที่มาแล้ว เหล่าคนชั้นสูงบนชั้นสอง ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในสาเหตุที่ทำให้บรรดาขุนนางในชั้นหนึ่งเปลี่ยนเป็นเงียบลงอย่างกะทันหันแล้ว
เป็นเพราะคนที่มา ดูโดดเด่นยิ่งนัก
ทำให้คนอดมองไม่ได้!
เมื่อขึ้นมาบนแท่นชั้นสอง ในที่สุดมู่ชิงเกอก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนแท่นชั้นสองนี้มีอะไร
เมื่อเทียบกับชั้นหนึ่งแล้ว คนที่อยู่บนชั้นสองนั้นมีไม่มาก
ตรงหน้าก็ตั้งอยู่ด้วยแท่นสีทองที่ถูกปูด้วยทองคำอีกสามชั้น บนชั้นเต็มไปด้วยผู้คน ชั้นแรกนิ่งอยู่ด้วยสตรีชั้นสูง เสน่ห์เย้ายวนคละปนกันไป อยู่ในอิริยาบถท่าทางต่างๆ ชั้นสอง คนที่นั่งนั้นมีแต่ผู้ที่มีกลิ่นไอสูงศักดิ์ เป็นบุรุษที่สวมชุดของราชวงศ์ดูแล้วน่าจะเป็นเหล่าองค์ชายของอาณาจักรเซิ่งหยวน
ส่วนชั้นสาม มีเพียงแค่คนเดียว นั่งอยู่บัลลังก์มังกร มองดูพวกเขาด้วยสายตาของผู้สูงศักดิ์
ด้านขวาและซ้ายของมู่ชิงเกอ ล้วนแต่เป็นแขก ด้านขวามือ มู่ชิงเกอไม่ได้มองอย่างละเอียด นางมองแต่คนทางด้านซ้ายมือ คนของแคว้นระดับสองแล้วก็ยังมีคนของแคว้นกู่วู่ แขกได้นั่งเต็มแล้ว เหลือแค่ที่ขอบสุดที่มีตำแหน่งว่าง
ไม่ต้องเอ่ย ที่นั้นก็คือที่ที่เตรียมไว้ให้กับแคว้นระดับสาม
ห่างออกไปไกลที่สุด ห่างที่สุด มุมที่ไม่เป็นที่สนใจ
สายตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปที่ตำแหน่งว่าง มุมปากโค้งขึ้นยิ้มอย่างเยียบเย็น
การแบ่งสถานที่ การแบ่งสถานะ อยู่ในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน จากตอนที่เข้าวังมา ก็คอยยํ้าเตือนการแบ่งชั้นอยู่ตลอด ดูเหมือนจะบอกแก่พวกเขา อยู่ตลอดว่า ต้องรู้จักขอบเขต ต้องรู้สถานะของตนเอง!
บนตำแหน่งด้านซ้าย ในตำแหน่งของแคว้นระดับสอง
คนของแคว้นหรง ก็มองมู่ชิงเกอด้วยท่าทีที่ดูแคลน ส่วนอีกสองแคว้นที่เหลือถึงจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ความแตกต่างของสถานะในสายตา ยังคงอยู่
ในนั้น เซวียฉงก็ยังคงทำให้มู่ชิงเกอมองอย่างสนใจ
เพราะว่าภายในสายตาที่เซวียฉงมองมา นางมองไม่เห็นถึงสายตาที่เหมือนกับคนอื่น มองเห็นเพียงความประหลาดใจเท่านั้น
กำลังประหลาดใจอะไร?
มู่ชิงเกอคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจ เกรงว่าจดหมายของเซวียเฉียว คงไปถึงตระกูลเซวียแล้ว พวกเขาคงรู้แล้วว่าคนคลั่งบู๊ได้แต่งงานกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่ของแคว้นระดับสามแคว้นฉินเป็นภรรยาแล้ว ดังนั้นถึงได้สงสัยในตัวนาง ที่เป็นคุณชายมู่
ส่วนเจียงหลี ก็มองนางด้วยสายตาเป็นมิตรที่แฝงไปด้วยความสุขที่จะได้ชมดูเรื่องสนุก
มู่ชิงเกอเก็บสายตากลับ หลุบตาลง คำนับฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน “มู่ชิงเกอแคว้นฉินจากแคว้นระดับสาม ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี! ”
“ฟ่งอวี๋เฟยแคว้นลี่จากแคว้นระดับสาม ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
“จ้าวหนานซิงแคว้นอวี๋จากแคว้นระดับสาม ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
ฟ่งอวี๋เฟยกับจ้าวหนานซิงก็รีบเอ่ยคำนับตาม
“เป็นเจ้านี่เอง!”
“เป็นเจ้าสารเลว!”
จักพรรดิอาณาจักรเซิ่งหยวนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดและไม่พอใจดังมาจากตำแหน่งที่นั่งด้านขวา
มู่ชิงเกอหันไปมอง ก็เห็นชัดถึงคนที่นั่งอยู่ด้านขวา คิ้วกระตุกขึ้น
เหอะ เหอะ เฮยมู่จำนางได้นางไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ไม่คิดว่า จิ่งเทียนที่เคยมีเรื่องบาดหมางในโรงโอสถกลางกับนาง จะมา ปรากฏตัวอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน ดูจากที่นั่งของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าสถานะของเขาคงจะไม่ต่ำต้อย
มู่ชิงเกอกวาดตามองไป—–
คนที่อยู่ด้านขวา นางรู้จักไม่มาก ที่คิดไม่ถึงก็คือ ผู้อาวุโสของโรงโอสถกลางก็มาเช่นกัน ตอนนี้กำลังมองนาง มุมปากยกยิ้ม
หอหลอมศาสตรา สำนักหมื่นอสูร จิ่งเทียน…
งานเลี้ยงในครั้งนี้ ถึงกับนำคนที่มีความแค้นกับมู่ชิงเกอมารวมไว้ด้วยกัน!