ตอนที่ 172-3
ดวงตาสุนัข มักมองคนต่ำต้อย!
มู่ชิงเกอกลายเป็นหัวข้อสนทนาของผู้คนในเมืองเทียนตู อย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นบนท้องถนน ตรอกซอย หรือโรงนํ้าชา และเนื้อหาที่แต่ละคนหยิบยกมาพูดคุยนั้น ก็คล้ายคลึงกันเสียเป็นส่วนมาก ทั้งสนใจและใคร่รู้ เกี่ยวกับตัวมู่ชิงเกอแล้วก็หยิบยกเอาอัจฉริยะยอดฝีมือคนอื่นๆ ออกมาเทียบข่มนาง
สภาพจิตใจที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ เกิดขึ้นในใจของราษฎรในเทียนตูไม่หยุด จนกลายเป็นยิ่งนานวันยิ่งดูร้อนแรง
และในขณะที่เรื่องทั้งหมดนี้ดำเนินไป มู่ชิงเกอก็ได้มาถึง
เรือนรับรองที่อาณาจักรเซิ่งหยวนเตรียมไว้ต้อนรับตัวแทนจากแคว้นระดับสาม
เรือนรับรองตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ไกลจากวังหลวงมากนัก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าใกล้
พื้นที่กว้างขวาง ตำหนักหรูหรา บรรยากาศเงียบสงบ รับรองคนหกพันคน ถือว่ากว้างขวางมากเกินพอ
“คุณชายมู่ นี่คือที่พักรับรองสำหรับแคว้นระดับสาม หากขาดเหลือหรือต้องการสิ่งใด ขอเพียงเอ่ยมา วันนี้พวกท่านเพิ่งมาถึงเชิญพวกท่านพักผ่อนให้สบายก่อน ยามกลางคืน ในวังจะมีงานเลี้ยงต้อนรับ เมื่อถึงเวลา ผู้น้อยจะมารับท่านเข้าวัง” ฉิวเกาพูดกับกลุ่มมู่ชิงเกอแล้ว ก็เดินออกจากเรือนรับรองไป
ท่าทางซื่อตรงคล่องแคล่วเช่นนี้ ดูไม่เข้ากับพฤติกรรมครั้งก่อนของเขาเลย
จนกระทั่งเดินออกจากเรือนรับรองแล้ว ลูกน้องของเขาจึงได้เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจว่า “ใต้เท้า วันนี้ตอนที่อยู่ต่อหน้าทูตของแคว้นระดับสาม เหตุใดท่าน…จึงได้เกรงใจเขาเช่นนั้น?”
ฉิวเกาเดินออกจากเรือนรับรอง ก็ยืดเอวตรงขึ้นอีกหลายส่วน
คำพูดของลูกน้อง ทำให้เขาสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างไม่ค่อยพอใจนัก เขาเหลือบไปมองเรือนรับรองด้านหลัง อย่างไม่พอใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “คุณชายมู่ผู้นั้นแม้จะมาจากแคว้นระดับสาม แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ควรไปหาเรื่องด้วย ลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำมาเสมอ เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยังไม่แน่ใจไม่ควรผลีผลามจะดีที่สุด”
คำพูดของฉิวเกาทำให้เหล่าลูกน้องต้องตกตะลึง เขาติดตามฉิวเกามาหลายปี เรียกได้ว่าเขารู้เห็นมาตลอดว่าฉิวเกาเลื่อนจากเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ ในกรมพิธีการเลื่อนมาเป็นซื่อหลางในวันนี้ได้อย่างไร สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือความเฉียบคมและแม่นยำยิ่งกว่าคนทั่วๆ ไป ราวกับว่าเขามีพลังพิเศษในการคาดเดา เรื่องร้ายดีมาแต่เกิด สามารถสัมผัสได้ว่าใครที่จะมีคุณมีโทษกับเขา คนแบบไหนที่เขาไม่ควรล่วงเกิน หรือเรื่องใดที่จะเป็นโทษต่อตนเป็นต้น
ดังนั้น คำพูดของชิวเกาจึงทำให้เขาตกใจ เขานึกไม่ออกว่ากลุ่มคนที่มาจากแคว้นระดับสามกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะสูงศักดิ์ในแคว้นระดับสามเพียงใด เมื่อมาถึงอาณาจักรเซิ่งหยวนแล้วจะถือว่ายิ่งใหญ่เพียงใดกัน ยิ่งใหญ่จนฉิวเกายังต้องเห็นความสำคัญมากถึงเพียงนั้น เขาไม่ได้คลางแคลงในลางสังหรณ์ของฉิวเกา เพียงแต่เอ่ยอย่างนึกเสียดายว่า “เดิมทีนึกว่า จะเป็นแกะอ้วนเดินทางมา นึกไม่ถึงว่า จะเป็นกลุ่มเจ้านาย”
ฉิวเกาถลึงตาดุเขา ก่อนจะเอ่ยเตือนเสียงตํ่าเบาว่า “เงินทองสำคัญหรือชีวิตสำคัญ?”
เมื่อโดนเขาตวาด ผู้ติดตามก็ย่นคอลง ไม่พูดอะไรต่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายมู่ผู้นี้สามารถลงมือทำร้ายแม่ทัพรักษาประตูเมือง เรื่องนี้ต้อง รายงานหรือไม่?”
ฉิวเกาเชิดคางขึ้นพลางเอ่ย “ต้องรายงานขึ้นไปแน่นอน ก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ เจ้าคิดว่าปิดบังไว้ได้หรือ? เกรงว่าคงเล่าลือไปทั่วเทียนตูแล้ว”
“แล้วพวกเราจะรายงานอย่างไร?” ผู้ติดตามกรอกตาไปมาก่อนจะเอ่ยถาม
ฉิวเกามองจ้องเขา ก่อนจะยิ้มเย็นขึ้น “เจ้าคิดอะไรอยู่ในใจ ข้ารู้ทันหมดนั้นแหละ ข้าบอกแล้วว่า ก่อนที่จะจับทางเขาได้กระจ่างแจ้ง จะไม่ทำอะไรผลีผลาม เรื่องนี้ รายงานไปตามจริงก็พอ ไม่ต้องแต่งเดิมอะไร”
“ขอรับ ขอรับ” ผู้ติดตามของฉิวเกาพยักหน้าพลางค้อมตัวรับคำ
เมื่อมาถึงหน้ารถม้า เขาก็ก้มตัวประคองฉิวเกาขึ้นไปบนรถม้า
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ ก่อนจะขยับออกไปนอกอาณาเขตของเรือนรับรอง
หลังจากรอให้พวกเขาไปแล้ว จ้าวหนานซิงที่นั่งอยู่ตรงห้องโถงกลางของเรือนรับรองก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ พวกเขาไปแล้ว”
มู่ชิงเกอหันกลับมามือไพล่หลัง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ พูดกับจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยว่า “แคว้นระดับสามของเราในสายตาแคว้นระดับหนึ่งและสองแล้วถือว่าตํ่าต้อยยิ่งนัก เรื่องที่ประตูเมืองวันนี้ถือเป็นเพียงการเรียกนํ้าย่อย งานเลี้ยงคืนนี้จะยิ่งตื่นตายิ่งกว่า พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนให้ดี ทำตัวให้สดชื่น อย่าให้แคว้นระดับสามของเราเสียหน้า”
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้าหนักแน่น
ในรอยยิ้มเยือกเย็นของจ้าวหนานซิงมีความเย้ยเยาะแฝงอยู่ “เขตเขตนี้ได้ชื่อว่ายากจนและวุ่นวายที่สุดในเมืองเทียนตู จัดให้แคว้นระดับสามของพวกเรามาพักที่นี่ ก็เห็นแล้วว่าอาณาจักรเซิ่งหยวนไม่ได้เห็นความสำคัญของพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
“สำหรับพวกเขาแล้ว แคว้นระดับสามก็คือพื้นที่ยากจน ต่ำต้อย ที่บอกว่าภูเขาแห้งแล้งมีแต่กลุ่มชนรากหญ้า ในสายตาของพวกเขาแล้ว ต่อให้เราจะมีสถานะสูงส่งเพียงใด ก็เป็นเพียงชนชั้นตํ่าเท่านั้น จัดเรือนรับรองให้อยู่ที่นี่ มีอะไรน่าแปลกกัน?” ฟ่งอวี๋เฟยพูดเรียบๆ
“แต่ก็ไม่ควรจะให้พวกเขารังแกตามใจชอบ” จ้าวหนานซิงเลิกคิ้วเอ่ยจบ เขาก็หันหน้าไปมองมู่ชิงเกอ
เขารู้สึกเองว่าตนนั้นเข้าใจมู่ชิงเกอพอประมาณ รู้ดีว่านิสัยของนางนั้นไม่มีทางอดทนให้ใครมารังแกแน่ วันนี้แคว้นระดับสามทั้งหมด ยกให้นางเป็นประมุข ให้นางเป็นผู้นำในการตัดสินใจ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองหรือแคว้นระดับสาม นางล้วนไม่ยอมให้ใครมารังแกได้แน่นอน
ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ที่ประตูเมือง นางสามารถเลือกนิ่งเพื่อหลบเลี่ยงการมีเรื่องได้ แต่นางกลับเลือกวิธีแข็งขืน เพื่อเข้าเมืองให้ได้
นางต้องการจะบอกชาวเมืองเทียนตู บอกอาณาจักรเซิ่งหยวนว่าจะรังแกแคว้นระดับสามตามใจชอบไม่ได้อีกต่อไป!
ถึงแม้ว่า ฮ่องเต้แต่ละแคว้นต่างก็เตรียมแก้วแหวนเงินทองของมีค่ามาไว้เป็นค่าผ่านทาง แต่มู่ชิงเกอก็ไม่มีท่าทีจะหยิบยกขึ้นมาแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนหันมองมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอบิดริมฝีปากยิ้ม “พวกเจ้ามองข้าทำไม?”
จ้าวหนานซิงมองสบตากับฟ่งอวี๋เฟย ก่อนที่ฝ่ายหลังจะเอ่ยว่า “แน่นอนว่าพวกเรากำลังรอให้เจ้าบอกขีดจำกัดออกมา บอกพวกเรามาเถอะว่า ขีดความอดกลั้นของ
พวกเราอยู่ที่ใด?” เมื่อรู้ขอบเขตความอดทนแล้วก็ไม่มีทางจะเป็นฝ่ายตั้งรับข้างเดียว และก็จะได้ไม่ก่อเรื่องที่ยากจะจัดการให้เป็นการเพิ่มความวุ่นวายให้มู่ชิงเกอ
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับยิ้มขึ้นมา “ไม่มีขอบเขตความอดกลั้นใดๆ พวกเราเป็นตัวแทนของแคว้นระดับสาม ก็ต้องมีศักดิ์ศรีของแคว้นระดับสาม ใครก็ตามที่มาทำลาย ศักดิ์ศรีของเรา ก็ลงมือกลับไปไม่ต้องเกรงใจ มีเรื่องอะไรข้ารับผิดชอบเอง!”
“หากจะรับก็รับด้วยกัน เรื่องอะไรก็อย่าให้ใครต้องไปรับเพียงลำพัง” จ้าวหนานซิงเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
เขารู้เรื่องความเป็นหญิงของมู่ชิงเกอแล้ว ความเลื่อมใสที่มีให้นางมาแต่ครั้งก่อน ไม่เพียงเพิ่มขึ้น แต่กลับมีความรู้สึกอยากปกป้องทะนุถนอมเพิ่มขึ้นมา ไม่อาจทำใจให้นางที่เป็นสตรีออกมาแบกรับทุกอย่างเพียงลำพัง แล้วให้เขาที่เป็นบุรุษและเป็นศิษย์พี่ของมู่ชิงเกอ ทำได้เพียงหลบอยู่หลังนางให้นางออกหน้ามาปกป้อง เรื่องเช่นนี้ เขาไม่มีทางจะยอมรับได้อย่างภาคภูมิเห็นดีเห็นงามไปได้
“รู้แล้ว” มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ดึงดันอะไร
ทั้งสามคนหารือเรื่องสถานการณ์ในหลินชวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปพักผ่อนในห้องของแต่ละคน
การตกแต่งเรือนรับรองแม้จะไม่หรูหราโอ่อ่าแต่ก็ถือว่าเรียบง่ายสบายตา มู่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจเรื่องการตกแต่งประดับเหล่านี้มากนัก การมาพักภายนอก ขอเพียง สะอาดเป็นระเบียบก็ใช้ได้
เพราะฉะนั้น นางจึงไม่มีทางขุ่นมัวเพราะสภาพเรือนรับรองแน่นอน
ความจริงแล้ว การมาอาณาจักรเซิ่งหยวนของนางครั้งนี้ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องไม่คุ้นชินแต่อย่างใด ในชาติที่แล้ว นางก็เคยนำคณะเข้าร่วมการแข่งขันของกองทัพพิเศษทั่วโลก
ในสายตาของประเทศที่การทหารพัฒนาไปยิ่งกว่าหัวเซี่ย(จีน) ก็ดูหมิ่นพวกนางที่สูงไม่เกินไหล่หรือใบหูของพวกเขาว่าเป็นเพียงแค่ทหาร ‘ผอมแห้ง’
หลังจากนั้น นางก็ใช้ความสามารถที่โดดเด่นจนทำให้คนต้องนับถือ ไปพิสูจน์ตัวเองจนเหล่าเพื่อนทหารเหล่านั้นต้องยอมรับในความแข็งแกร่ง
นางไม่มีทางลืมแววตาของทหารเหล่านั้น ที่แสดงความไม่พอใจในคราแรก ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นนับถือตามมา
เพราะฉะนั้น การที่คนในอาณาจักรเซิ่งหยวนจะดูถูกคนของแคว้นระดับสามสำหรับนางแล้วนั้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อปรับสภาพจิตใจได้ สติรู้คิดก็ไม่โดนอารมณ์เข้าควบคุม ยิ่งไม่มีทางทำให้เกิดเรื่องที่มาจากการคิดหรือตัดสินใจผิดพลาด
ครั้งนี้ เป้าหมายของนางก็คือการมีชื่อในรายชื่อที่จะเข้าไปในเศษซากของโบราณสถาน นั้นจึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของนาง เรื่องอื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งเลื่อนลอยทั้งนั้น
การมาของมู่ชิงเกอครั้งนี้ คนของแคว้นฉินกว่าสองพันคนนั้นมีสามร้อยคนที่เป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรสามร้อยคน กองทหารพันเพลิงอีกเจ็ดร้อยกว่าคน คนที่เหลือก็ยังอยู่ในการฝึกตามพื้นที่ต่างๆ ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งพันคน ก็ล้วนเป็นคนที่ฉินจิ่นเฉินเลือกมาจากในกองทัพแคว้นฉิน
เมื่อกลับมาถึงห้องของตน มู่ชิงเกอก็เอนร่างนอนลงไปบนเตียง แต่ความคิดในสมองนั้นยังคงสับสนวุ่นวาย
ได้กลับมาที่อาณาจักรเซิ่งหยวนเร็วเช่นนี้ นางเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
แต่ว่า อาณาจักรเซิ่งหยวนเดิมทีก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของนางเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ดูแปลกอะไรมากนัก
“เขาจะปรากฏตัวที่งานเลี้ยงคืนนี้ไหมนะ?” พลัน มู่ชิงเกอก็พูดกับตัวเองขึ้นมา ในน้ำเสียงนั้นมีวี่แววอดใจรอไม่ไหวแฝงมาด้วย
ในหัวของนางปรากฏภาพคนๆ หนึ่งขึ้นมา
ราวกับว่า การมีอยู่ของคนๆ นี้ ทำให้นางเฝ้ารองานเลี้ยงคืนนี้เพิ่มมาอีกหลายส่วน แต่ก็มีความวุ่นวายใจปะปนอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกอยากเจอแต่ก็ไม่กล้าเจอปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน รบกวนจนนางไม่อาจสงบใจให้พักผ่อนลงได้ ครั้งนี้นางได้เดินมาถึงข้างกายเขา และในใจนางเองก็มีคำตอบที่นางอยากจะบอกเขาด้วย ตัวเอง!