Skip to content

พลิกปฐพี 172-2

ตอนที่ 172-2

ดวงตาสุนัข มักมองคนต่ำต้อย!

ดวงตาเรียวรีคล้ายตาหงส์ของฟ่งอวี๋เฟยกวาดมองเรียบๆ ก่อนจะเอ่ยกับมู่ชิงเกอ “ถ้าจะว่าตามจริง ควรมีขุนนางของอาณาจักเซิ่งหยวนมาตั้งแถวรอต้อนรับพวก เราตั้งแต่ต้น แต่ถึงตอนนี้กลับไม่เห็นเงา”

มู่ชิงเกอยิ้มราวจะเย้ย “ต่างก็หลบรอดูละครในมุมมืดกันทั้งนั้น” พูดจบ นางก็หนีบขากระทบท้องม้าเบาๆ อาชาเพลิงสีดำจึงได้ยกกีบเท้าหรูหราของมันขึ้น กวาดตามองชาว เมืองที่อยู่รอบๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินสาวเท้าไปเนิบๆ หนึ่งคนหนึ่งม้า ก็เดินเนิบนาบเข้าเมืองไปท่ามกลางสายตาตกตะลึงของชาวบ้านและทหาร

ทหารที่ถืออาวุธในมือเหล่านั้นมองจ้องมู่ชิงเกอ แต่กลับไม่กล้าลงมือง่ายๆ ทำได้เพียงยืนมองจ้องนางเดินผ่านกำแพงเมืองหนาๆ แนวประตูยาวเหยียด เข้าไปในเขตแดนของเทียนตู

เสียงกีบเท้าม้าของเพลิงรัตติกาลในยามนี้ดังก้องชัดเจนผิดปกติ คนที่อยู่ไกลก็ได้ยืนชัดเจนราวม้าเข้าไปวิ่งในหัวใจ

“อุก แค่ก แค่ก ” แม่ทัพเกราะทองค่อยๆ พยุงตัวขึ้นจากพื้นถนน ซ้ายขวาของถนนสายนั้นเต็มไปด้วยชาว เมืองที่มามุงดู พวกเขาเอาแต่เบิกตาอ้าปากค้างมองไม่รู้เลยว่านอกกำแพงเมืองนั้นเกิดอะไรขึ้น

เหตุใดแม่ทัพรักษาเมืองที่เคยเก่งกล้าสง่างามดุจเป็นสัญลักษณ์ของแสนยานุภาพแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน จึงได้โดนคนทุบตีราวกับสุนัขจนทรุดกองที่พื้นได้

และที่สำคัญก็คือ…ใครกัน? ใครที่มี’ฝีมือเช่นนี้? กล้าลงมือทุบตีแม่ทัพรักษาเมือง ไม่ใช่เป็นการตบหน้าอาณาจักรเซิ่งหยวนเข้าตรงๆ หรอกหรือ!

ในขณะที่พวกเขายังคงตกตะลึงพรึงเพริด ก็ได้เห็นขบวนคนและม้าเดินเข้ามาช้าๆ

ท่ามกลางแสงที่ย้อนทิศ พวกเขามองลักษณะท่าทางของคนที่อยู่บนหลังม้าได้ไม่ชัดเจน แต่กลับรู้สึกได้ถึงพลังกดดันรุนแรง ชวนให้คนหวั่นเกรงหวาดกลัว

และในความรางเลือนนั้น พวกเขาก็พอมองออกว่าคนที่มานั้นอายุไม่มาก สวมชุดสีแดงสด สีแดงเจิดจ้าราวกับได้อาบแสงอาทิตย์มาจากฟากฟ้า

เขาทำให้คนสัมผัสได้ถึงความทะนงตน มุทะลุ ชวนให้คนไม่กล้ามองข้ามเขาไปได้ง่ายๆ

เมื่อนางเดินออกมาจากแสงที่ย้อนทิศนั้น ผู้คนจึงมีโอกาสมองหน้านางได้ชัดเจน

และคนที่ได้เห็นนางชัดๆ ล้วนแต่นึกถอนใจในใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่รูปโฉมเขานั้นกลับชวนตะลึงยิ่งนัก งามจนใจสั่นไหวโอน งามเสียจนไม่กล้ามองตรงๆ

ใบหน้าที่งามราวจะล่มเมืองเช่นนี้ปรากฏขึ้นบนหน้าของคนหนุ่มคึกคะนองใจร้อน ถือเป็นงานประณีตที่ สวรรค์บรรจงสร้าง ชวนให้ดินฟ้าพลอยหม่นมัว!

และในขณะที่ชาวบ้านของอาณาจักรเซิ่งหยวนกำลังตะลึงกับรูปโฉมของมู่ชิงเกอ ในขณะที่พวกเขากำลังมองอย่างหลงใหลนั้น นางก็เดินไปหยุดตรงหน้าแม่ทัพ เกราะทองก่อนจะมองเขาด้วยสีหน้าของผู้เหนือกว่า

แม่ทัพเกราะทองที่ทรุดกองกับพื้นที่เขารู้สึกว่ากระดูกทั่วร่างกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ รู้สึกเพียงว่ามีเงาดำทาบทามาบนศีรษะ ครอบทับเขาไว้

เมื่อแข็งใจเงยหน้าขึ้นไป เขาก็มองเห็นใบหน้าเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกของมู่ชิงเกอ ความหวั่นเกรงที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนก่อตัวขึ้นในใจเขา เขาเอ่ยขึ้นอย่างหวั่นผวาว่า “เจ้า…กล้าทำร้ายทหาร ของอาณาจักรเซิ่งหยวนต่อหน้าธารกำนัล! เจ้า…”

“วันนี้ข้าเพิ่งจะมาถึง อย่าบังคับให้ข้าต้องฆ่าคน” คำพูดของเขาโดนมู่ชิงเกอตัดบทไปอย่างเยือกเย็น

คำพูดแปลกประหลาด ราวกับว่าไม่ได้พูดกับเขา

แม่ทัพเกราะทองตกตะลึง ความเจ็บปวดที่แผ่ไปทั่วร่าง ทำให้เขาอดร้องครวญเพราะความเจ็บไม่ได้

และในยามนี้ มู่ชิงเกอกลับนั่งตัวตรงบนหลังเพลิงรัตติกาล ก้าวผ่านร่างของเขา ราวกับว่าเขาไม่มีค่าพอให้นางมองแม้เพียงแวบเดียว

ความรู้สึกโดนมองข้ามเช่นนี้ ทำให้แม่ทัพเกราะทองตัวแข็งนิ่งอึ้ง ราวกับตกลงไปในบ่อนํ้าแข็ง

“ไอหยา ไอหยา! ข้ามาช้าแค่ครู่เดียว เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเสียแล้วเล่า?”

มู่ชิงเกอเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ชายที่สวมชุดขุนนางของอาณาจักรเซิ่งหยวน นำกลุ่มขบวนปรากฏกายขึ้นมา ใบหน้ามันเงานั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง

เขานำกลุ่มคนเดินไปหยุดที่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ ไม่ได้มองแม่ทัพเกราะทองที่นอนกองกับพื้นราวสุนัขแม้แต่น้อย ก่อนประสานมือยิ้มแย้มว่า “จะว่าไปท่านผู้นี้ก็คงเป็นคุณชายมู่ที่มีชื่อเสียงก้องไปทั่วเขตแดนของแคว้นระดับสามกระมัง?”

มู่ชิงเกอกวาดตามองผ่านร่างเขาเงียบๆ ยกมุมปากไม่เอ่ยอะไร

เพียงแต่การกวาดตานี้ ก็ทำให้ขุนนางคนนี้ต้องสั่นสะท้าน รอยยิ้มชะงักค้างไป

จ้าวหนานซิงมองสบตากันกับฟ่งอวี๋เฟย ก่อนที่ฝ่ายแรกจะเอ่ยขึ้นว่า “ไปเถอะ”

ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นโบกสะบัด ขบวนทัพคนกว่าหกพัน เดินตามเป็นขบวนแถวแนวยาวเข้าไปในเขตกำแพงเมือง

นักรบที่คอยรักษาประตูเมืองเหล่านั้น แม้พลังจะสูงส่ง แต่แววตาเยือกเย็นของคนทั้งหกพันกลับทำให้พวกเขา ไม่กล้าเคลื่อนขยับ เพียงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ อาวุธที่ถือในมือก็เก็บลงไปนานแล้ว

พวกเขามองคนทั้งหกพันนิ่ง ในใจสนสะท้านไม่หยุด ก่อนจะเกิดคำถามเดียวกันในใจโดยไม่ได้นัดหมาย ‘นี่ คนพวกนี้มาจากแคว้นระดับสามที่ยากจนข้นแค้นนั้น จริงๆ หรือ?’

จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยพาขบวนคนจากทั้งสามแคว้น มาถึงด้านหลังของมู่ชิงเกอ

ภาพนี้ทำให้ขุนนางที่ออกมาต้อนรับต้องลอบเช็ดเหงื่อที่ซึมบนหน้าผากเบาๆ

ลักษณะท่าทางของคนพวกนี้แข็งแกร่งเกินไป ไม่เหมือนกับที่เขาเคยคาดไว้เลยนี่นา!

‘เล่าลือกันว่าการมาต้อนรับคนจากแคว้นระดับสามนั้น เป็นเรื่องหากำไรได้ทุกครั้งที่มีเรื่องนี้ ก็มีผลประโยชน์เข้ากระเป๋าได้ไม่น้อย แล้วครั้งนี้ลงมือข่มขู่ไปแล้วแท้ๆ แต่กลับก็ยังมีท่าทางไม่สนใจเช่นเดิม? แล้วคนพวกนี้ ดูจากท่าทางแล้วก็ดูแตกต่างจากแคว้นระดับสามอยู่หลายขุมนัก!’ ขุนนางที่เดินทางมาต้อนรับนึกใคร่ครวญไม่หยุด

“เจ้าเป็นใคร?” นํ้าเสียงเยือกเย็นของมู่ชิงเกอดังขึ้นเหนือศีรษะเขา

แต่ที่หลงเหลือในโสตประสาทของขุนนางผู้นั้น กลับดังก้องราวกับฟ้าผ่า

ราวกับว่าเขาเพิ่งได้สติขึ้นมา จึงได้เอ่ยแนะนำชื่อและตำแหน่งของตน “ผู้น้อยคือขุนนางขั้นสี่แห่งกรมพิธีการ ฉิวเกา รับราชโองการให้มารอรับคณะทูตจากแคว้น ระดับสามไปพักที่เรือนรับรอง”

เมื่อพูดจบ เขาก็นึกขึ้นได้พลางตกใจ

แล้วทำไมเขาจึงได้ทำตามอย่างว่าง่ายล่ะ?

“ฉิวเกา?” มู่ชิงเกอทวนชื่อเขาครั้งหนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะได้เผยรอยยิ้มครั้งใหม่ ก็เอ่ยเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้ามาสายไปนะ”

ประโยคบอกเล่าเรียบๆ แต่เมื่อฉิวเกาฟังแล้วกลับเหมือนเป็นประโยคตำหนิติเตียน

เดิมที ในฐานะขุนนางแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวนเขาไม่ต้องสนใจความรู้สึกของมู่ชิงเกอก็ได้ แต่ว่า ราวกับว่าเขามองเห็นอำนาจสูงส่งของอาณาจักรเซิ่งหยวนแฝงอยู่ในตัวนาง เขาจึงยิ้มขออภัย พลางเอ่ยขอลุแก่โทษ “ผู้น้อยมาช้า ขอคุณชายมู่โปรดให้อภัยด้วย’’

ท่าทางนอบน้อมถ่อมตนเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็นึกแปลกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ติดตามเขามา แล้วยังชาวบ้านที่มุงดูอยู่ด้วย

แววตาของราษฎรอาณาจักรเซิ่งหยวน ก็ดูจะร้อนแรงไม่น้อย

มู่ชิงเกอเองก็ไม่อยากจะอยู่บนถนนให้คนมองเชยชมให้เสียเวลา จึงได้หันไปเอ่ยกับฉิวเกา “นำทาง”

เพียงถ้อยคำง่ายๆ สองอักษร แต่กลายเป็นว่าราวกับเป็นคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืนได้

ฉิวเการีบหมุนกายนำทาง ก่อนจะพาขบวนทัพคนทั้งหกพันไปที่เรือนรับรองที่จัดไว้ให้คณะทูตของแคว้นระดับสาม ไม่มองแม่ทัพเกราะทองที่นอนกองบนพื้นแม้แต่น้อย

ลงมือทำร้ายแม่ทัพอาณาจักรเซิ่งหยวน แล้วยังจากไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้รับการลงโทษหรือแม้แต่ตำหนิก็ไม่มี

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วเทียนตูอย่างรวดเร็ว

และที่โดนเล่าลือตามไปด้วยก็คือมู่ชิงเกอที่เป็นคนลงมือ

และคำเรียกขาน ‘คุณชายมู่’ ที่ฉิวเกาเรียกขาน ก็โดนชาวบ้านจดจำไว้

“ได้ยินว่า ตัวแทนแคว้นระดับสามที่มาร่วมชุมนุมครั้งนี้ มีคนหนึ่งเป็นคุณชายอายุน้อย หน้าตานั้นเรียกว่าหล่อเหลาเอาการ เกรงว่าแม้แต่คนงามอันดับหนึ่งของเราก็เทียบกับเขาไม่ติด และที่สำคัญที่สุด เหมือนว่าเขาจะมีฝีมือร้ายกาจไม่เบา สามารถตีจนแม่ทัพกระอักเลือดได้ แล้วยังไม่มีใครกล้าตำหนิ”

“เฮอะๆ แคว้นระดับสามก็มียอดฝีมือเช่นนี้หรือ?”

“ไม่ผิด! ข้าได้ยินกับหูได้เห็นกับตา ไม่มีคำเท็จแม้ครึ่งความ!”

“สามารถตีแม่ทัพรักษาประตูเมืองจนกระอักเจ็บหนัก ดูท่าคุณชายมู่ผู้นี้จะไม่ธรรมดา!”

“นี่จะมีอะไร? แม่ทัพรักษาเมืองก็แค่แม่ทัพธรรมดาๆ เจ้าให้เขามาประลองกับเหล่ายอดฝีมือแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวนเราดูสิ? หากจะว่าเป็นเรื่องปรุงยา เราก็มีอัจฉริยะด้านปรุงยาอย่างคุณชายจิ่ง พูดถึงพลังก็มีนายน้อยสามแห่งตระกูลเฉิน ได้ยินว่าพลังเขาไปถึงขั้นสีม่วงเมื่อไม่นานนี้ จะพูดถึงรูปโฉม นี่ยังไม่ต้องพูดถึงคนงาม อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน คุณหนูเฟยเยว่แห่งตระกูลหลานเลยนะ คือดอกไม้งามโดดเด่นท่ามกลางหมู่มวลบุปผาแท้ๆ น่ากลัวว่าเขาจะเทียบไม่ได้หรอก” มีคนเอ่ยขัดอย่างไม่ยอม

แต่ว่า คำของเขากลับได้รับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากคนรอบข้าง

“แล้วทำไมเจ้าไม่เอาไปเทียบกับท่านมหาปราชญ์เล่า? คุณชายจากแคว้นระดับสาม จะร้ายกาจเพียงใดก็มีขอบเขต”

“ถูกๆ จะเอาเขามาเทียบกับอัจฉริยะยอดฝีมือในเทียนตูของเรา ก็เป็นการทำให้เขาลำบากเกินไปแล้ว”

“แต่ว่า คุณชายมู่จากแคว้นระดับสามผู้นี้ เพิ่งมาถึงเทียนตูแท้ๆ ก็ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย ก็ถือว่ามีฝีมือไม่น้อยแล้วล่ะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version