ตอนที่ 173-3
คนครบจนสามารถตั้งวงไพ่ได้!
ท่าทางที่ดูกังวลใจของนาง ตกอยู่ใต้สายตาของเจียงหลี ผู้ที่เคยสัมผัสถึงความกังวลใจของมู่ชิงเกอด้วยตัวเอง นางกลอกตาบนแล้วเอ่ยเพิ่มเติมว่า “เซวียฉงผู้นี้ก็เพิ่งจะได้รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่านบุ๋นก่อนจะมาอาณาจักรเซิ่งหยวนในครั้งนี้นั้นนอกจากอำนาจของตระกูลเซวียในแคว้นอวี่แล้ว ก็เกี่ยวข้องกับความสามารถเฉพาะตัวของเขาที่โดดเด่น เขามีระดับพลังขั้นสีครามขั้นสูงสุด แต่ว่าในตระกูล เซวียนอกจากเซวียเฉียวที่เป็นพวกผ่าเหล่าผ่ากอแล้ว ก็ไม่มีใครให้ความสำคัญด้านบู๊เลย ที่ให้ความสำคัญก็คือการวางกลยุทธ์และการจัดการแคว้น เซวียฉงผู้นี้เป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ จากเล็กจนโตก็มีชื่อเลียงที่โด่งดัง ตอนที่อายุได้เจ็ดขวบ ก็สามารถจดจำคัมภีร์พระธรรมหมื่นม้วนได้จนหมด สามารถพูดคุยกับผู้อาวุโสตระกูลเซวียเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองได้ทั้งยังสามารถแนะนำนโยบายใหม่ๆ ที่ทำให้คนทึ่งได้ อายุสิบสองปีก็เข้าสู่ราชสำนักเป็นขุนนาง จากตำแหน่งจัดการงานเอกสาร ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาทีละก้าวๆ อย่างเที่ยงตรง อีกทั้งตอนที่ยังไม่ถึงปีเลื่อนขั้น ก็สามารถขยับไปเป็นเสนาบดีฝ่ายบุ๊นได้แล้ว อีกอย่างนี่ก็เป็นผลลัพธ์จากการที่ตระกูลเซวียตั้งใจกดเอาไว้มิเช่นนั้น เกรงว่าเขาคงจะได้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งนี้หลายปีแล้ว”
“เหตุใดเจ้าจึงอธิบายมากมายถึงขนาดนี้?” มู่ชิงเกอมองไปที่เจียงหลีอย่างแปลกใจ
แต่กลับเป็นการกระตุ้นให้เจียงหลีกลอกตามาให้แล้ว เอ่ยว่า “ยังไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเจ้าหรือ?”
ที่นางพูดนั้นเป็นความจริง นางไม่เคยมีความสนใจในข่าวสารของตระกูลชั้นสูง หากไม่ใช่เพราะรู้ว่ามู่ชิงเกออยู่ในแคว้นระดับสาม สำหรับการหาเรื่องราวของแคว้นระดับสองนั้นไม่สะดวกและตอนนี้ตระกูลเซวียเกี่ยวดองกับตระกูลมู่แล้วละก็ นางก็จะไม่ไปสนใจในข่าวสารของตระกูลเซวียเลย รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูร ก็ล้วนเป็นเพราะว่านางรู้ว่ามู่ชิงเกอกับพวกเขานั้นเป็นศัตรูกัน ถึงได้สนใจในความเคลื่อนไหวของกลุ่มอำนาจเช่นนี้?
มู่ชิงเกอยิ้มให้กับเจียงหลีแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
คำนี้ได้สลายอาการไม่พอใจของเจียงหลีไป คิ้วที่ขมวดคลายออกแล้วเอ่ยว่า “นี่ยังไม่เท่าไหร่”
ท่าทางที่ทั้งสองคนทั้งคุยทั้งหัวเราะกันนั้น ตกอยู่ภายใต้สายตาของจ้าวหนานซิงที่ตามมาด้านหลัง ซึ่งรู้สึกตกตะลึงมาก
เพราะว่า เขาไม่แน่ใจว่า ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ผู้นี้รู้สถานะที่แท้จริงของ ‘ศิษย์น้องมู่’ ของตัวเองหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่รู้ ความชอบนี้จะกลายเป็นความแค้นหรือไม่?
ถ้าหากว่ากลายเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นพวกเขาแคว้นระดับสามที่อยู่ภายในอาณาจักรเซิ่งหยวน ก็คงจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ในใจของเขาคิดอยากถาม แต่ก็ยังไม่มีโอกาส
ในตอนนี้ ฟ่งอวี๋เฟยก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ดูแล้วเสน่ห์ของคุณชายก็ดูไม่ธรรมดานัก แม้แต่ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ก็ยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่เขา”
ฟ่งอวี๋เฟยไม่รู้สถานะที่แท้จริงของมู่ชิงเกอ ดังนั้นในมุมมองที่นางมอง ความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอกับเจียงหลี จึงเป็นเหมือนกับคนที่ชอบพอกัน
แต่ว่า ประโยคนี้กลับทำให้จ้าวหนานซิงตกใจมาก มองไปที่คนทั้งสองด้วยสีหน้าลำบากใจ
ในที่สุด ก็เดินผ่านอุทยานหลวงออกไป หลังจากการผ่านทางที่ยาวนาน ทุกคนก็มาถึงนอกพระตำหนักที่งดงามหลังหนึ่ง
ไม่เพียงแต่พวกเขาที่อยู่ที่นั้น คนของแคว้นระดับสองก็อยู่เช่นเดียวกัน
ฉิวเกาหันกลับมา เอ่ยกับพวกมู่ชิงเกอว่า “งานเลี้ยงในคืนวันนี้ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ขอทุกท่านโปรดรอการขานเรียกให้ดี”
มู่ชิงเกอหยุดพูดกับเจียงหลี เงยหน้าขึ้นไป
ตรงหน้านั้นเป็นตำหนักที่สร้างอยู่บนแท่นสูง เป็นชั้นๆ มีประมาณเก้าสิบกว่าชั้น ทำขึ้นจากหยกขาว ทั้งยังมีเสาธงที่ถูกแกะสลักไว้อย่างละเอียดประณีต ตำหนักแห่งนี้ ตั้งอยู่ใจกลางหมู่มวลบุปผาอันงดงาม ทิวทัศน์งดงามดึงดูดคน ถึงแม้ว่าจะเป็นยามกลางคืน ก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความหอมเย้ายวนที่น่าหลงใหล
กระเบื้องเคลือบทองคำ แผ่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ ดุจดั่งเป็นพระราชวังบนสวรรค์ชั้นฟ้า
ตอนนี้ ภายในตำหนัก ก็มีเสียงดนตรีที่เหมือนกับลอยลงมาจากสวรรค์ดังขึ้น ท่วงทำนองไพเราะจับใจ ก็ยังแฝงไว้ความตื่นตาและน่าเกรงขาม
นางกำนัลจำนวนนับไม่ถ้วนเดินเข้าเดินออก ดูเหมือนจะเป็นการจัดเตรียมครั้งสุดท้าย
เพียงครู่เดียว ระฆังขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่นอกตำหนักก็ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายในตีดังขึ้น
ทั้งหมดมีเสียงสามครั้ง ทำให้นกในป่าบินอย่างตื่นตกใจ เสียงสะท้อนกลับไปกลับมาภายในวัง
เสียงระฆังดังขึ้น มู่ชิงเกอมองเห็นฉิวเกากำลังยืดเอวให้ตรง ท่าทางเหมือนกำลังจัดการความเรียบร้อยของชุดตนเอง
เพียงครู่เดียว ก็มีคนเดินออกมา ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักก้มลงประกาศว่า “เบิกตัว ผู้แทนแคว้นระดับสองแคว้นหรง แคว้นอวี่ แคว้นตี๋เข้าเฝ้า!”
เสียงนี้มีพลังจิตแฝงมาด้วย ดังนั้นเสียงจึงดังกังวานสะท้อนเข้าหู ดุจดังมาตะโกนอยู่ข้างๆ หู สองตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง ในใจเอ่ยอย่างตกตะลึง ‘เพียงแค่เจ้าหน้าที่ฝ่ายในคนหนึ่งเท่านั้น ก็มีพลังระดับพลังชั้นสีครามชั้นต้น!’ หลังจากเข้ามาในพระราชวัง ระหว่างที่นางพูดคุยกันกับเจียงหลี บางครั้งก็ให้ความสนใจกับความแข็งแกร่งขององครักษ์ภายในวัง นางพบว่าแม้แต่องครักษ์ชั้นธรรมดาที่สุดก็ยังอยู่ระดับพลังชั้นสีเขียวชั้นต้น
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ระดับพลังชั้นสีเขียวชั้นต้นอยู่ในแคว้นระดับสามก็ถือว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่หาได้ยากยิ่งแล้ว แต่ว่าภายในแคว้นระดับหนึ่งอาณาจักรเซิ่งหยวน กลับเป็นได้แค่เพียงองครักษ์ธรรมดาๆ
ทั้งยังมีแรงกดดันที่ปรากฏเพียงพริบตาเมื่อครู่ในประตูชั้นที่สามอีก
เพิ่งจะเข้ามาในพระราชวังของอาณาจักรเซิ่งหยวนเพียงครู่เดียว มู่ชิงเกอก็รู้สึกได้อย่างชัดแจ้งถึงความแตกต่างระหว่างแคว้นระดับหนึ่งกับแคว้นระดับสามแล้ว
ความแตกต่างเช่นนี้ไม่ใช่เฉพาะเพียงระดับคนเท่านั้น แต่ยังเป็นระดับกำลังของแคว้นอีกด้วย
“รู้สึกอย่างไรบ้าง? รู้สึกว่าความแตกต่างระหว่างแคว้นระดับสามกับแคว้นระดับหนึ่งไม่ดูคลุมเครือแล้วใช่หรือไม่ กลายเป็นชัดเจนแล้วใช่ไหม แต่ว่าเมื่อชัดเจนแล้ว ก็ทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นช่องว่างที่ไม่อาจข้ามผ่านได้?” เจียงหลีเอ่ยเสียงเบา
ดูเหมือนว่านางจะสัมผัสได้ถึงความคิดของมู่ชิงเกอในตอนนี้จึงเอ่ยสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ในใจออกมา
มู่ชิงเกอไม่ได้ยอมรับ กลับเอ่ยว่า “ช่องว่างแน่นอนว่ามี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชนะเสมอไป”
คิ้วของเจียงหลีกระตุก มองนางด้วยท่าทีที่รู้สึกสนุก นัยน์ตาสีทองฉายแวววาววาบ
“เจ้าช่างทำให้ข้ายิ่งรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่า เป็นใครกันที่มอบความมั่นใจให้แก่เจ้าถึงขนาดนี้ถึงได้คิดว่าสามารถไม่พ่ายแพ้หลังจากที่รู้ ถึงความห่างชั้นของพลังอย่างชัดเจนแล้วได้!” เจียงหลีเอ่ย
มู่ชิงเกอหันมองนาง มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างชัดเจน “หากเป็นเจ้า เจ้าจะถูกทำให้รู้สึกพ่ายแพ้หรือไม่?”
เจียงหลีชะงัก นัยน์ตาสีทองสะท้อนท่าทางยิ้มแย้มของมู่ชิงเกอ มุมปากภายใต้ผ้าคลุมของนางฉีกยิ้มขึ้น ไม่ได้เอ่ยตอบ
แต่ว่าในความเป็นจริง นางก็รู้ว่าถึงตัวเองจะไม่พูด มู่ชิงเกอก็รู้คำตอบอยู่ดี!
นางจะไม่รู้สึกพ่ายแพ้!
หรือไม่ก็เพราะว่าระหว่างคนทั้งสองมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงมีความรู้สึกที่เหมือนกัน
ไม่จำเป็นต้องทดสอบ ไม่จำเป็นต้องมีเวลาในการพิสูจน์ ยิ่งไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์อะไรร่วมกัน พวกนางก็สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้อย่างลึกซึ้งและเข้าขากันได้ดี
เจียงหลีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเอ่ยว่า “คนชนิดเดียวกันเข้าใจกัน คนโบราณไม่ได้หลอกลวงข้าจริงๆ”
ประโยคนี้มีความหมายว่าอย่างไรนั้น คนที่อยู่ข้างๆ อาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับฟังออก
นางพยักหน้า แล้วเอ่ยเห็นด้วยว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ” ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ตัวแทนของแคว้นหรง แคว้นอวี่ แคว้นตี๋ก็ได้เดินตามเจ้าหน้าที่ที่มานำพวกเขาขึ้นชั้นหยกขาว มุ่งไปสู่พระตำหนักที่งดงามด้านบนแล้ว
เพราะว่าการคงอยู่ของเซวียฉง มู่ชิงเกอจึงมองคณะของแคว้นอวี่อยู่หลายรอบ
นางพบว่าเซวียฉงกับเซวียเฉียวดูคล้ายกันหกถึงเจ็ดส่วน เพียงแต่ว่าเซวียฉงดูสะอาดเจ้าสำอางและสูงส่งไปบ้าง ส่วนเซวียเฉียวจะดูแน่วแน่ ทึก อดทน
ในที่สุดคนของแคว้นระดับสองก็เข้าสู่พระตำหนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายในคนนั้นก็ตะโกนเสียงดัง
ขึ้นมาอีกครั้ง “เบิกตัวฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่เข้าเฝ้า—–!”
“ถึงข้าแล้ว” เจียงหลีมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง
มู่ชิงเกอพยักหน้า ขยับปากเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
“ข้าไปช่วยเจ้าดูต้นทางก่อน” เจียงหสีขยิบตาให้มู่ชิงเกอ เผยความซุกซนออกมา
จากนั้น หลังจากที่บอกลามู่ชิงเกอ นางก็เก็บอารมณ์ ปล่อยตัวกลับเผยความสูงศักดิ์ของฮ่องเต้หญิงออกมา นำคนของแคว้นกู่วู่ ขึ้นไปบนแท่น
ท่าทีของทั้งสอง ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ใต้แท่นที่ยังไม่รู้เรื่องราวอย่างชัดเจน ล้วนส่งสายตามามองมู่ชิงเกอด้วยความนับถือ
สามารถทำให้ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ผู้สูงส่ง ให้กลายเป็นลูกแมวที่อ่อนหวานได้ก็ถือว่าเป็นความสามารถของยอดบุรุษ!