ตอนที่ 206-4
ท่านอาของข้าเจ้าสามารถลบหลู่ได้อย่างนั้นหรือ?
ผู้เฒ่าเซวียไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เพียงเอ่ยถามออกมา “คุณชายมู่ นี่เกิดอันใดขึ้น?” เซวียฉงบอกเขาว่า มู่ชิงเกอนำองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ทำให้ทุกแคว้นเพียงได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยนมาด้วย ในใจของเขาก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา
ตอนนี้ มองเห็นท่าทางของมู่ชิงเกอแล้ว ความรู้สึกที่ไม่ดีของผู้เฒ่าเซวียก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น!
“ประมุขตระกูลเซวีย วันนี้ที่ข้ามา จุดประสงค์ก็ดิดว่าท่านน่าจะเข้าใจดี” มู่ชิงเกอเอ่ยปากออกมาต่อหน้าสายตาของทุกคนที่จ้องมอง เพียงแค่เอ่ยปาก นํ้าเสียงที่แฝง ไปด้วยความเย็นชานั้นก็ทำให้คนรู้สึกหนาวสั่นไม่กล้าหายใจเสียงดัง
ท่าทางของนางที่ดูเย็นชานั้น กวาดมองไปยังทุกคนของตระกูลเซวีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยินคนนั้นของตระกูลเซวีย
“ตระกูลมู่ของข้า แต่ไหนแต่ไรมาก็ถือคติที่ว่าใครดีมาดีตอบ หากใครร้ายมาก็จะคืนให้เป็นสิบเท่า! ผู้หญิงตระกูลมู่ หากว่าพวกเจ้าไม่ยอมรับท่านอาของข้า วันนี้ ข้าก็จะพานางไป นับจากนี้ไปตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเจ้าตระกูลเซวีย อย่างเด็ดขาด…”
มุมปากของมู่ชิงเกอคลี่ออก เอ่ยอย่างดูแคลนออกมา “สำหรับเซวียเฉียว จะอยู่หรือไปนั้น ข้าไม่สนใจ หากว่าเขาตามท่านอาของข้าไป ก็ถือว่าตระกูลมู่ของข้ามีบุตรชายเพิ่มมาคนหนึ่ง แต่หากว่าพวกเจ้ายอมรับท่านอาของข้าแล้ว หากวันหน้ามีข่าวคราวว่านางไม่มีความสุขมาถึงหูข้าเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ กองทัพตระกูลมู่ของข้าจะเหยียบตระกูลเซวียแควันอวี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
ถุ้ย—–!
ภายในห้องโถง เกิดเสียงความไม่พอใจขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
คนของตระกูลเซวีย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ล้วนแต่เบิกตากว้างมองดูมู่ชิงเกอ ยืนอยู่บนพื้นของตระกูลเซวีย กลับตะโกนจะเหยียบคนของตระกูลเซวียให้ราบเป็นหน้ากลอง นางถือว่าเป็นคนแรก!
สายตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไป มองแววตาที่ดูตกตะลึง ของคนตระกูลเซวีย เอ่ยต่อว่า “ยังมีอีกอย่างที่อยากจะขอเตือน ตอนนี้แคว้นฉินเป็นแคว้นระดับสองแล้ว เท่าเทียมกันกับแคว้นอวี่ ส่วนสถานะของตระกูลมู่ในแคว้นฉินก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าตระกูลเซวีย ท่านอาของข้าไม่ได้ ปีนขึ้นสูงแต่เป็นแต่งลงตํ่า”
มู่เหลียนหรงแต่งให้กับเซวียเฉียวเป็นการแต่งลงไม่ใช่การปีนขึ้นสูง?!
ประโยคนี้เหมือนกับการตบหน้าคนของตระกูลเซวียอย่างรุนแรง!
มู่เหลียนหรงยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ รู้สึกถึงปีกอันแข็งแกร่งของนางที่กำลังปกป้อง ดวงตาแดงกํ่าขึ้น
เกอเอ๋อร์น้อยของตระกูลมู่เติบโตขึ้นแล้ว!
ฉากในตอนนี้ เป็นการจงใจของมู่ชิงเกอ ก็เพื่อให้ต่อไปนางมีชีวิตอย่างมีความสุขในตระกูลเซวีย ไม่ถูกรังแก ไม่ถูกดูถูก ที่ไม่ได้พาเซวียเฉียวมาก็เพราะไม่คาดหวังให้เขารู้สึกลำบากใจที่เป็นคนกลาง ส่วนนางเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่ จะต้องแสดงจุดยืนของตนเองออกมา ทำให้คนของตระกูลเซวียดูให้ชัดเจนว่ามู่เหลียนหรงที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เมื่อสงบอารมณ์แล้ว มู่เหลียนหรงก็ยืดกายตรง ท่าทางดูมั่นคง นำความภาคภูมิใจของตระกูลมู่ออกมา ไม่เก็บอารมณ์ไม่ใช่สะใภ้ที่คอยยอมอดทนคนนั้นของตระกูลเซวียอีกต่อไป
“คุณชายมู่ เจ้าเป็นผู้เยาว์คนหนึ่ง ใครมอบสิทธ์ให้เจ้า มาใช้คำพูดเหลวไหลเช่นนี้กัน?” ฮูหยินเซวียทนไม่ได้ เอ่ยปากออกมา
ครั้งนี้ ผู้เฒ่าเซวียไม่ได้เอ่ยปากห้าม สีหน้าที่ดูดำคลํ้าของเขา ก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เขาถูกมู่ชิงเกอทำให้โมโหมาก
มู่ชิงเกอหันมอง นัยน์ตาฉายแววท้าทายกวาดมองผ่านร่างของเซวียฉง สีหน้าของเซวียฉงฉายแววกระดากใจ จากนั้นก็มองไปทางฮูหยินเซวีย นางเชิดคางขึ้น ยิ้มออกมา“ข้าอาศัยสิทธิ์ของสถานะประมุขตระกูลมู่มาพูด ฮูหยินคิดว่ามีสิทธิ์เพียงพอหรือไม่?”
อะไร!
นางเป็นประมุขตระกูลมู่งั้นหรือ?
ผู้หญิงคนหนึ่ง? อายุก็ยังน้อย กลับเป็นถึงประมุขของตระกูลหนึ่งแล้วงั้นหรือ? อีกอย่างตระกูลนี้ก็ยังไม่ใช่ ตระกูลที่ไร้ชื่อเสียงอีก!
คนของตระกูลเซวียถูกทำให้ตกตะลึงแล้ว!
รวมถึงเซวียฉง เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามู่ซงจะมอบตำแหน่งประมุขตระกูล แก่มู่ชิงเกอ แล้ว
สีหน้าของผู้เฒ่าเซวียเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ถ้าหากมู่ชิงเกอเป็นประมุขของตระกูลมู่จริงๆ เช่นนั้นคำพูดเมื่อครู่ของนาง เขาก็ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งแล้ว!
รุ่นเยาว์ไม่กี่คนของตระกูลเซวียตอนนี้สีหน้าล้วนแต่ซีดขาว
ต่อหน้าของมู่ชิงเกอ ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่ทันได้ลงมือก็หมดสิทธิ์ที่จะท้าทายไปเสียแล้ว!
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผู้เฒ่าเซวียมองไปทางมู่เหลียนหรง ใช้เสียงที่สั่นๆ เอ่ยถามออกไป “สะใภ้เจ็ด คุณชายมู่ เป็นประมุขตระกูลมู่จริงๆ งั้นรึ?”
“ไม่ผิด นานมากแล้วก่อนหน้านี้ บิดาของข้าได้มอบตำแหน่งประมุขของตระกูลให้ชิงเกอแล้ว” มู่เหลียนหรงเผยรอยยิ้มที่ดูภูมิใจออกมา ไม่เหมือนกับท่าทางที่เคยดูเจียมเนื้อเจียมตัวต่อหน้าคนของตระกูลเซวียในยามปกติ
พริบตานั้น มีคนตระกูลเซวียจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจในทันทีว่าเพราะเหตุใดเจ้าเจ็ดของตระกูลพวกเขาถึงได้ถูกมู่เหลียนหรงที่อายุมากกว่าหลายปีดึงดูดเอาไว้ได้
ที่แท้รอยยิ้มที่ดูมั่นใจของผู้หญิงผู้นี้ช่างงดงามนัก
ที่แท้สายเลือดของตระกูลมู่ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าตระกูลเซวียของพวกเขา!
เมื่อได้รับคำยืนยัน ผู้เฒ่าเซวียก็มองไปทางมู่ชิงเกอ มุมปากขยับ เหมือนคิดจะพูดอะไรแต่ก็รู้สึกเหมือนไร้คำพูดจะกล่าว
เหนือความคาดหมาย ชะงัก ตกตะลึง ยากที่จะเชื่อ…ดูเหมือนว่าชั่วขณะนี้ในใจของคนตระกูลเซวียสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก ถูกความแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอพุ่ง โจมตีจนไม่อาจต้านทานได้
แต่ว่านี่ยังไม่เพียงพอ!
มู่ชิงเกอต้องการให้คนของตระกูลเซวียมีความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน ทำให้พวกเขาจดจำไว้ว่า ‘คนของตระกูลมู่ไม่อาจล่วงเกิน’ ประโยคนี้ต้องจำไปจนถึงกระดูก!
รอยยิ้มบนมุมปากของนางกดลึกลงไปอย่างแปลกประหลาด
แววตากระจ่างมองไปทางคนของตระกูลเซวียอย่างท้าทาย “ท่านผู้เฒ่าเซวีย ฮูหยินเซวีย ขอบคุณพวกท่านมากที่เชิญข้ามา ในเมื่อเป็นแขกข้าก็รู้สึกไม่ดีหากไม่ ตอบแทนอะไรบ้าง ก็ให้องครักษ์ส่วนตัวของข้าแสดงการแสดงออกมาสักชุดก็แล้วกัน เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ทุกคน”
การแสดง!
ในใจของเซวียฉงกระตุก ทันใดนั้นเขาก็นึกไปถึง ‘การแสดง’ ขององครักษ์เขี้ยวมังกรก่อนหน้านี้ในเทียนตู!
‘หรือว่า มู่ชิงเกอคิดจะให้องครักษ์เขี้ยวมังกรฆ่าคนในตระกูลเซวีย? ถือเป็นการตักเตือนงั้นหรือ?’ ความคิดนี้โผล่ออกมา ในใจของเซวียฉงเกิดความตื่นตกใจ ใจ กลางมือเต็มไปด้วยเหงื่อ
“แสดงให้ข้าดีๆ” มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มเยียบเย็น
“ขอรับ คุณชาย!”
เหล่าองครักษ์เขียวมังกรประสานเสียง
เสียงนี้ดูเหมือนแทบจะทำให้หลังคาของตระกูลเซวียพังลงมาได้
เพียงแค่นี้ยังไม่ทันรอให้คนของตระกูลเซวียสงบความตกใจจากเสียงร้องเมื่อครู่ ก็มองไปเห็นฉากที่ทำให้พวกเขายากจะลืมไปชั่วชีวิต ภาพที่ดูน่าหวาดหวั่น องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคน เปล่งแสงสีม่วงห้าร้อยสาย พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็ทำให้บนยอดหลังคาของตระกูลเซวียเต็มไปด้วยแสงสีม่วง
ระดับพลังชั้นสีม่วง!
ระดับพลังชั้นสีม่วงห้าร้อยคน!
ผู้เฒ่าเซวียลมหายใจสะดุด ขาอ่อนแรง
แม้แต่ฮูหยินเซวียเมื่อมองเห็นระดับพลังชั้นสีม่วงมากมายถึงขนาดนี้ต่อหน้าก็ร้องออกมาอย่างตกใจ ร่างกายอ่อนยวบลงไปในที่นั่ง
คนตระกูลเซวียคนอื่นๆ ก็สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากม่วงคล้ำ ดวงตาคู่นั้นที่มองมู่ชิงเกอและองครักษ์เขี้ยวมังกรฉายแววหวาดกลัว
เซวียฉงนิ่งงันไป!
เขารู้ว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอแข็งแกร่งมาก แต่ว่า กลับคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้!
ระดับพลังชั้นสีม่วงห้าร้อยคน! แม้ในราชวงศ์ของแคว้นอวี่ก็หาระดับพลังชั้นสีม่วงเยอะขนาดนี้ออกมาไม่ได้! อีกอย่างตัวมู่ชิงเกอเองก็ยังแข็งแกร่งกว่าองครักษ์ของนางเสียอีก นางสนิทกับฮ่องเต้เจียงแห่งแคว้นกู่วู่ แล้วก็ยังมีราชวงศ์ของอาณาจักรเซิ่งหยวน สามตระกูลใหญ่ แคว้นลี่ แคว้นอวี๋ แคว้นถู…
อย่างช้าๆ เส้นสายความสัมพันธ์ที่มีมู่ชิงเกออยู่ตรงกลาง ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเซวียฉง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า มู่ชิงเกอกับมหาปราชญ์มีความสัมพันธ์กัน!
เมื่อได้รับท่าทีที่หวาดกลัวจากคนของตระกูลเซวียแล้ว มู่ชิงเกอก็ยกมือขึ้น แสงสีม่วงห้าร้อยสายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา!
แต่ว่า ภาพที่ทำให้ในใจของคนเกิดความหวาดกลัวนั้น กลับวนเวียนอยู่ภายในใจของลูกหลานตระกูลเซวียไม่หายไปไหน
ภายในห้องโถงเงียบสนิทจนแม้แต่เข็มตกลงพื้นก็สามารถได้ยิน
คนของตระกูลเซวียมองไปทางมู่ชิงเกอ มองไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกร ทุกคนล้วนแต่ไม่กล้าส่งเสียง
เวลานี้ มู่ชิงเกอค่อยๆ ยิ้มออกมา สะบัดมือ
อยู่ตรงหน้าของนาง ปรากฏหีบที่เต็มไปด้วยยุทธภัณฑ์ ทอง เงิน หยก แล้วก็ยังมีอีกหลายหีบที่เต็มไปด้วยม้วนตำรา
คนของตระกูลเซวียยังไม่ทันได้สติ มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นว่า “มาเยี่ยมตระกูลเซวีย ก็ต้องจัดเตรียมของขวัญมาบ้าง ของเหล่านี้ขอเชิญท่านผู้เฒ่าเซวียรับเอาไว้”
ผู้เฒ่าเซวียเงยหน้าขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกอ ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร
มู่ชิงเกอมองเขา ยิ้มด้วยความหมายที่ไม่ชัดเจน “ท่านผู้เฒ่าเซวีย ท่านอาของข้าคือไปกับข้า หรือว่า…”
ผู้เฒ่าเซวียเข้าใจในทันที เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เหลียนหรงเป็นภรรยาของเจ้าเจ็ดของตระกูลเซวีย จุดๆ นี้ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แน่นอนว่าต้องรับเอาไว้ประมุขตระกูลมู่วางใจได้ ตระกูลเซวียของข้าทั้งบนทั้งล่าง จะดูแลเหลียนหรงเป็นอย่างดี!”
พูดจบ นัยน์ตาที่เข้มงวดของเขาก็กวาดมองไปยังคนในห้องโถงทุกคน เอ่ยเตือนอย่างแข็งกร้าวว่า “ฟังข้า หากว่านับแต่นี้ต่อไปใครหาเรื่อง หรือจงใจกลั่นแกล้ง ภรรยาของเจ้าเจ็ด ก็ให้ไสหัวออกไปจากตระกูลเซวียเสีย!”