ตอนที่ 173-2
คนครบจนสามารถตั้งวงไพ่ได้!
แรงกดดันมาอย่างรวดเร็วแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่พริบตา แค่เพียงช่วงสั้นๆ นี้ กลับกดจนคนรู้สึกเหมือนกับผ่านมานานนับสิบปี
หลังจากแรงกดดันหายไป ไม่ว่าจะเป็นคนของแคว้นระดับสาม หรือว่าคนของแคว้นระดับสอง ล้วนมีสีหน้าขาวซีด เสื้อด้านในเปียกชื้น มือชุ่มเหงื่อ
การเตือนนี้ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนแต่เข้าใจ
ฉิวเกากับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบนำคนเข้าวังนั้นก็ถอนหายใจหลังจากที่เกิดแรงกดดันขึ้น
ทั้งสองคนเงียบไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดชื้นเมื่อครู่อีก แต่เตือนเรื่องงานเลี้ยงใกล้จะถึงเวลาแล้ว กระตุ้นให้ทุกคนตามคนนำทางไป อย่าชักช้าจะเลยเวลา
พอมีการตักเตือนเมื่อครู่ ทำให้ในใจของคนแคว้นหรงไม่ค่อยสบายใจ และก็รู้สึกกลัวรีบแย่งเข้าไปในวังก่อน
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้คิดที่จะแย่งทางกับคนของแคว้นหรง ในเมื่อใครไปก่อน ไปหลัง ก็ไม่ได้ต่างกัน
เมื่อคนของแคว้นหรงเดินไป คนของแคว้นแคว้นตี๋แล้วก็ยังมีคนของแคว้นอวี่ก็ค่อยๆ เดินตามเข้าไป เพียงแต่ว่าตอนที่พวกเขาเดินผ่านพวกมู่ชิงเกอ ก็ล้วนหันมามองนางเป็นพิเศษแวบหนึ่ง
ความหมายในสายตาล้วนแต่แตกต่างกัน
เมื่อคนของแคว้นอวี่เดินผ่านมาถึงด้านข้างของมู่ชิงเกอ นางก็ค้นพบในทันใดว่ามีคนในกลุ่มนั้นที่นางค่อนข้างคุ้นตา เพียงแต่ เพียงครู่เดียว ยังไม่ทันให้นางได้คิด คนๆ นั้นก็เดินเข้าไปในประตูวังแล้ว
เมื่อคนของแคว้นระดับสองเดินเข้าวังกันไปหมดแล้ว ด้านนอกก็เหลือเพียงคนของแคว้นระดับสาม และก็ยังมีคนของแคว้นกู่วู่
เจียงหลีเริ่มเดินเข้าไปด้านข้างของมู่ชิงเกอก่อน กระทบไหล่ของนางแล้วเอ่ยว่า “ยังไม่ไปอีกหรือ?”
ท่าทางอันสนิทสนมของนางเช่นนี้ ทำให้ฟ่งอวี๋เฟย เบิกดวงตากว้าง ไม่เพียงแต่นาง แม้แต่จ้าวหนานซิงที่เดิมรู้อะไรมาบ้างก็ถูกการเคลื่อนไหวของนางทำให้ตื่นเต้นไปครู่หนึ่ง
เขารู้จักกับมู่ชิงเกอมาตั้งนาน ยังไม่เคยพบเจอใครที่ทำตัวปล่อยวาง เป็นธรรมชาติ เช่นนี้ต่อหน้านาง
‘ดูแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่กับมู่ชิงเกอนั้นไม่ตื้นเขินเลย!’จ้าวหนานซิงเอ่ยขึ้นในใจ
มู่ชิงเกอหันกลับมองนางพยักหน้าลง
จากนั้น ทั้งสองคนก็เดินเคียงคู่กันไป เข้าประตูวังไปด้วยกัน ตามแคว้นกู่วู่มา ก็แน่นอนว่าเป็นกลุ่มคนจากแคว้นระดับสาม
มู่ชิงเกอกับเจียงหลีเดินอยู่ข้างหน้า ดูเหมือนจะมีคำพูดที่จะพูด จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยก็ล้วนตามไปด้านหลัง ไม่ได้เข้าไปรบกวน
หลังประตูวัง ก็มีทางเดินต่อ
ตามที่ฉิวเกาพูด นี่เป็นประตูวังชั้นสุดท้าย หลังจากผ่านทางเดินนี้แล้ว ถึงจะสามารถเข้าไปในวัง ส่วนตำหนักที่จัดงานเลี้ยงนั้น ยังต้องผ่านอุทยานหลวง เดินไปอีกสักพักจึงจะถึง
“คนของแคว้นหรงหยิ่งยโสมาโดยตลอด เจ้าไม่ต้องสนใจไป พวกเขากล้าหยิ่งยโสถึงขนาดนี้ ก็เป็นเพราะมีหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรอยู่ในดินแดน ภายในหลินชวน นอกจากอาณาจักรเซิ่งหยวนแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยยอมใคร” เจียงหลีเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เหมือนไม่พอใจในคำพูดของนาง
นัยน์ตาลีทองของเจียงหลีกลอกไปมา นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นเล็กน้อย นางใกล้ชิดกับมู่ชิงเกอ คนภายนอกมองไป ก็จะดูสนิทสนมกันเหมือนดังเป็นคู่รัก
กระซิบแนบหูของนางอย่างสนิทสนมว่า “หากพวกเขารู้ว่าหอหลอมศาสตราสาขาย่อยถูกเจ้าทำลาย ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร”
“เช่นนั้นเจ้าจะไปบอกความลับอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอมองไปที่นางอย่างขี้เล่น
เจียงหลียืดตัวตรงขึ้น นัยน์ตาแสร้งฉายแววโมโหขึ้นมา “เห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ? เจ้ากลับมองข้าเช่นนี้! เหอะ เหอะ ~!”
มู่ชิงเกอหัวเราะ นางรู้อยู่แล้วว่าคำพูดของเจียงหลีเป็นแค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้น
“แต่ว่า ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าไปบอกความลับ เรื่องของหอหลอมศาสตราสาขาย่อย คนของสาขาหลักของพวกเขาได้ไปสืบความที่แคว้นกู่วู่แล้ว แม้แต่ข้าก็ได้มาพูดคุยด้วย ข้าคิดว่า ในใจของพวกเขาก็คงสามารถคาดเดาเรื่องที่เจ้าก่อได้ เพียงแค่ไม่รู้สถานะของเจ้า ดังนั้นไม่รู้ว่าจะไปหาเจ้าได้ที่ไหน ภายในงานเลี้ยงคืนนี้ คนของหอหลอมศาสตราและคนของสำนักหมื่นอสูรก็อยู่ เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” เจียงหลีเอ่ยเตือน
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างสีหน้าไม่เปลี่ยนสี “จะทำอะไร? เรื่องระหว่างข้ากับหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรนั้น เป็นเรื่องความแค้นของยุทธภพ เมื่อถึงเวลาก็ต้องสะสางอย่างแน่นอน เพียงแต่นํ้าใหญ่มาก็ค่อยต้านทานเอา”
เจียงหลีเหลือบตามอง เห็นนางไม่ได้มีความรู้สึกแตกตื่นอะไรจริงๆ ถึงได้เอ่ยอย่างหมดวาจาจะกล่าวว่า “เจ้ายังสงบได้จริงๆ ข้าขอบอกเจ้าอีกข่าวหนึ่ง คนของหอหลอมศาสตราที่มาในครั้งนี้นั้นเป็นเจ้าสำนักของพวกเขา พูดกันว่าผู้เฒ่าคนนั้นเข้าสู่ระดับพลังชั้นสีม่วงขั้นสูงสุดแล้ว ส่วนคนของสำนักหมื่นอสูรก็คือประมุขน้อยของพวกเขาไท่สื่อเกา ทั้งยังมีผู้อาวุโสเฮยมู่ ไท่สื่อเกาคนนั้นไม่ต้อง ไปสนใจ อยู่เพียงระดับพลังขั้นสีน้ำเงิน แต่ทว่าผู้อาวุโส เฮยมู่นั้นก็อยู่ระดับพลังขั้นสีม่วงขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน”
เจียงหลีไม่รู้ว่า มู่ชิงเกอกับเฮยมู่นั้นเคยได้ต่อสู้กันแล้ว จึงเอ่ยแนะนำสถานการณ์ของเฮยมู่และคนอื่นๆ อย่างละเอียด
ส่วนมู่ชิงเกอเมื่อได้ยินว่าไท่สื่อเกาก็มานั้น คิ้วก็พลันขมวดขึ้นมา
คนที่แต่เดิมควรจะตายภายใต้เงื้อมมือของนางไปนานแล้ว กลับตายแล้วฟื้นคืนชีพ ไม่สนว่าสาเหตุจะเป็นอย่างไร นางจะต้องเก็บชีวิตนั้นกลับคืนมาให้ได้
“ สรุปแล้ว คืนนี้เจ้าต้องระมัดระวังตัว” เมื่อเอ่ยข่าวสารทั้งหมดออกมาแล้ว เจียงหลีก็ใช้สายตาจริงจังที่ยากจะพบเห็นมองไปที่มู่ชิงเกอ
ในตอนนี้พวกเขาได้เดินผ่านทางเดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กำลังเข้าสู่อุทยานหลวง
ภายในอุทยานนั้นต้นไม้ค่อนข้างทึบ เส้นทางคดเคี้ยว มองไม่เห็นคนของแคว้นระดับสองแล้ว แต่ยังสามารถมองเห็นองครักษ์วังหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวนและ นางกำนัลอยู่บ้าง ที่ยืนถือโคมไฟส่องแสงสว่างให้เหล่าคนที่เข้ามาในวังหลวง
“วางใจเถอะ งานเลี้ยงในคืนนี้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้” มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบเจียงหลี
พอได้ฟังที่เจียงหลีพูดแล้ว นางก็ค่อยค้นพบว่าศัตรูของตนเองนั้นมีไม่น้อยเลย ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ล้วนอยู่รวมกันในคืนนี้!
เจียงหลีพยักหน้า “ข้าได้ข่าวว่า เจ้าภาพในงานเลี้ยงคืนวันนี้ก็คือรัชทายาทหวงฝู่ฮ่วนแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน จักพรรดิแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวนก็จะปรากฏตัวด้วยเช่นกัน แต่ว่าอาจจะไม่อยู่จนจบงาน ได้ยินมาว่าหวงฝู่ฮ่วน เป็นองค์ชายที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด เพียงเพราะว่าชื่อของเขานั้นมหาปราชญ์เป็นผู้ตั้งให้ เพราะเช่นนั้น จักพรรดิของอาณาจักรเซิ่งหยวนจึงรู้สึกว่าองค์ชายผู้นี้ได้รับความโปรดปรานจากมหาปราชญ์จึงยกตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เขา”
‘อะไรนะ?’ เมื่อได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับชายผู้นั้นอย่างกะทันหัน ในใจของมู่ชิงเกอก็ตกตะลึง ภายในใจส่งเสียงออกมา
ดีที่ เจียงหลีไม่ได้ใส่ใจในความแปลกไปของมู่ชิงเกอ แต่กลับพูดต่อว่า “อา-! มหาปราชญ์! ก็ไม่รู้ว่ามาอาณาจักรเซิ่งหยวนในครั้งนี้จะได้มีโอกาสพบเจอมหาปราชญ์หรือไม่!”
เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของนางก็ฉายแววแห่งความคาดหวัง
มู่ชิงเกอเหลือบตามองนาง ทำเป็นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “งานเลี้ยงในคืนนี้มหาปราชญ์จะไม่ปรากฏตัวอย่างนั้นหรือ?”
เจียงหลีอธิบายข้อสงสัยของนางในทันที “เจ้านี่! มีสามัญสำนึกสักนิดได้หรือไม่? มหาปราชญ์เป็นผู้สูงส่งที่สุดในทั่วทั้งหลินชวนนี้ คนอื่นล้วนแต่ชัดเจนแก่ใจดีว่า เขานั้นเป็นเจ้านายที่แท้จริงของหลินชวน คนเช่นเขานั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงคืนนี้ได้อย่างไร? แต่ว่ารอจนงานเลี้ยงจบแล้ว ทางอาณาจักรเซิ่งหยวนจะจัดการให้พวกเราไปเยือนในที่พำนักของเขา หากว่าโชคดี มีวาสนา ก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับมหาปราชญ์ หากว่าสามารถได้รับคำชี้แนะประโยคหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นบุญของพวกเราทั้งหมดเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองอย่างนั้นหรือ?
มู่ชิงเกอฟังเจียงหลีพูดจบ ก็รู้แล้วว่าซือมั่วจะไม่ปรากฏตัวในคืนวันนี้ ในใจก็เกิดความรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจโดยไม่มีเหตุผล อารมณ์ที่พัวพันในใจของนางจึงถูกลบหายไปอย่างสมบูรณ์
นางได้ยินเพียงแค่เจียงหลีพูดว่าซือมั่วจะไม่ปรากฏตัว สำหรับเขาที่เป็นมหาปราชณ์แล้วให้คำชี้แนะอะไรนั้น ล้วนแต่ไม่ได้ยินทั้งสิ้น มิเช่นนั้นก็จะต้องสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชายผู้นี้อย่างแน่นอน
“ใช่แล้ว! คนตระกูลเซวียแห่งแคว้นอวี่คนนั้นได้แต่งเข้าตระกูลมู่ของพวกเจ้าหรือยัง?” ทันใดนั้น เจียงหลีก็เหมือนจะคิดอะไรออกจึงเอ่ยถามขึ้น
มู่ชิงเกอขบริมฝีปากเล็กน้อยสำหรับการใช้คำว่า ‘แต่งเข้า’ ของเจียงหลี “อืม เขากับท่านอาของข้าได้จัดงานแต่งงานที่แคว้นฉินแล้ว”
เจียงหลีทำท่าทางเหมือนข้าก็รู้แล้วว่าจะเป็นเช่นนั้น จากนั้นก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในหนึ่งในสามคนของแคว้นอวี่ที่มาในครั้งนี้นั้นเป็นใคร?”
มู่ชิงเกอมองไปที่นาง เดิมทีคิดจะพูดว่านางไม่รู้ แต่ว่าเมื่อคิดตามคำพูดก่อนหน้านี้ของเจียงหลีแล้ว ทั้งยังมีใบหน้าเมื่อครู่ที่นางดูคุ้นเคย
ทันใดนั้น นางก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้น หาที่มาของคนที่ดูคุ้นตาคนนั้นพบ “คนของตระกูลเซวียมาแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เจียงหลียิ้มจนตาโค้งพยักหน้า “ที่มานั้นคือพี่ชายคนรองของเซวียเฉียวตอนนี้รั้งตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายบุ๋นอยู่ในราชสำนักแคว้นอวี่ เป็นขุนนางใหญ่ เป็นผู้ที่อยู่ใต้หนึ่งคนอยู่เหนือคนนับหมื่น”
“เสนาบดีฝ่ายบุ๋น” มู่ชิงเกอพึมพำในใจ ในราชสำนักของแคว้นอวี่ เรื่องที่เสนาบดีนั้นแบ่งเป็นสองตำแหน่งเสนาบดีบุ๋นและบู๊ เรื่องนี้นั้น นางก็รู้
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า พี่ชายคนรองของเซวียเฉียวที่ยังดูหนุ่มอยู่จะสามารถขึ้นไปถึงตำแหน่งที่สูงถึงขนาดนี้ได้
‘ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวระหว่างท่านอากับเซวียเฉียวนั้น ตระกูลเซวียจะรู้เรื่องแล้วหรือยัง? และก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? เซวียเฉียวพาท่านอาไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้กลับไปถึงบ้านตระกูลเซวียหรือยัง?’ มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับยายแก่ที่เป็นกังวลเรื่องของมู่เหลียนหรงขึ้นมา
คิดถึงตรงนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น