Skip to content

พลิกปฐพี 206-3

ตอนที่ 206-3

ท่านอาของข้าเจ้าสามารถลบหลู่ได้อย่างนั้นหรือ?

ภายในเรือนหลักของจวนตระกูลเซวีย ไม่มีคนอื่น ฮูหยินเซวียเอ่ยกับผู้เฒ่าเซวียอย่างไม่พอใจ “นายท่าน ท่านทำเช่นนั้นเพื่ออะไรกัน? ข้าทำอะไรผิดกัน ไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นหญิงสาวคนหนึ่งจากแคว้นระดับสาม ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์หญิงที่จะแต่งเข้ามาในตระกูลเซวียในอนาคต ก็ต้องเคารพกฎของตระกูลเซวีย!”

ท่าทีของฮูหยินเซวียทำให้ผู้เฒ่าเซวียรู้ลึกหงุดหงิด เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูเหยียบเย็น “ข้าบอกเจ้าอยู่เสมอว่าให้เรียนรู้การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์บ้าง วันนี้เป็นเวลาอะไร? ภรรยาเจ้าเจ็ดกับคุณชายมู่ไม่ได้เจอกันมานาน รู้สึกตื่นเต้นเร่งร้อนไปชั่วขณะก็ถือว่าพอเข้าใจได้ เหตุใดเจ้าต้องทำให้มันเป็นเรื่องด้วย?”

“ไม่ใช่ว่าเป็นแค่เพียงญาติผู้เยาว์มิใช่หรือ? อิงตามกฎแล้ว นางควรจะมาขออนุญาตเข้าพบ เคารพข้าก่อน แล้วก็ต้องรอดูข้าว่าข้าที่เป็นมารดาจะอนุญาติให้พวกนางอาหลานพบหน้ากันหรือไม่” ฮูหยินเซวียเอ่ยออกมา ในความหมายของนาง ทุกอย่างต้องยึดถือตามกฎ ถือตามกฎเกณฑ์แล้ว ใครก็ต่อว่านางไม่ได้!

“คุณชายมู่เหมือนกับญาติผู้เยาว์ทั่วไปอย่างนั้นหรือ?” ผู้เฒ่าเซวียออกแรงตบโต๊ะ เสียงดังออกมา

ฮูหอึนเซวียตกใจ เอ่ยถามว่า “ท่านตะคอกข้า!”

ผู้เฒ่าเซวียสบถคำหนึ่ง เอ่ยอย่างโมโหว่า “ช่างเป็นพวกไม่รู้ความจริงๆ! สถานการณ์ที่ดีงามล้วนถูกเจ้าทำลายไปหมด!”

“นายท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” ฮูหยินเซวียถามอย่างอดสู

นับตั้งแต่นางแต่งเข้าตระกูลเซวียมา ก็อดทนฝ่าฝันทำตามกฎของตระกูลมาโดยตลอด ไม่เคยทำผิดแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ฮ่องเต้ของแคว้นอวี่ก็บอกว่านางเป็นแบบอย่างของสตรี

วันนี้ เพื่อคนนอกแค่คนเดียว สามีที่ตามปกติเคารพและให้ความสำคัญต่อนางกลับโมโหใส่นางถึงขนาดนี้!

“ข้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่งั้นหรือ? ความหมายของข้าก็คือ คุณชายมู่ผู้นี้ไม่อาจล่วงเกินได้! กฎที่เจ้าใช้สั่งสอนบรรดาสะใภ้ก็เก็บไปให้ข้า อย่าใช้กับภรรยาของเจ้าเจ็ด” ผู้เฒ่าเซวียเอ่ยเตือน

“อาศัยอะไร!” ฮูหยินเซวียเบิกดวงตากว้าง นางพูดเสียงแหลมออกมาว่า “ภรรยาของเจ้าเจ็ด แต่เดิมข้าก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ตอนนี้ ก็เพราะเห็นแก่ที่เจ้าเจ็ดขอร้องอย่างลำบาก แล้วก็ยังมีเด็กในท้องของนางถึงทำให้ข้าฝืนใจตกลง มาตอนนี้นางก็ไม่ใช่ว่าแค่มีผู้เยาว์จากบ้านเดิมมาหาก็เท่านั้น ท่านทั้งจัดการต้อนรับครั้งใหญ่ ทั้งยังมาว่ากล่าวตักเตือนข้าที่นี่อีก อดทนยอมให้ทุกทาง นี่เป็นเหตุผลอะไรกัน? หรือว่าจากนี้ต่อไปข้าที่เป็นแม่ยายยังต้องคอยดูสีหน้าของลูกสะใภ้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”

“เจ้าจะเข้าใจอะไร!” ผู้เฒ่าเซวียเห็นฮูหยินของตนเองดื้อดึงเหมือนวัวก็โมโหขึ้นมา

เขาเล่าเรื่องราวบางอย่างของมู่ชิงเกอ รวมถึงสถานะในหลินชวนของนางในตอนนี้ออกมาบอกแก่ภรรยาตนเอง เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากภรรยาของเขารู้เรื่องเหล่านี้แล้วจะเข้าใจความลำบากใจของเขา

คิดไม่ถึงว่า หลังจากเขาพูดจบ ฮูหยินเซวียก็เผยท่าทีดูแคลนออกมา “ชิ ข้าคิดว่าอะไร ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงคนชั้นต่ำที่ล่อลวงมหาปราชญ์ให้หลงใหลก็เท่านั้นเองมิใช่หรือ?”

นางไม่เข้าใจความสามารถของมู่ชิงเกอจากปากของสามีของนาง นางพบเจอมู่ชิงเกอแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าหญิงสาวผอมเพรียวเช่นนั้นจะมีความสามารถแข็งแกร่งถึงปานนั้นได้

ดังนั้น นางจึงเลือกที่จะเชื่อว่ามู่ชิงเกอเป็นเพราะล่อลวงให้มหาปราชญ์หลงใหลได้ถึงได้รับสถานะเช่นนี้

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ใครมอบความกล้าขนาดนี้ให้เจ้ากัน ถึงได้กล้าพูดจาต่อคุณชายมู่เช่นนี้? ข้าของบอกเจ้าไว้เลยว่าหากคำพูดประโยคนี้ของเจ้าถูกรํ่าลือออกไป ตระกูลเซวียของพวกเราก็อาจจะถึงการล่มสลายได้!” สีหน้าของผู้เฒ่าเซวียเปลี่ยนไปในทันที แค้นจนอดไม่ได้ที่จะตบโต๊ะออกไป

ท่าทีของฮูหยินเซวียก็เปลี่ยนไปในทันที นางจ้องมองสีหน้าของสามีตนเอง เห็นเขาดูไม่เหมือนแกล้ง นางแต่งเข้าตระกูลเซวียมาตั้งนาน ไม่เคยเห็นสามีตนเองมีสีหน้าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน

“นายท่าน ท่านพูดจริงงั้นหรือ?” ฮูหยินเซวียถามออกไป ที่นางถามนั้นไม่ใช่ถามว่ามู่ชิงเกอร้ายกาจหรือไม่ แต่เป็นถามถึงประโยคสุดท้ายของผู้เฒ่าเซวีย หากว่าล่วงเกินมู่ชิงเกอก็จะทำให้ตระกูลล่มสลาย นี่เป็นสิ่งที่นางไม่อาจรับได้!

ผู้เฒ่าเซวียเข้าใจภรรยาของตนเอง รู้ว่านางไม่ได้มีจิตใจชั่วร้าย เพียงแต่เป็นคนแข็งกระด้างเกินไป รักษากฎเกินไป

ถอนหายใจแล้ว นํ้าเสียงของผู้เฒ่าเซวียก็อ่อนลงเอ่ยว่า “สรุปแล้ว ที่ข้าให้ฉงเอ๋อร์เชิญคุณชายมู่มาก็เพราะคิดจะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้าน ต่อจากนี้เจ้าก็ดีต่อภรรยาของเจ้าเจ็ดหน่อย เพียงแค่ความสัมพันธ์นี้จัดการเสร็จแล้ว นับจากนี้ ตระกูลเซวียของเราก็มีปราการคุ้มกันเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง”

ฮูหยินเซวียพยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ภายในใจก็มีประโยคหนึ่งดังวนไปมาไม่หยุด ก็คือ หากว่าล่วงเกินมู่ชิงเกอ ตระกูลเซวียก็จะต้องล่มสลาย!

เห็นท่าทีของฮูหยินค่อยๆ อ่อนลง ผู้เฒ่าเซวียก็เอ่ยว่า “งานเลี้ยงรับรองในคืนนี้ เจ้าก็จัดเตรียมให้ดีๆ แล้วก็บอกเด็กๆ ในจวนว่าอย่าไปรบกวนมู่ชิงเกอ กับภรรยา ของเจ้าเจ็ดก็ให้เคารพหน่อย”

นัยน์ตาของฮูหยินเซวียเผยร่องรอยเศร้าใจ เอ่ยว่า “นายท่าน กฎของตระกูลเซวียของพวกเราไม่ต้องการแล้วหรือ?”

ผู้เฒ่าเซวียชะงัก ยิ้มอย่างขมขื่นเอ่ยว่า “ฮูหยิน เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? อยู่ในหลินชวนนี้ ใครกำปั้นใหญ่ที่สุด คนนั้นก็คือกฎ”

แต่ก่อนเขาก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ

แต่ว่า ในตอนที่ข่าวการล่มสลายของตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูรแล้วก็ยังมีหอหลอมศาสตราถูกร่ำลือมา เขาก็เข้าใจแล้ว

การเป็นศัตรูหรือพูดถึงกฎกับมหาปราชญ์และคนเช่นมู่ชิงเกอนั้น…บทสรุปสุดท้ายก็ทำได้เพียงต้องใช้ทั้งตระกูลเซวียมาชดใช้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างพวกเขานั้นไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรด้วยแล้วกลับกันมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันอีก

ใช้การยอม แลกมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลเซวีย นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ามาก! ทั้งยังไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของตระกูลเซวียด้วย!

ยามคํ่าคืน งานเลี้ยงที่ตระกูลเซวียจัดให้แก่มู่ชิงเกอก็ได้ เริ่มเปิดฉาก

คนของตระกูลเซวีย ที่สามารถมางานเลี้ยงได้ก็ล้วนแต่ถูกผู้เฒ่าเซวียกล่าวตักเตือนทั้งหมด ตอนกลางวันได้ทำให้มู่ชิงเกอไม่พอใจแล้ว ไม่อาจเกิดความผิดพลาดทำให้ มู่ชิงเกอไม่พอใจขึ้นได้อีก

บรรดาคนของตระกูลเซวีย ส่วนมากล้วนแต่เป็นคนมีการศึกษา พลังฝึกปรือธรรมดา แต่กลับมีความผยองอยู่ เมื่อถูกประมุขของตระกูลตักเตือนไปรอบหนึ่ง ไม่เพียง ไม่สำรวม แต่กลับมีใจคิดฝ่าฝืน

ทุกๆ คนล้วนแต่ลอบตั้งใจจะหาโอกาสในงานเลี้ยง วัดความสามารถของมู่ชิงเกอสักรอบ ดูสิว่า นายหญิงน้อยที่มาจากแคว้นระดับสามนั้นมีความสามารถระดับไหนกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้ตระกูลเซวียต้องเกรงใจได้ถึงขนาดนี้!

สำหรับข่าวลือเกี่ยวกับมู่ชิงเกอนั้น คนตระกูลเซวียที่รู้จักเพียงการศึกษาคิดแต่จะสอบเข้าราชสำนักเป็นขุนนางเหล่านี้ก็รู้แค่เพียงผิวเผิน สำหรับคนที่พอจะเข้าใจบ้างนั้นก็คิดว่าข่าวนั้นเกินจริงไปบ้าง

คิดถึงเจ้าเจ็ดของตระกูลพวกเขา เซวียเฉียว อายุเท่านั้นมีระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินก็ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว เช่นนั้นคุณชายมู่เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว? ทั้งยังเป็นผู้เยาว์จะสามารถมีระดับพลังชั้นสีม่วง ทั้งยังเอาชนะยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของเทียนตูได้จริงหรือ?

อีกอย่าง ตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูรและหอหลอม ศาสตราล่มสลายเพราะนางเพียงคนเดียวจริงหรือ?

เหล่าคนตระกูลเซวียยอมที่จะเชื่อว่าฐานกำลังเหล่านี้ล่มสลายเพราะแย่งชิงอำนาจกันมากกว่า ส่วนมู่ชิงเกอก็เพียงแค่โชคดีแทรกเข้าไปยังขุมกำลังฝ่ายที่กำลังจะชนะได้ถูกเวลาก็เท่านั้น

ที่จริงแล้ว หากไม่ใช่คนที่เข้าใจถึงความสามารถของมู่ชิงเกอจริงๆ ใครก็ไม่เชื่อว่าข่าวที่ร่ำลือมาเหล่านั้นเป็นนางทำจริงๆ!

ดังนั้นจึงเป็นการกำหนดว่ากลุ่มลูกหลานของตระกูลเซวียที่หยิ่งผยองเหล่านี้จะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นแล้ว

“พี่สาม ถึงอย่างไรนางก็เป็นหลานของอาเจ็ด พวกเราทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก?” ภายในงานเลี้ยง กลุ่มรุ่นเยาว์ตระกูลเซวียกลุ่มหนึ่งล้อมชายที่ดูอายุมากที่สุดในนั้นคนหนึ่งไว้แล้วเอ่ยเสียงเบาๆ

คนที่ถูกเรียกเป็นพี่สามเป็นรุ่นเยาว์อีกรุ่นของตระกูลเซวีย และก็เป็นรุ่นหลานของเซวียเฉียวและเซวียฉง ตระกูลเซวียเป็นตระกูลใหญ่ ทั้งตระกูลมีคนจำนวนเยอะมาก

แค่รุ่นของเซวียเฉียวรุ่นนั้นก็มีพี่น้องจำนวนมาก นี่ยังไม่รวมญาติที่อยู่ห่างไกล

มาถึงรุ่นหลาน ตอนนี้รวมตัวกันก็มีแปดเก้าคนแล้ว ทั้งยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมู่ชิงเกอ ที่เด็กเกินไปนั้นไม่ได้นับ

“นี่มีอะไร พวกเราใช้ความรู้สร้างเพื่อน สร้างความสนุกให้เหล่าผู้อาวุโส ไม่ได้ทำเรื่องใหญ่อะไร” พี่สามของตระกูลเซวียเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

ท่านปู่กลับให้พวกเขาเคารพหญิงสาวผู้หนึ่งที่อายุไม่ต่างจากพวกเขามากนัก นี่ก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี! ต้องเคารพนั้นได้ แต่ต้องแสดงความสามารถออกมา ก่อนพวกเขาถึงจะยอม!

ในใจของไม่กี่คนนี้วางแผนรอบหนึ่ง พูดคุยกันดีแล้วว่า จะกู้ใบหน้าของตระกูลเซวียคืนมาได้อย่างไร ลองทดสอบมู่ชิงเกอดูสักครั้ง

แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจลืมใบหน้าอันงดงามที่ทำให้พวกเขาสติหลุดลอยยากที่จะลืมเลือนนั้นได้

ที่พวกเขาอยากจะเอาชนะเช่นนี้ที่จริงแล้วก็เพราะอยากจะทำให้มู่ชิงเกอยอมสยบ คิดอยากจะมองเห็นแววตาที่นับถือจากใบหน้าที่งดงามนั้น

“คุณชายมู่มาถึงแล้ว—–!”

พ่อบ้านรายงานขึ้นมา เหล่าคุณชายน้อยของตระกูลเซวียเหล่านี้ล้วนหยุดพูดคุยกัน

หลังจากพวกเขาลอบส่งสายตาหากันแล้ว ก็แยกย้ายกันไป กลับไปนั่งที่นั่งของตนเองเงียบๆ รอโอกาสมาถึง

มีคุณชายน้อยบางคนที่จิตใจไม่สงบนิ่ง เพิ่งจะนั่งลงก็หันไปมองทางประตู ท่าทางเหมือนอดใจรอไม่ไหว ทำให้พี่สามตระกูลเซวียลอบส่ายหน้าในใจ

ถึงแม้ว่าเขาก็รอคอยที่จะพบใบหน้าอันแสนงดงามที่ทำให้คนสติหลุดลอยนั้นอีกครั้งเช่นกัน แต่ลูกหลานตระกูลเซวียก็ต้องมีมาดของลูกหลานตระกูลเซวีย ไม่อาจทำให้คนดูแคลนได้!

บรรดาน้องๆ เหล่านั้นก็ดูจะไม่เอาไหนไปบ้าง!

คนยังมาไม่ถึง แต่เสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบกลับดังเข้ามาเรื่อยๆ

เสียงฝีเท้านี้ ดูมีพลัง ทุกย่างก้าวเกิดเสียงเหยียบลงบนพื้นของตระกูลเซวียก็ทำให้พื้นสั่นสะเทือนขึ้นมา

ดูเหมือนกับว่า ด้านนอกนั้นมีทหารม้านับพันนับหมื่นเคลื่อนตัวเข้ามาทางนี้

ผู้เฒ่าเซวียที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน แล้วก็ยังมีฮูหยินเซวีย หลังได้ยินเสียงแล้วท่าทีก็เปลี่ยนทันที ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากที่นั่ง มองไปทางประตูทางเข้า ผู้นำตระกูลล้วนยืนขึ้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่อาจเสียมารยาทยืนขึ้นมา หันมองไปทางนอกประตู เหล่าลูกหลานตระกูลเซวียที่ลอบคิดจะท้าทายมู่ชิงเกอก็ยืนขึ้นเช่นกัน

ภายในงานเลี้ยง คนของตระกูลเซวียห้าสิบกว่าคนล้วนทยอยพากันยืนขึ้นมาด้วยท่าทีที่แปลกใจ

เวลานี้เซวียฉงที่ออกไปเชิญมู่ชิงเกอมางานเลี้ยงก็รีบก้าวเข้ามาในงานเลี้ยงพร้อมใบหน้าที่ไม่น่าดู มองเห็นท่าทางของทุกคนในตระกูลดูแปลกใจ ก็รีบมาที่ข้างกายของบิดา กระซิบข้างหูเขาไปไม่กี่ประโยค

จากนั้น สีหน้าของผู้เฒ่าเซวียก็เปลี่ยนไปในทันที เดินออกมาจากที่นั่ง ยืนอยู่กลางห้องโถงงานเลี้ยง

ในตอนที่เขาเพิ่งจะมาถึงกลางของห้องโถง เสียงฝีเท้า ด้านนอกก็หยุดลง

รองเท้าสีแดงดุจลูกเพลิงข้างหนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามาด้านใน

สายตาของทุกคนรวมทั้งนายท่านตระกูลเซวียตกไปอยู่ที่เท้าข้างนั้น

ตามมากับรองเท้าสีแดง พวกเขาก็มองเห็นมู่ชิงเกอที่มือไพล่หลังเดินเข้ามาอย่างเคร่งขรึมเย็นชา บนใบหน้างดงามของนาง ดูเหมือนจะทาบไปด้วยชั้นนํ้าแข็ง ทำให้คนรู้สึกเยียบเย็น

เหล่าลูกหลานตระกูลเซวียที่เมื่อครู่คิดจะมอบบททดสอบให้แก่นางนั้น ยังไม่ทันได้ก้าวออกมาก็ถูกไอความกดดันที่เย็นยะเยือกนี้กดเอาไว้แล้ว ในใจเกิดความหวาดกลัว

พี่สามตระกูลเซวีย เดิมเต็มไปด้วยความมั่นใจ ตอนนี้เมื่อถูกสายตาของมู่ชิงเกอมองผ่านมา ก็พังทลายไม่มั่นใจขึ้นมา

มั่วหยางที่มากับมู่เหลียนหรงรีบตามมู่ชิงเกอเข้ามา

ส่วนที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาบนที่ว่างด้านนอกห้องโถง ก็คือองครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนาย ยืนอย่างเป็นระเบียบ สายตาไม่วอกแวก

เมื่อครู่เสียงฝีเท้าที่ดังดุจฟ้าผ่าจนดูเหมือนทหารม้านับพันนับหมื่นก็เกิดมาจากพวกเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version